เมื่อนางเห็นว่ามีคนมาหา ก็ยิ้มทันทีแล้วเอ่ย “ที่แท้ก็พ่อครัวจางนี่เอง รีบเข้ามานั่งข้างในเร็วเข้า ท่านผู้นี้คงเป็คนที่เคยกล่าวถึงสินะ เร็วเข้า เข้ามาพร้อมกัน”
เห็นได้ชัดว่าเื่ที่พ่อครัวจางเคยมาหากัวซิวฝาง หญิงชราผู้นี้ก็รู้เื่ดี
พ่อครัวจางยิ้มและตอบว่า “ท่านป้ากัว ซิวฝานอยู่หรือไม่?”
“อยู่สิ อยู่สิ” ขณะเชิญคนทั้งสามเข้ามาในลานบ้าน นางก็ะโเข้าไปข้างในว่า “ฝานเอ๋อร์ พ่อครัวจางพาคนมาหาเ้า”
กัวซิวฝานขานรับจากในห้อง ไม่นานนักก็ออกมาต้อนรับ
กัวซิวฝานและหลิวซานกุ้ยมีอายุเท่ากัน เขารูปร่างผอมบาง ผิวพรรณขาว ท่าทางลักษณะเป็ผู้มีการศึกษา
“พี่จาง รีบเข้ามานั่งในบ้านเร็ว”
เห็นได้ชัดว่าพ่อครัวจางรู้จักเขาเป็อย่างดี จึงไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมาก จากนั้นพาหลิวซานกุ้ยกับหลิวเต้าเซียงเข้าไปในบ้าน
ที่โต๊ะอาหารในห้องโถงมีเด็กอายุประมาณสิบขวบนั่งอยู่ กำลังใช้พู่กันขีดเขียนไปมา เมื่อเห็นกัวซิวฝานพาคนเข้ามา ก็รีบลุกขึ้นแล้วขานเรียกพ่อ จากนั้นก็ทักทายพ่อครัวจางว่าท่านลุงจาง
เมื่อดวงตาของเขาเลื่อนมาหยุดที่หลิวซานกุ้ยกับหลิวเต้าเซียงก็มีท่าทีลำบากใจ ไม่รู้ว่าควรเรียกอย่างไร
“นี่คือท่านลุงหลิว ส่วนแม่สาวน้อยคนนี้คือลูกสาวของเขา เ้าก็ปฏิบัติกับนางเช่นน้องสาวก็พอ” พ่อครัวจางแนะนำเสียงดังฉะฉาน
เด็กชายคนนั้นจึงเรียกท่านลุงหลิวและน้องหลิว
พ่อครัวจางอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมเชยเด็กน้อยว่ามีมารยาท
กัวซิวฝานมีความสุขมากที่ได้ยินดังนั้น จากนั้นก็แนะนำแก่หลิวซานกุ้ยและบุตรสาว “นี่คือบุตรชายของข้าเอง นามว่าซั่วิ เนื่องจากเกิดใน่ฟ้าสาง จึงมีนามฉายาว่าเฉินเลี่ยง [1]”
หลังจากแนะนําเสร็จ พ่อครัวจางก็ต้องรีบไปที่โรงเตี๊ยม เขาจึงตรงเข้าประเด็นแล้วแนะนําหลิวซานกุ้ยให้รู้จัก
กัวซิวฝานถามว่าเขาสามารถอ่านออกเขียนได้หรือไม่ ซึ่งเป็สิ่งที่อาจารย์ควรถาม มันเป็ข้อปฏิบัติทั่วไป หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว เขาก็สามารถสอนตามความถนัดของตนได้
หลิวซานกุ้ยไม่ได้ปิดบังเช่นกัน จึงตอบว่ารู้จัก ‘คัมภีร์ตรีอักษรและคัมภีร์ร้อยตระกูล’ เท่านั้น
กัวซิวฝานพยักหน้าเล็กน้อย การที่เขารู้จักอักษรบางส่วนก็ถือว่าสอนไม่ยาก จึงหยิบยกคำพูดจากคัมภีร์ทั้งสองเล่มมาถามหรือท่อง และบรรยายความหมาย
หลิวซานกุ้ยตอบได้ครบถ้วน
กัวซิวฝานแอบประหลาดใจ ว่ากันว่าซานกุ้ยผู้นี้ได้ทิ้งการอ่านตำราไปนานหลายปี แต่ยังจำได้ทั้งหมด นับว่ามีความตั้งใจอย่างยิ่ง
ในฐานะอาจารย์ การได้พบเจอลูกศิษย์ที่มีความเพียรพยายาม ช่างรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลม
“ข้าเห็นว่าเ้ามีพื้นฐานที่ดี ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องสอนตำราสองเล่มนี้ให้เ้าอีก ต่อไปเริ่มต้นที่ ‘คัมภีร์พันอักษร’ ก็พอ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หัวใจของหลิวซานกุ้ยก็ตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เขาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “อาจารย์ ข้าผ่านด่านแล้วจริงหรือ?”
“ข้าเห็นว่าเ้าเรียนได้ไม่เลว ตอนนั้นน่าจะพยายามอย่างหนัก ผ่านมาหลายปีแต่เ้าก็ไม่ได้ทอดทิ้ง เห็นได้ว่าเ้ามีใจอย่างยิ่ง ข้าจำต้องทุ่มเทในการถ่ายทอดวิชาให้เ้า”
คำกล่าวนี้หมายความว่าหลิวซานกุ้ยเป็ทรัพยากรที่ดีงาม
ตอนนี้เขาได้รับการอนุมัติจากกัวซิวฝานแล้ว ส่วนที่เหลือคือการคำนับอาจารย์
หลิวซานกุ้ยพูดด้วยความอับอายว่า “อาจารย์ ข้าไม่รู้ว่าท่านพี่จางได้อธิบายให้ท่านฟังหรือไม่ว่า ข้าไม่อาจไปเล่าเรียนในสถาบันได้ ที่นั่นมีแต่เด็กน้อย ข้าที่ตัวใหญ่ไปนั่งรวมอยู่ในนั้น เห็นทีคงไม่เหมาะสม”
เห็นได้ชัดว่ากัวซิวฝานไม่ได้เจอเื่แบบนี้เป็ครั้งแรก เขาหัวเราะแล้วเอ่ย “แม้ว่าในหมู่นักเรียนของข้าอายุของเ้าจะเยอะที่สุด แต่ข้าก็สอนเด็กหนุ่มสองสามคนด้วย ต่างก็รู้สึกเขินอายที่จะเล่าเรียนกับเด็กปฐมวัย ท่านพี่จางบอกกล่าวกับข้าก่อนแล้ว เอาเช่นนี้ ยามปกติ่บ่ายข้าจะไปสอนในสถาบัน ่รุ่งเช้าั้แ่ยามเฉิน(07:00-08:59) จนถึงยามหวู่ (12:00-13:59) เ้ามาเรียนที่บ้านของข้า ข้าจะสอนเ้าตอนเช้า ส่วน่บ่ายก็ตามอัธยาศัยของเ้าว่าจะกลับบ้านไปฝึกทบทวนหรือกลับไปทำงานที่บ้านก็ตามใจ”
หลิวซานกุ้ยได้ยินเขาพูดดังนั้น ก็รู้สึกว่าการจัดเวลาเช่นนี้เหมาะสมยิ่งนัก
ดังนั้นเขาจึงเอาถาดพิธีที่มีผัก เนื้อหมูและซู่ซิวหนึ่งร้อยอีแปะ แล้วก็สุราอีกสองชุดออกมา
กัวซิวฝานมองดูเขาหยิบของออกมาทีละอย่าง จึงบอกว่าสิ้นเปลืองเปล่าๆ แม้นว่าจะไม่ซื้อเนื้อหมูก็ไม่เป็ไร แต่เมื่อหลิวซานกุ้ยหยิบสุราออกมา เขากลับรับไปโดยตรงกับมืออย่างมีความสุข
เมื่อเปิดขวดสุราเขาก็ดื่มเข้าไปกรึ๊บหนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ย “นี่คือสุราที่มาจากบ้านตระกูลซุน นับว่าบริสุทธิ์อย่างหาไม่ได้”
“ท่านพ่อ คนเขายังรอพิธีคำนับอาจารย์อยู่นะ!”
กัวซั่วิซึ่งอยู่ด้านข้างเอื้อมมือออกไปและดึงแขนเสื้อของพ่ออย่างเงียบๆ
หลิวเต้าเซียงมองไปที่กัวซิวฝาน จากนั้นเอามือปิดปากหัวเราะเบาๆ ดูก็รู้ว่าเป็ผีเหล้าตัวจริง
กัวซิวฝานได้ยินคําเตือนของลูกชาย ใบหน้าชราก็แดงขึ้นเล็กน้อย
พ่อครัวจางรีบเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ซั่วิ ไม่ใช่แค่เพียงท่านพ่อของเ้าที่มีรสนิยมเช่นนี้ กระทั่งข้าและน้องชายหลิวเองเมื่อได้กลิ่นก็เริ่มรู้สึกคันคอเหมือนกัน”
กัวซิวฝานพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและตอบว่า “วันนี้มีสุรา หรือไม่อย่างนั้นก็เชิญทั้งสองมาร่วมดื่มกันสักจอก”
เช่นนี้ย่อมเป็ไปไม่ได้
พ่อครัวจางโบกมือและบอกว่าภายภาคหน้าเขาจะต้องกลับมาขอดื่มสุราสักจอก เพียงแต่อีกเดี๋ยวเขายังต้องเข้างานที่โรงเตี๊ยม
หลิวซานกุ้ยยิ่งไม่ควรอยู่ต่อเพื่อร่วมทานข้าวด้วย เขาเองก็เห็นแล้วว่าในบ้านหลังนี้ ครอบครัวของอาจารย์ท่านนี้ก็ยากจนเช่นกัน เกรงว่าคงต้องนับเมล็ดข้าวสารเวลาหุงข้าว จึงอ้างว่าในบ้านยังกังวลเื่ที่ตนเองจะได้เล่าเรียนหรือไม่ หลังจากคำนับอาจารย์เรียบร้อยยังต้องรีบกลับบ้าน
กัวซิวฝานเห็นว่าทั้งสองบ่ายเบี่ยง จึงไม่ได้รั้งไว้
จากนั้นขอให้กัวซั่วิไปเตรียมเทียนหอม ส่วนตนเองไปหยิบชามในห้องครัวออกมาหลายใบ จัดวางเนื้อหมู ผักห้าชนิด แล้วนำไปวางตรงหน้าภาพวาดขงจื๊อในห้องโถง
หลิวเต้าเซียงรินสุราข้าวไว้หนึ่งจอก
แล้วให้หลิวซานกุ้ยคำนับท่าของลูกศิษย์ต่อหน้าขงจื๊อ เมื่อหลิวซานกุ้ยคำนับเสร็จสิ้น ก็หันไปโค้งคำนับยาวแก่กัวซิวฝาน แล้วขานเรียกอาจารย์ กัวซั่วิที่อยู่ด้านข้างเตรียมน้ำชาไว้ให้แล้วยื่นให้หลิวซานกุ้ย ชัดว่าเขาทำเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง
หลิวซานกุ้ยยื่นถ้วยชาให้กัวซิวฝาน แล้วเอ่ยขานให้อาจารย์โปรดดื่มชา กัวซิวฝานรับน้ำชามาแล้วจิบไปสองอึก ถัดจากนั้นก็เอ่ยคำพูดของอาจารย์ที่น่าชื่นชมเคารพอย่างเป็ธรรมเนียมปฏิบัติ พิธีคำนับอาจารย์ก็ถือเป็อันเสร็จเรียบร้อย
ั้แ่นั้นมาหลิวซานกุ้ยก็ออกไปตกปลาแต่เช้า เพื่อที่จะประหยัดเวลา หลิวเต้าเซียงกับเขาจึงเข้าไปในตำบลพร้อมกัน
หลิวซานกุ้ยไปเล่าเรียนที่บ้านกัวซิวฝาน ส่วนหลิวเต้าเซียงก็เล่นอยู่ที่บ้านแซ่กัว จวบจนถึงเวลากลับบ้านของแม่เฒ่าจาง นางถึงได้หิ้วปลาแล้วกระโตงกระเตงไปยังบ้านแม่เฒ่าจาง
วันหนึ่งจะขายได้ราวหลายสิบถึงหนึ่งร้อยอีแปะ โชคดีที่ในบ้านเริ่มมีรายได้เพิ่มขึ้น
หลิวเต้าเซียงไม่้าเก็บเงินเ่าั้ไว้ หลังจากนับเรียบร้อยก็มอบให้จางกุ้ยฮัว เดิมทีจางกุ้ยฮัว้าให้นางเก็บไว้ แต่หลิวเต้าเซียงมีค่าเช่าบ้านของตนเองอยู่แล้ว บวกกับค่าเล่าเรียนที่ต้องจ่ายของหลิวซานกุ้ย จึงไม่ขอเงินที่เขาจับปลามาได้มาไว้กับตัวเอง
อีกทั้งหลิวซานกุ้ยมักจะถูกกัวซิวฝานรั้งไว้ให้อยู่ดื่มสุราต่อ นางจึงหาข้ออ้างว่าไม่ค่อยวางใจเื่ในบ้าน จึงขอตัวกลับก่อน
“เซียงเซียง ไก่ของคุณออกไข่อีกแล้วนะ!” เสียงนุ่มนวลน่ารักนั้นไม่ได้ทำให้หลิวเต้าเซียงใจอ่อนแต่อย่างใด
ได้ยินเพียงเสียงที่นางด่าพร้อมกับหน้าดำคร่ำเครียด “นายน่ะสิมี [2] นายมันเ้าต้นกล้าถั่วงอกสองเพศ”
“คุณพูดไปเรื่อย ต้นกล้าถั่วมีดอกทั้งเพศผู้เพศเมีย เป็ครอบครัวเดียวกัน ผมขอปฏิเสธเื่รวมเพศ” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดโมโหจนแทบะเิ จะพูดอะไรก็ได้ แต่ห้ามบอกว่ามันคือสองเพศในร่างเดียว
หลิวเต้าเซียงเห็นว่ามันโมโห จึงพ่นออกไปหนึ่งประโยค “เอาเถอะ แลกข้าวสารให้ฉันหน่อย”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดที่เดิมทียังคงโห่ร้อง ก็ตอบอย่างประจบประแจงทันที “เซียงเซียงที่รัก คุณ้าแลกกี่ร้อยกิโลกรัมดีครับ?”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดกําลังคํานวณไก่หนึ่งพันตัวของหลิวเต้าเซียง สามารถออกไข่ได้ราวสี่ร้อยใบต่อวัน หากคำนวณการแลกข้าวสารจากไข่สี่ใบ คิดอย่างไรก็แลกได้เพียงห้าสิบกิโลกรัม จากนิสัยตระหนี่ของหลิวเต้าเซียง ไม่มีทางแลกหมดแน่นอน มันจึงคิดเองแล้วเสริมอย่างมีมนุษยธรรมว่า “สามารถเซ้งไว้ก่อนได้นะครับ ถึงเวลาที่ต้องจ่ายค่าเช่าให้กับบริษัทค่อยหักจำนวนไข่ออกไปทีเดียว”
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นก็หวั่นไหว ที่แท้ก็สามารถติดหนี้ไว้ก่อนได้หรือ จากนั้นก้มศีรษะมองขาสั้นๆ ของตนเอง สุดท้ายก็ยอมถอดใจที่จะยืมจากมันสักหลายร้อยกิโลกรัม
“เอาข้าวสารให้ฉันก่อนสักสิบกิโลกรัม!”
นางคํานวณว่าข้าวสิบกิโลกรัมเป็จำนวนที่นางสามารถแบกได้
“หืม แค่สิบกิโลกรัมหรือครับ?” เสียงของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดฟังดูไม่เต็มใจเล็กน้อย
หลิวเต้าเซียงปรายตามองและพูดว่า “นายแบ่งขายไม่เป็หรือไง ถึงอย่างไรฉันก็ต้องซื้ออยู่ดี”
ไม่ง่ายเลยที่หลิวซานกุ้ยจะไม่ได้ตามมาด้วย นางไม่มีทางกินแต่โจ๊กข้าวร่วนแน่นอน ย่อมต้องแลกข้าวสารกินอยู่แล้ว
“นอกจากนี้ นายลองคิดดูว่าหากฉันจะเอาข้าวสารกลับบ้านห้าสิบกิโลกรัม ท่านแม่ฉันจะเชื่อหรือ?”
คาดว่าจางกุ้ยฮัวคงเอาไม้เรียวมารอต้อนรับนางอย่างดีสิไม่ว่า
การเอาไม้เรียวไม้ไผ่มาสั่งสอนเด็กคือวัฒนธรรมประเพณีของชาวหมู่บ้านสามสิบลี้
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดคิดถึงแขนขาเรียวเล็กของหลิวเต้าเซียง แล้วลองคาดคะเน หากว่าโฮสต์ของตนแบกข้าวสารถึงห้าสิบกิโลกรัมจริง คงต้องถูกทับแบนเป็กระดาษแน่นอน
ในที่สุด หลิวเต้าเซียงก็ได้ข้าวสารสิบกิโลกรัมตาม้า
ครอบครัวสี่คนกินแบบประหยัดหน่อย ก็สามารถกินได้ราวยี่สิบวัน หากว่ากินแบบอิ่มหนำสำราญ เดาว่าคงสิบสี่ถึงสิบห้าวัน หลักๆ เพราะว่าหลิวซานกุ้ยใช้กำลังเยอะมากที่สุด จึงกินมากที่สุดด้วย
ขณะที่นางกลับบ้าน อืม ไม่มีใครอยู่ในบ้าน ไม่รู้ว่าไปไหนกันหมด
หลิวเต้าเซียงวางข้าวสารไว้ที่เดิม รอจนอาหารค่ำถึงแอบบอกกับจางกุ้ยฮัวว่าวันนี้ตนเองไปช่วยวิ่งงานอีกแล้ว ได้เงินค่าตอบแทนจึงนำไปซื้อข้าวสาร “ท่านแม่ นี่คือเงินที่ท่านพ่อได้จากการจับปลา ท่านเก็บไว้ให้ดี ทั้งหมดคือหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดอีแปะ”
จางกุ้ยฮัวมีความสุขมาก เพียงแค่เวลาเจ็ดแปดวัน ในครอบครัวก็มีเงินถึงหนึ่งพวง [3] นี่เท่ากับว่าคุ้มค่ากว่าการทำนาเสียอีก หากว่าทำงานหนักทั้งปี ครอบครัวของนางคงเก็บเงินได้ถึงหลายสิบตำลึงก้อนสินะ?
ในความเป็จริง ทุกคนรู้ว่าการตกปลาสามารถทําเงินได้ แต่การจับปลาได้เพียงอย่างเดียวยังไม่พอ ใครเล่าจะมีเวลาว่างมากเพื่อไปตลาดทุกวัน แม้นว่าจะมีคนซื้อ แต่หากเป็ปลาตายราคาก็จะถูกกดลง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คุ้ม สู้ไปรับงานนอกเสียดีกว่า
“เฮ้อ จะว่าไป เรายังต้องขอบพระคุณนายท่านจิ่วกับแม่เฒ่าจางให้มาก ข้าว่าโลกนี้ก็ยังมีคนดีอยู่มากนัก”
หลิวซานกุ้ยกินอาหารจนอิ่มเต็มท้อง ขณะวางตะเกียบลงก็เอ่ย “ประหยัดกันหน่อย อีกครึ่งเดือนก็จะถึงการเกี่ยวข้าวต้นฤดู ถึงตอนนั้นบรรดาคนที่ไปทำงานชั่วคราวข้างนอกก็จะกลับมา เทศกาลแย่งกันเกี่ยวแย่งกันปลูกจะยุ่งขึ้นมาก เกรงว่าคงไม่สามารถไปจับปลาเกือบหนึ่งเดือน รอจนผ่านพ้นเทศกาลไป ข้าจะขึ้นเขาสักรอบเพื่อล่าสัตว์ป่านำไปมอบให้บ้านนายท่านจิ่วกับพี่ชายจาง”
จางกุ้ยฮัวพึมพําสองสามคำบอกให้เขาระมัดระวังตัวเวลาขึ้นเขา จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
ครอบครัวฝั่งของหลิวเต้าเซียงแอบทำการค้าขายลับหลังหลิวฉีซื่อ แต่ก็นับว่าทุกอย่างราบรื่นดุจสายลมและน้ำ
แต่กับหลิวซุนซื่อนั้น กลับเป็่เวลาแห่งความตรากตรำ
ณ ห้องทิศเหนือของห้องปีกตะวันออกของตระกูลหลิว
หลิวจูเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนคั่งกำลังทามือด้วยยาหม่อง ข้างๆ มีกล่องทองแดงที่เปิดฝาโยนทิ้งไว้ ภายในมียาที่ถูกกวาดจนหมด นางกำลังทามือซึ่งมีเหลือให้ทาแค่ครั้งสุดท้าย
ม่านประตูถูกยกขึ้นอย่างแรง หลิวซุนซื่อเอามือเท้าเอวแล้วค่อยๆ เดินเข้ามา
-----
เชิงอรรถ
[1] เฉินเลี่ยง 晨亮 แปลว่า อรุณสว่าง
[2] ในย่อหน้านี้ที่สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดกล่าวถึง “ไก่ของคุณออกไข่แล้วครับ” คำว่า ไก่ ในที่นี้ ภาษาจีนคือ ‘鸡’ จี เป็คำแสลงหมายถึง อวัยวะเพศของผู้ชาย
[3] เงินหนึ่งพวง ภาษาจีนคือ 一吊钱 อี๋เตี้ยวเฉียน เท่ากับ 1000 เหวินหรือ 1000 อีแปะ ซึ่งมีค่าเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน
