“โอ... เมื่อเป็ความประสงค์ของน้องแปด พี่ใหญ่ย่อมไม่ขัดข้อง” เฟิงเจวี๋ยเสวียนหันไปมองหลิงเฟิงเยียนด้วยแววตาอ่อนละมุนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านอ๋องเซวียน แบบนี้ก็ไม่ยุติธรรมสิเพคะ แม่นางผู้นี้ปกปิดหน้าตามิดชิด เห็นก็ไม่ชัด ไหนเลยจะสามารถตัดสินได้ว่างามจริงหรือไม่งาม ไม่สู้เชิญแม่นางเปิดเผยใบหน้า แล้วให้ท่านอ๋องฉู่ช่วยเปรียบเทียบตัดสินดีหรือไม่” สายตาของหลิงเฟิงเยียนจดจ้องที่ตัวโม่เสวี่ยถง ก่อนตวัดกลับมาที่เฟิงเจวี๋ยหร่านคล้ายมิได้ตั้งใจ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าระบายยิ้มอ่อนโยน
นางเกิดรู้สึกว่าโม่เสวี่ยถงที่ยืนอยู่ข้างเฟิงเจวี๋ยหร่านผู้มีรูปโฉมงดงามเป็เลิศดูขวางหูขวางตานัก บุรุษที่หล่อเหลาขนาดนั้น แค่มองปราดเดียวก็ทำให้หัวใจสั่นระรัว พวงแก้มและใบหูร้อนไปหมด ได้แต่บอกย้ำกับตนเองว่าเขาเป็เพียงคนสำมะเลเทเมา เป็บุรุษประเภทที่นางสมควรจะมองข้ามเป็ที่สุด จึงพอจะระงับความอ่อนไหวในหัวใจลงได้
ที่สำคัญนางไม่คิดว่าสตรีผู้นั้นจะมีหน้าตาสะสวยไปกว่าตนเอง ดังนั้นจึงจงใจให้โม่เสวี่ยถงเปิดเผยรูปโฉมเพื่อสร้างความอัปยศให้อีกฝ่าย
“คุณหนูรองสกุลหลิงงดงามเลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้น แล้วไยจะต้องเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับสตรีอื่นด้วยเล่า อีกอย่าง วันนี้สิ่งที่องค์ชายทั้งสองพระองค์ทรง้าเปรียบเทียบแท้จริงแล้วก็หาใช่รูปโฉม แล้วไยคุณหนูรองจะต้องยึดติดเช่นนี้ ไม่ว่าองค์ชายพระองค์ไหนจะชนะ ความงามก็ล้วนเป็เพียงมุมมองของแต่ละพระองค์เท่านั้นเอง” ดวงตาพราวระยับของโม่เสวี่ยถงกลอกไปมา พลางแย้มริมฝีปากเอ่ยวาจาอย่างอ่อนโยนยิ่ง น้ำเสียงยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนให้เคลิบเคลิ้มยิ่งกว่าปรกติ ละครน่ะหรือ นางก็เล่นเป็!
สตรีที่ถูกเฟิงเจวี๋ยหร่านหมางเมิน ไม่ยอมรับว่าเป็หญิงงามอันดับหนึ่ง แล้วยังสามารถวางตัวสงบนิ่งได้เพียงนี้ย่อมไม่ธรรมดา นางรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็คนประเภทเดียวกับโม่เสวี่ยิ่ หัวใจจึงเริ่มสร้างปราการป้องกันตัวอยู่เงียบๆ และตนเองก็ไม่คิดว่าเฟิงเจวี๋ยหร่านจะกลั่นแกล้งสตรีผู้นั้นเพียงเพื่อความบันเทิงใจ ยิ่งได้ััใกล้ชิดกับเขามากเท่าใดก็ยิ่งพบว่าเขามิได้เป็ชายหนุ่มเสเพลที่มีความคิดตื้นเขินอย่างที่มักจะแสดงออกเลยแม้แต่น้อย
เขาทำเช่นนี้ย่อมมีนัยแอบแฝงแน่นอน
เอาเถิด... ไหนๆ วันนี้ตนเองก็อารมณ์ดีเป็พิเศษ ทั้งหลิงเฟิงเยียนยังทำให้นางรู้สึกถึงความจอมปลอมไม่ต่างกับโม่เสวี่ยิ่ ดังนั้นขอทำตัวเหิมเกริม บ้าบอเป็เพื่อนเฟิงเจวี๋ยหร่านสักหนก็แล้วกัน!
หลิงเฟิงเยียนอยากเห็นว่านางเป็ใคร จึงใช้วาจาของฝ่ายตรงข้ามย้อนกลับไปโจมตีเ้าตัว แน่นอนว่านางย่อมไม่ให้อีกฝ่ายได้สมหวัง
“ไม่เลว พูดได้ตรงใจเปิ่นหวางยิ่ง สมแล้วที่เป็สตรีที่ข้าพึงใจ เสด็จพี่ใหญ่ดูของสองสิ่งนั้นสิ ใช้เป็รางวัลให้พวกนางเสียเลยดีหรือไม่ ไม่ทราบว่า... คุณหนูหลิงชอบชิ้นไหน” ริมฝีปากของเฟิงเจวี๋ยหร่านผลิยิ้มโปรยเสน่ห์ ชี้ไปที่ไข่มุกและมีดสั้นขนาดจิ๋วแล้วเอ่ยถามอย่างผ่าเผย ดวงตาประหนึ่งหยกนิลฉายแววหยอกเย้า กลิ่นอายสูงศักดิ์ที่ผสมผสานกับความเกียจคร้านแผ่กำจายจากทั่วร่าง
แม้จะดูเอ้อระเหยลอยชาย แต่กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งบุรุษเพศ
ระหว่างประคำไข่มุกกับมีดสั้นสีมรกต สายตาของหลิงเฟิงเยียนย่อมอยู่ที่ไข่มุกเส้นนั้น แม้แต่นางก็ยังไม่เคยเห็นไข่มุกที่มีสีสันและขนาดที่งดงามแปลกตาเช่นนั้นมาก่อน เป็ของล้ำค่าที่หายากยิ่ง มีดสั้นสีมรกตแม้ว่าจะโดดเด่นเช่นกัน แต่มิได้ดึงดูดใจสตรีเท่าใดนัก
ทุกคนเห็นสายตาของนางแล้ว ต่างก็รู้ว่านางเลือกสิ่งใด
“เสด็จพี่ใหญ่ เมื่อคุณหนูหลิงเลือกได้แล้ว พวกเราก็ไปดูปริศนาภาพวาดกันเถิด” เฟิงเจวี๋ยหร่านหัวเราะร่า เดินนำไปยังหน้าเวที เฟิงเจวี๋ยเสวียนลังเลชั่วครู่ ก่อนพาหลิงเฟิงเยียนตามหลังมา
คำถามที่อยู่หน้าเวทีช่างประหลาดนัก มีรูปภาพสองรูป รูปแรกเป็เมฆาสีขาวบนฟ้าคราม ภายใต้แผ่นฟ้าเป็ทุ่งหญ้าเขียวขจี มีแกะขาวฝูงใหญ่ยืนเบียดอยู่เต็มทุ่ง รูปที่สองภาพยังคงมีท้องฟ้า ทุ่งหญ้า แต่ฝูงแกะต่างไปรวมกันอยู่ด้านซ้าย ด้านขวามีหมาป่ามาปรากฏฝูงหนึ่ง คำทายของสองภาพนี้ง่ายมาก แต่ละภาพล้วนเป็ผลไม้
ผู้คนจำนวนมากต่างมุงล้อมอยู่หน้าเวที มีคนเข้าไปร่วมทายปริศนาแต่ทั้งหมดล้วนพ่ายแพ้กลับออกมา ไม่มีใครทายภาพปริศนาถูกสักคน
ด้านล่างเวทีดูคึกคักอย่างยิ่ง ต่างคนต่างคิ้วขมวดคิดตีความไปต่างๆ นานา แต่กลับไม่มีผู้ใดขึ้นไปบนเวทีอีก ดังนั้น้าจึงดูเงียบเหงาเล็กน้อย
โม่เสวี่ยถงจับจ้องมีดสั้นสีมรกตซึ่งวางอยู่ใต้ภาพที่สองเล่มนั้น แสดงว่าเป็รางวัลของภาพดังกล่าว ยิ่งมองเห็นชัดขึ้นก็ยิ่งรู้สึกว่าของสิ่งนั้นดูคล้ายปิ่นปักผมเข้าไปทุกที ดูจากจี้อัญมณีที่แขวนอยู่ก็รู้ว่าเป็สายระย้าของปลายปิ่นปักผมสตรี ยามสะท้อนแสงวิบวับอยู่ภายใต้แสงโคมสว่างไสวดูงามตายิ่ง
ในความทรงจำของนางดูเหมือนว่าจะมีภาพปิ่นดาบเยี่ยงนี้อยู่ แม้มิใคร่ชัดเจนนัก แต่รู้ว่าต้องมีความสำคัญแน่นอน
ม่านตาของโม่เสวี่ยถงหรี่วูบ ลมหายใจกระชั้นถี่เล็กน้อย นางกระตุกแขนเสื้อของเฟิงเจวี๋ยหร่านด้วยสัญชาตญาณ “ท่านอ๋อง...” นางเรียกเสียงเบา ฟันขบริมฝีปากล่างไว้แน่นเพื่อระงับความตื่นเต้น ยามนี้หัวใจของนางย่ำรัวราวกับกลองศึก ปานว่าโลหิตจากทั่วร่างกำลังจะไหลออกมา
“เป็อะไรหรือ” เฟิงเจวี๋ยหร่านจับเสียงที่ฟังดูตึงเครียดของนางได้ จึงคลายอ้อมแขนจากเอวบาง เปลี่ยนมากุมมือนางเอาไว้แทน แล้วก้มหน้าลงมากระซิบถาม ยามนี้เขาหันหลังให้เวที แสงไฟที่ตกกระทบลงมาด้านหลังทำให้นางมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัด นึกขอบคุณที่คืนนี้แสงจันทร์ช่างเหมาะสม ไม่ทำให้เขาแผ่รังสีเย้ายวนออกมามากนัก แบบนี้สิกำลังดี
“ข้า... ข้าอยากได้มีดสั้นเล่มนั้น” โม่เสวี่ยถงขบริมฝีปากเบาๆ กดเสียงต่ำบอกความ้าของตนเอง
“ได้สิ” เฟิงเจวี๋ยหร่านเลิกหัวคิ้วเล็กน้อย มิได้ถามสิ่งใดต่อ พลันจูงมือโม่เสวี่ยถงเดินเข้าไปใกล้เวทีอีกสองก้าว ตบหลังมือนางเบาๆ แล้วหันไปยิ้มท้าทายเฟิงเจวี๋ยเสวียนที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนเวทีก่อน เฟิงเจวี๋ยเสวียนมองภาพปริศนาเป็ครั้งสุดท้ายแล้วเดินตามอนุชาขึ้นไป
ดวงตากลมโตของโม่เสวี่ยถงเบิกกว้างมองเฟิงเจวี๋ยหร่านอย่างไม่อยากเชื่อ
เขา... จะตอบแล้วหรือ
เมื่อครู่นางเพิ่งจะเตรียมคำพูดที่มีเหตุผลไว้มากมายเพื่อใช้เกลี้ยกล่อมให้เขาช่วย แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากเขาก็เดินขึ้นไปบนเวทีแล้ว จึงต้องเก็บกวาดทุกคำลงท้องไปก่อน วันนี้เขาไม่เพียงแต่ไม่หาเื่มาให้นางปวดหัว ยังช่วยเหลือทันทีโดยไม่ถามเหตุผลอีกด้วย
โอ้... พันปีมีหนเลยนะเนี่ย!
ภาพปริศนานี้เมื่อทายออกมาแล้วก็ดูง่ายมาก ยามที่เฟิงเจวี๋ยหร่านทายภาพหลังได้ก่อน เฟิงเจวี๋ยเสวียนที่ทายภาพแรกก็มิได้เป็ปัญหาแต่อย่างใด
คำเฉลยของปริศนาภาพที่สองก็คือ หยางเหมย และ หยางเถา[1]
คำเฉลยของปริศนาภาพที่หนึ่งก็คือ เฉ่าเหมย[2]
“เยี่ยม ตอบได้ถูกต้องทั้งคู่” ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปีปรบมือให้ แล้วกล่าวชื่นชมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เด็กๆ ไปนำรางวัลทั้งสองชิ้นมามอบให้กับคุณชายทั้งสองท่านนี้ด้วย” ภาพชุดนี้แท้ที่จริงแล้วเป็ชุดเดียวกัน หากภาพหนึ่งทายถูก อีกภาพก็ย่อมไม่ยาก แต่บัดนี้คนทั้งสองต่างมีความประสงค์ที่จะตอบกันคนละคำถาม ชายวัยกลางคนย่อมมองออกจึงยิ้มตาหยีร้องเรียกให้ลูกน้องแยกรางวัลออกเป็สองชิ้นแล้วมอบให้ไป
บ่าวสองคนยกจานหยกออกมาโดยมีของรางวัลล้ำค่าควรเมืองทั้งสองชิ้นวางแยกกันอยู่
“ขอถามหน่อยเถิด ของชิ้นนี้สมควรมีฝักกระบี่ที่มาคู่กันด้วยมิใช่หรือ” โม่เสวี่ยถงเดินขึ้นมาบนเวทีแล้วถามชายวัยกลางคนผู้นั้น
“ฝักกระบี่? ของสิ่งนี้ยามมาอยู่ในมือของเ้านายเราก็เป็เช่นนี้อยู่แล้ว แล้วจะไปหาฝักมาจากไหนเล่า” ชายผู้นั้นมุ่นคิ้วตอบคำถามด้วยสีหน้าฉงน
“หากไม่มีฝักมาคู่กัน ถึงเอามาจะมีประโยชน์อันใด รบกวนฝากบอกไปยังเ้านายผู้สูงศักดิ์ของท่านด้วย ว่าหากเป็ของที่ไม่สมบูรณ์เช่นนี้พวกเราก็ไม่้าแล้วล่ะ”
โม่เสวี่ยถงหัวเราะเสียงเบา ยกมือขึ้นเล็กน้อย แขนเสื้อร่นลงจนเห็นมือขาวกระจ่างที่เอื้อมออกไปลูบคลำบนด้ามจับเบาๆ แล้วปล่อยมือลง ก่อนดึงเฟิงเจวี๋ยหร่านถอยห่างออกมาสองก้าว จากนั้นก็หมุนตัวจากไปอย่างไม่ลังเล หมายเดินลงจากเวทีไป
บุรุษผู้หนึ่งซึ่งเห็นเงาเพียงรางๆ นั่งอยู่หลังม่านไข่มุกด้านหลังเวที ดวงตาเป็ประกายทอดอยู่ที่ตัวของโม่เสวี่ยถงที่ปกปิดใบหน้ามิดชิด นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ บ่าวชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังทันที แล้วกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม “เชิญออกคำสั่งขอรับ นายท่าน”
ที่ด้านหน้า ขณะที่โม่เสวี่ยถงย่างเท้าลงบนบันไดเวที
“คุณหนูท่านนี้โปรดคอยก่อน” เสียงบ่าวผู้หนึ่งดังมาจากด้านหลัง ในมือของเขาถือกล่องหยกมาด้วยใบหนึ่ง “เมื่อทายปริศนาถูกต้องจะไม่รับรางวัลได้อย่างไร มีดสั้นกับของที่อยู่ในกล่องนี้เป็สิ่งที่มาคู่กัน ขอมอบให้คุณหนูทั้งหมด”
“เป็ของคู่กับของรางวัลชิ้นนี้?” ดวงตาของโม่เสวี่ยถงทอประกาย เผยรอยยิ้มพร่างพราว
“ย่อมเป็ของคู่กันขอรับ” บ่าวชายกล่าวรับรองอีกครั้ง บ่าวที่ยกถาดใส่มีดสั้นวิ่งเข้ามาแล้วส่งของให้นาง
ครานี้โม่เสวี่ยถงมิได้ปฏิเสธ รับปิ่นดาบคู่นั้นมาวางไว้ในกล่องหยกแล้วเก็บกลับไป จากนั้นจึงหันไปยอบกายคารวะต่อผู้ที่อยู่หลังม่าน
ชายหนุ่มที่อยู่หลังม่านออกคำสั่งเสียงเรียบ “ไปตรวจสอบมาว่านั่นเป็บุตรสาวจากสกุลไหน”
“นายท่าน สตรีที่มากับบุรุษท่าทางเสเพลแบบนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นางคณิกา… มิใช่ว่าควรไปตรวจสอบในเขตที่ตั้งของสำนักนางโลมหรือขอรับ”
บุรุษอีกคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย ตามธรรมเนียมของแคว้นฉิน หากสตรีสกุลไหนมาเดินคลอเคลียใกล้ชิดกับบุรุษเช่นนี้ ก็นับว่าเกินเลยขอบเขตอันสมควรไปแล้วกระมัง
ไม่้ารักษาชื่อเสียงแล้วใช่หรือไม่
“ไม่ต้อง ไปตรวจสอบจากสตรีในสกุลดีก็พอ” น้ำเสียงเย็นเยือกเปล่งออกมาหลังจากครุ่นคำนึงอยู่ชั่วครู่ แม้เขาจะไม่รู้จักสตรีผู้นั้น แต่ไหนเลยจะไม่รู้จักเซวียนอ๋องเฟิงเจวี๋ยหร่านที่เพิ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์มาไม่นาน จะมีหญิงคณิกาคนไหนที่กล้าทำยโสโอหังต่อหน้าเซวียนอ๋องผู้นี้บ้าง อีกอย่างสตรีผู้นั้นสวมชุดปกปิดตัวตนมิดชิดเห็นได้ชัดว่ากลัวคนจำได้ สตรีที่อยู่ตามหอนางโลม หากได้รับความโปรดปรานจากเฟิงเจวี๋ยหร่านมีใครบ้างที่ไม่อยากเดินชูคอเผยโฉมหน้าออกมาให้ใครเห็น
“ตรวจสอบเื่นี้ให้ชัดเจน พวกเรามีเวลาอยู่ที่นี่ไม่นานนัก”
“ขอรับ” ชายอีกคนรับคำสั่ง
ชายหนุ่มเลิกม่านมุกขึ้น ก่อนมองไปยังโม่เสวี่ยถงกับเฟิงเจวี๋ยหร่านที่เดินลงจากเวทีไปด้วยดวงตาสงบนิ่ง ริมฝีปากยกยิ้ม เซวียนอ๋องกับฉู่อ๋อง องค์ชายแห่งต้าฉินทั้งสองพระองค์และสตรีอีกสองคน คนหนึ่งรูปโฉมงดงามปานล่มบ้านจมเมือง จะต้องเป็ยอดหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฉินเป็แน่ แต่อีกคนที่ไม่ทราบว่าเป็ผู้ใดกลับมีปฏิภาณไหวพริบเฉลียวฉลาดยิ่งจนเขานึกอยากรู้จัก...
มาแคว้นฉินครานี้มีแต่ได้กับได้จริงๆ
ที่ด้านล่างเวที โม่เสวี่ยถงก้มหน้าลงปล่อยให้เฟิงเจวี๋ยหร่านจับมือของตนเดินไป คิ้วงามของนางมุ่นขมวดโดยไม่รู้ตัว หากนางเดาไม่ผิด ของสิ่งนี้จะต้องเป็ปิ่นปักผมของสตรี เมื่อสวมเข้าในฝักก็จะดูไม่แตกต่างจากปิ่นปักผมธรรมดา เมื่อชาติภพก่อนเคยได้ยินว่ามีปิ่นดาบที่มีชื่อเสียงมากอยู่คู่หนึ่งจะใช่ปิ่นอันนี้หรือไม่
เมื่อชาติก่อนนางเคยได้ยินว่ามีปิ่นล้ำค่าคู่หนึ่งเป็สมบัติล้ำค่าของชายาจิ้นอ๋อง เพียงแค่ถอดออกจากฝักปิ่นธรรมดาก็จะกลายเป็มีดสั้นชั้นดี ความแหลมคมยากจะหาไหนปาน สังหารคนได้ในพริบตา ต่อมามีบุคคลปริศนาเสนอราคากับคุณหนูที่ได้ปิ่นดาบชิ้นนั้น ด้วยราคาสูงลิบลิ่วถึงหนึ่งหมื่นตำลึงทอง
สาเหตุที่โม่เสวี่ยถงหมายตาปิ่นดาบชิ้นนี้หาใช่เพราะมูลค่านับหมื่นตำลึงทอง แต่ได้ยินมาว่าในฝักของปิ่นดาบมีกลไกพิเศษ ที่นาง้าคือสิ่งนั้นต่างหาก ปีที่มารดาของนางเสียชีวิต กลไกลับชิ้นนี้ถูกบุคคลลึกลับไขรหัสได้ เื่นี้เป็ที่ล่วงรู้ของผู้คนทั่วใต้หล้า แต่ในยามนี้กลับไม่มีใครเข้าใจความลับที่ซ่อนอยู่ภายใน
“คุณหนูท่านนี้ มีดสั้นกับฝักสำหรับสวมมีความพิเศษอันใดหรือ” เฟิงเจวี๋ยเสวียนเดินเร่งฝีเท้าเข้ามาอยู่ด้านขวาของโม่เสวี่ยถง แล้วมองมีดสั้นกับกล่องหยกในมือนาง ดวงตาเป็ประกายวาววับ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มสุภาพ หลิงเฟิงเยียนก็รีบเข้ามาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ความพิเศษอันใดก็ย่อมต้องมีความพิเศษสิ ของสิ่งนี้เปิ่นหวางมอบให้หญิงงาม หากมีดไม่มีฝักแล้วต่อไปเปิ่นหวางกับนางจะลงเอยกันอย่างมีความสุขได้อย่างไร ยังนับว่าเถ้าแก่ผู้นั้นเป็คนเข้าใจผู้คน รู้จักหาของที่คู่กันออกมาให้ คนที่รู้จักมีหูมีตาแบบนี้ คงต้องให้คนไปมอบรางวัลให้เสียหน่อย”
เฟิงเจวี๋ยหรานสอดปากขึ้นมาทันที สีหน้าเต็มไปด้วยการหยอกเย้า เขามีความสามารถในทางนี้ ไม่ว่าคำถามจะเป็เื่จริงจังเพียงใด เขาก็สามารถพาวนออกนอกเื่จนกลายเป็เื่ไม่สลักสำคัญได้เสมอ
แต่กลับเป็การช่วยปกป้องโม่เสวี่ยถงอีกทาง แม้ใบหน้าของนางจะถูกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมของเขา แต่หากนางต้องเอ่ยวาจาอีกสองสามประโยค เฟิงเจวี๋ยเสวียนและหลิงเฟิงเยียนเป็คนฉลาด ไม่แน่ว่าจะจำได้ หากครั้งหน้าได้พบกันก็อาจจะทำให้เกิดปัญหา การที่เฟิงเจวี๋ยหร่านช่วยพูดเบี่ยงเบนความสนใจ นางย่อมสะดวกขึ้น จึงคารวะให้เขาอย่างงดงามทีหนึ่งแล้วสงวนวาจาไว้
เมื่อถูกเฟิงเจวี๋ยหร่านพารวน เฟิงเจวี๋ยเสวียนถึงกับไปต่อไม่ถูก หลิงเฟิงเยียนที่อยู่ด้านข้างกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ยิ้มกล่าวว่า “ท่านอ๋องเซวียนทรงเมตตาต่อหญิงงามผู้นี้ยิ่ง ไม่ว่าสิ่งใดล้วนมอบให้นางทั้งสิ้น คุณหนูผู้นี้ช่างมีวาสนานักที่ได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องเช่นนี้ ไม่ทราบว่าคุณหนูกับท่านอ๋องเซวียนไปมาหาสู่กันมานานแล้วหรือ”
“ให้คุณหนูรองเห็นเื่ชวนหัวแล้ว การได้รับความรักความเมตตาจากท่านอ๋องนับเป็วาสนาของข้าแล้ว ไหนเลยจะกล้าอาจเอื้อมอวดอ้างว่าไปมาหาสู่อันใด เพียงแค่ได้รับความดูแลเอาใจใส่ชั่วครั้งชั่วคราวก็นับเป็พระกรุณายิ่งแล้ว” โม่เสวี่ยถงแสร้งทำเป็ไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำถามของหลิงเฟิงเยียน ยิ้มกล่าวพลางเข้าไปแอบอิงข้างกายเฟิงเจวี๋ยหร่านอย่างฉอเลาะเอาใจ
พฤติกรรมเยี่ยงนี้จะเป็ธิดาในสกุลดีที่ไหนได้ สายตาของหลิงเฟิงเยียนกวาดมองพวกเขาสองคนเงียบๆ ก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดปรกติ คนหนึ่งเป็เพียงสตรีที่ปิดบังหน้าตามิให้ใครเห็น อีกหนึ่งคือองค์ชายเสเพลธรรมดาที่ดูท่าจะหลงใหลในหญิงคณิกาจนหน้ามืดตามัว
เมื่อแน่ใจในสถานะของนางแล้ว หลิงเฟิงเยียนก็เดินกลับไปยืนข้างกายของเฟิงเจวี๋ยเสวียนตามเดิมและไม่กล่าวสิ่งใดอีก ทว่าก้นบึ้งดวงตาเจือไปด้วยความดูิ่ดูแคลน ก็แค่หญิงนางโลมชั้นต่ำที่เป็ของเล่นชั่วครั้งชั่วคราว จะมาเปรียบเทียบกับตนเองได้อย่างไร ได้ยินว่าภาพเหมือนของนางถูกเซวียนอ๋องส่งกลับมา ดูท่าองค์ชายผู้นี้จะไม่มีปณิธานยิ่งใหญ่ ไร้ความทะเยอทะยาน หลงมัวเมาอยู่กับหญิงนางโลม ไหนเลยจะมาคานอำนาจกับองค์ชายสามได้ ฮองเฮาทรงกังวลพระทัยเกินไปแล้ว
……………………………………………………………………………………………….……......
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ภาพที่สองเป็ภาพแกะอยู่ฝั่งซ้ายกำลังท้าทายหมาป่า ‘หยาง’ มีความหมายว่าแกะ ‘เหมย’ พ้องเสียงกับคำว่าไม่มี มีฝั่งหนึ่งที่ไม่มีแกะ ดังนั้นคำตอบจึงเป็ ‘หยางเหมย’ หยางเหมยเป็ผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีรสเปรี้ยวหวาน ผลสีแดง กินแก้กระหายน้ำได้ดี ส่วน ‘หยางเถา’ คือผลมะเฟือง คำว่า ‘เถา’ ออกเสียงคล้ายกับคำว่า ‘เถี่ยว’ ที่แปลว่าท้าทาย ในภาพแกะกำลังยั่วยุหมาป่า ดังนั้นจึงเป็ ‘หยางเถา’ ก็ได้ ภาพนี้จึงสามารถตอบเป็ผลไม้ถึงสองอย่าง
[2] ภาพที่หนึ่ง ‘เฉ่าเหมย’ หมายถึงสตรอว์เบอร์รี ‘เฉ่า’ แปลว่าหญ้า ‘เหมย’ คือไม่มี ในภาพแกะยืนเบียดเต็มทุ่งจนไม่เห็นต้นหญ้า ดังนั้นจึงไม่มีหญ้า คำตอบจึงเป็ ‘เฉ่าเหมย’
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้