“ชิ” ฉิงชางจวินอดไม่ได้ที่จะกัดลิ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เ้ายังเด็กเพียงนี้แต่เก่งกาจนัก”
สวีอี่ซินถือว่าเป็คำชม นางยิ้มอย่างสดใสและถามต่อ “พี่ฉิน ปีนี้ท่านจะฉลองปีใหม่ด้วยกันกับพวกเราหรือไม่? อีกเพียงไม่กี่วันจะถึงวันสิ้นปีแล้ว สู้อยู่ในจวนต่อไปไม่ดีกว่าหรือ? พี่ใหญ่ค่อนข้างจะว่าง หากเบื่อก็ให้เขาเล่นหมากล้อมกับท่านสักสองสามตา ข้ายังแลกเปลี่ยนทักษะการเล่นพิณกับท่านได้อีกด้วย”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ย “อย่าเลย เป็ข้าต่างหากที่...มีความรู้เพียงตื้นเขิน ทักษะน้อยนิดยากที่จะแสดงให้เห็นอย่างสง่างาม”
สวีอี่ซินเบะปาก “ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าฉิงชางจวินเชี่ยวชาญเื่ท่วงทำนองเป็อย่างยิ่ง ข้าคิดว่าพี่ฉินไม่ต้องถ่อมตัวหรอก เพียงรังเกียจทักษะอันน้อยนิดของข้าต่างหาก”
เจียงเฉิงเยว่เตรียมจะพูดต่อว่าเขารู้เพียงผิวเผินเท่านั้น แต่จู่ๆ ตนเองกลับต้องหยุดนิ่ง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วถาม “ซินเอ๋อร์ ดูเหมือนว่าข้าจะไม่เคยบอกนามในปรโลกของตนเองกับเ้านะ?”
สวีอี่ซินตกตะลึงจนใบหน้าซีดเซียว นางมองมา “พี่ฉิน ข้าไม่ได้อ่านหนังสือการบ่มเพาะทางเต๋าเ่าั้ที่ท่านให้ข้าโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่าจะมีรากจิติญญาไม่เพียงพอจะบ่มเพาะในทางเต๋า และข้าไม่อาจที่จะทำสำเร็จได้ แต่ด้านความรู้พื้นฐานข้ายังพอเข้าใจอยู่บ้าง” ทันใดนั้น นางก้าวมาข้างหน้าแล้วจับมือของเจียงเฉิงเยว่ มองหลอดเืดำที่ชัดเจนใต้ิัของเขา แม้กระทั่งรูขุมขนบนิัจางๆ ยังคงกล่าว “ภูตผีธรรมดาจะมีความสามารถในการควบแน่นเป็ร่างแท้จริงที่ไม่มีความแตกต่างกับคนเป็แล้วมายืนพูดคุยเล่นกับข้าตรงนี้ในกลางวันแสกๆ ได้เช่นไร? ระดับการบ่มเพาะในขอบเขตนี้ แม้แต่ในปรโลกยังนับนิ้วได้เพียงไม่กี่ตน แม้ว่าข้าจะไม่ใช่ชาวสำนักเต๋า ถึงอย่างไรก็มีเงินเพียงพอ การสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับปรโลกที่ผู้คนรับรู้กันจากชาวสำนักเต๋าเล็กน้อยจึงไม่ใช่ปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรารู้จักกันมานาน เดาเพียงเล็กน้อย...ย่อมเดาได้แล้ว พี่ฉิน ท่านวางใจเถิด ข้ารู้ถึงความหนักเบาของเื่ราว จะไม่เปิดเผยต่อผู้อื่นสักครึ่งคำโดยเด็ดขาด”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง แม้ว่าสำหรับาาผีแล้ว สิ่งต้องห้ามที่สุดคือการถูกผู้อื่นเสาะหาและคาดเดาตัวตนที่แท้จริง แต่หลังเขาลองคิดดู เขาเองก็ขาดความรับผิดชอบ ตัวเขาเองไม่ยั้งปากและเปิดเผยเบาะแสกับนางไปไม่น้อย เขารู้ว่านางคือผู้ที่กลับชาติมาเกิดของอิ๋งเอ๋อร์ จึงไม่ได้ป้องกันตัวตนกับนางเท่าไรนัก
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดไม่จา สวีอี่ซินรู้สึกร้อนใจขึ้นมาพลางกุมมือเขาแน่น “พี่ฉิน ท่าน...ท่านจะไม่โทษข้าใช่หรือไม่? ถ้าหาก...ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ ต่อไปข้าจะไม่ทำเื่วาดงูแล้วเติมขา[1] เหล่านี้อีกแล้ว! ท่านอย่าโกรธข้าได้หรือไม่ อย่าเมินข้าได้หรือไม่กัน?”
เจียงเฉิงเยว่หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาใจอ่อนยวบอีกครั้ง ได้แต่ยื่นมือไปวางบนศีรษะของนางด้วยความเคยชิน บอกด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็ไร เพียงอย่าให้คนอื่นรู้เด็ดขาด”
แม้จะคิดไว้ว่าจะถูกผู้ใดล่วงรู้เข้า แต่สิ่งที่เขากลัวไม่ใช่เพราะตนเอง สุดท้ายแล้ว ณ ตอนนี้เขาไม่ได้เป็ผีเร่ร่อนอย่างคราแรกแล้ว เขามีความสามารถเพียงพอที่จะปกป้องตนเอง แต่สิ่งที่เขากลัวคือศัตรูของตนเองอาจรู้ว่าเด็กสาวตรงหน้านั้นสำคัญกับตน แล้วอาจนำหายนะมาให้นางกับครอบครัวของนาง
สวีอี่ซินจับมือของเขามากุมไว้ในฝ่ามือ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อืม!”
ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าอีกครั้งด้วยความลำบาก สวีอี่ซินพลันตื่นเต้นขึ้นมา นางเอ่ยกับเจียงเฉิงเยว่ “พี่ฉิน หากท่านแม่รู้ว่าท่านจะอยู่ฉลองปีใหม่ที่บ้านของข้าในปีนี้ต้องดีใจแทบตายแน่!”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง “ซินเอ๋อร์ ข้าอยู่ต่อไม่ได้แล้ว”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของสวีอี่ซินหายไปโดยพลัน “ทำไมเล่า?!”
เจียงเฉิงเยว่บอกด้วยรอยยิ้มขมขื่นเล็กน้อย “วันขึ้นปีใหม่มีข้อห้ามมากมายสำหรับาาผี เ้าลืมแล้วหรือว่าวันนั้นทุกคนจะยุ่งอยู่กับการปราบภูตผี สิ่งที่ปราบก็คือ ‘ภูตผี’ อย่างข้า แล้วข้าจะอยู่ที่นี่ไปทำไม? เพื่อเฝ้ารอที่จะถูกใครกำจัดหรือ?” อันที่จริงด้วยฐานการบ่มเพาะของเขาในปัจจุบัน เดิมทีเขาไม่หวาดหลัวหรอก เพียงแค่หาข้ออ้างให้ตนเองเท่านั้น เขาเคยชินกับการอยู่คนเดียว ภายในใจจึงเกิดความตื่นตระหนกกับเทศกาลรื่นเริง
สวีอี่ซินมองเขาด้วยแววตาที่ลุกโชนและท่าทีจริงจัง
.............................
วันนี้ เจียงเฉิงเยว่พักอยู่ที่จวนของตนเองในเมืองอี้หลี กำลังถือหนังสือเล่มหนึ่งแล้วอ่าน ฉับพลันลูกน้องคนสนิทคนหนึ่งรีบโน้มตัวเข้ามากระซิบที่ข้างหูของเขา “คุณชาย จินฮุยเขา...”
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “จินฮุย? เกิดอะไรขึ้น?”
ลูกน้องบอก “เขาถูกผู้ฝึกฝนมนุษย์บังคับเรียก ก่อนหน้านี้คุณชายได้กำชับไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าตอบรับการอัญเชิญ ระหว่างที่ต่อต้านอย่างแข็งกร้าวิญญาได้รับความเสียหาย”
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้วแล้ววางม้วนหนังสือลง หยิบพู่กันบนโต๊ะจุ่มลงในชาด แล้วหยิบกระดาษยันต์เพื่อเขียนยันต์แผ่นหนึ่ง เมื่อเขาเขียนยันต์เสร็จสิ้นจึงเป่าให้แห้งอย่างระมัดระวัง จากนั้นส่งมันให้กับคนสนิทแล้วเอ่ย “ยันต์นี้ เ้าไปมอบให้จินฮุยแทนข้า ให้เขาเก็บมันไว้ให้ดี มันปกป้องิญญาของเขาได้ จะไม่ถูกผู้ฝึกฝนมนุษย์คนนั้นบังคับเรียกอีกต่อไป “
ลูกน้องคนสนิทของเขารีบรับไว้ด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง “ขอรับ”
.............................
เดือนสาม ฤดูหนาวที่หนาวเหน็บเพิ่งผ่านพ้นไป มีความอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิและดอกไม้บาน ฉินจินฮุยเสร็จสิ้นการ ‘ท่องโลก’ จึงกลับไปยังจวน เขาถือโอกาสไปเยี่ยมจวนสกุลสวีอีกครั้ง สามีภรรยาสกุลสวีเห็นเขาเป็บุตรบุญธรรมจึงยินดีเป็อย่างยิ่ง เมื่อเข้าประตูไปเขากลับเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยยืนตัวตรงห่างจากประตูอยู่ไม่ไกลอย่างไม่คาดคิด จึงหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา
สวีอี่ชิงเข้ามาต้อนรับ เจียงเฉิงเยว่เอียงศีรษะไปทางนอกประตูแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คนผู้นั้นยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ?”
สวีอี่ชิงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เฮ้อ เมื่อปีก่อนกลับไปที่โซ่วหลิง ปีต่อมากลับมาอีกครั้ง กล่าวให้ถูกคือ...น้องสาวคนรองของข้าถูกท่านพ่อท่านแม่ตามใจั้แ่เด็ก จึงมีอารมณ์ร้อนและนิสัยดื้อรั้น ยามนี้แม้แต่ประตูจวนยังไม่ให้เข้ามา”
เจียงเฉิงเยว่ปิดปากยกยิ้ม
สวีอี่ชิงกล่าว “หากเป็คนธรรมดาแล้วไล่เขาไปก็ไม่เป็ไร แต่คุณชายหยวนผู้นั้นสุดท้ายแล้วมีสถานะอย่างไร จึงไม่เหมาะที่จะทำให้ขุ่นเคืองใจนัก พ่อแม่ของข้า ข้าและน้องรองผลัดกันไปเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไป แต่นิสัยของคนผู้นั้นกลับดื้อรั้น ทุกวันนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี สุดท้ายจึงได้แต่มายืนด้วยกันกับเขาเท่านั้น”
สวีอี่ชิงเสริมอีก “พี่ฉิน หากท่านเจอเด็กคนนั้นอย่าได้พูดถึงคนผู้นี้ต่อหน้านางเป็อันขาด เด็กคนนั้นอาจสติแตกก็ได้”
ครั้งนี้เจียงเฉิงเยว่หัวเราะออกมาดังลั่น
เพียงไม่นานสวีอี่ซินก็ออกมาต้อนรับอย่างตื่นเต้น จากนั้นหยิบถุงผ้าที่ปักลายอย่างประณีตงดงามออกมาจากแขนเสื้อ นางกระมิดกระเมี้ยนด้วยความเขินอายแล้วส่งให้เจียงเฉิงเยว่ “พี่ฉิน อันนี้ข้าให้ท่าน”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าถุงผ้านั้นปักลวดลายเมฆมงคล พื้นเป็ผ้าแพรต่วนสีดอกบัว ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อยจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ยังคงลังเลอยู่บ้าง เป็เวลานานกลับยังไม่รับ รอยยิ้มบนริมฝีปากของสวีอี่ซินจึงนิ่งค้าง เวลานี้สวีอี่เจิน พี่รองของนางมาจากอีกด้านหนึ่งพอดี หลังมองแวบหนึ่งเขาพูดอย่างไม่พอใจ “ซินเอ๋อร์น้อยลำเอียง!”
สวีอี่ซินจ้องอีกฝ่ายแวบหนึ่ง สวีอี่เจินเพียงทำเป็มองไม่เห็น จากนั้นฟ้องกับเจียงเฉิงเยว่อีกครั้ง “พี่ฉินคงไม่รู้ แต่เมื่อเร็วๆ นี้ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีประเพณีในหมู่ชาวบ้านที่น้องสาวจะต้องมอบถุงผ้าให้พี่ชาย และเด็กคนนี้ช่างไร้ฝีมือ สิ่งที่มอบให้ข้ากับพี่ใหญ่ล้วนเป็ของกึ่งสำเร็จรูป ท่านอาจไม่เห็นแม้แต่รอยเย็บ ์! เป็เช่นนี้ยังบังคับให้ข้ากับพี่ใหญ่ต้องพกไว้อีก ชิ”
เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกในทันที เขารับมาอย่างเป็ธรรมชาติ จากนั้นพลิกดูซ้ายขวาอยู่สองรอบจึงพูด “ใช้ได้เลย ค่อนข้างประณีตงดงาม”
สวีอี่ชิงที่อยู่ด้านข้างเพียงหัวเราะเสียงดัง “พี่ฉิน ท่านไม่รู้อะไร ชิ้นนี้ของท่าน ซินเอ๋อร์ทุ่มเทปักมันเป็เวลานานที่สุด จึงต้องประณีตงดงามอยู่แล้ว”
สวีอี่ซินเอ่ยกับพวกเขาอย่างโกรธเคือง “หากไม่้าก็คืนข้ามาให้หมด!”
สวีอี่ชิงรีบจับที่เอวของตนเอง “เช่นนี้ไม่ได้หรอก”
สวีอี่เจินบอกด้วยรอยยิ้ม “เฮ้ ข้า้า จะคืนก็คืนไม่ได้แล้ว” เขากำลังถือโอกาสที่สวีอี่ซินโกรธโดยไม่ได้สนใจ แอบโน้มตัวไปเอ่ยที่ข้างหูของเจียงเฉิงเยว่กับสวีอี่ชิงอย่างพึงพอใจเล็กน้อย “พี่ฉินเดาว่าอย่างไร? ผลงานของเด็กคนนี้ล้ำค่ายิ่งนัก!”
เฉิงเยว่ยังไม่ทันได้ถาม สวีอี่ชิงเปลี่ยนสีหน้ากล่าว “ทำไมเล่า?”
สวีอี่เจินตอบ “ข้าขายให้กับคนผู้นั้นที่อยู่หน้าประตู สามพันตำลึงทอง!”
สีหน้าของสวีอี่ชิงเปลี่ยนไป เขาดุน้องรองด้วยความโกรธ “หรือว่าเ้าเห็นแก่เงินจนเป็บ้าไปแล้ว?! ทำเื่หลอกลวงคนเช่นนี้ได้อย่างไร?”
สวีอี่เจินเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ใช่ว่าข้า้าขายให้เขา แต่เป็เขาที่เห็นมันแล้ว้าจะซื้อ และก็เป็ตัวเขาเองที่เสนอราคา ถุงผ้าปักเช่นนั้นคุณชายหยวนยังถือว่าเป็ของล้ำค่า เฮ้อ ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีไม่ได้ปักให้เขาด้วย...” เอ่ยถึงตรงนี้เขาอดไม่ได้ที่จะหันศีรษะไปมองน้องสาวคนรองที่กำลังยุ่งกับการสั่งให้สาวใช้จัดวางสุราและอาหาร ก่อนส่ายศีรษะด้วยความเห็นใจเล็กน้อย “คุณชายหยวนช่างน่าสงสารจริงเชียว ชอบใครดีๆ ไม่ชอบ ทำไมถึงได้มาสะดุดอยู่ที่คนของเรา...”
เขายังพูดไม่จบ ทางด้านสวีอี่ซินจัดวางเสร็จเรียบร้อย นางหันมายิ้มให้ทั้งสามคนที่ยืนอยู่ด้านข้างแล้วบอก “พี่ฉิน มาเร็ว...”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าเล็กน้อย สวีอี่ชิงที่อยู่ข้างกายเขารีบกำชับน้องรอง “เ้าอย่าให้ซินเอ๋อร์รู้เื่นี้เป็อันขาด ไม่เช่นนั้นระวังนางจะถลกหนังเ้า”
สวีอี่เจินรีบบอก “แน่นอน แน่นอน”
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ก่อนจากไปเจียงเฉิงเยว่คิดว่าจะกล่าวถึงคนผู้นั้นที่อยู่หน้าประตูกับสวีอี่ซิน ทว่านางกลับโกรธเคืองขึ้นมาทันใด “เขาที่เป็ฝ่าาแห่งวังตะวันออก ถึงกับเกียจคร้านจนกลายเป็เช่นนี้ ยังจะโทษข้าว่าใจดำกับเขาเกินไป? ข้าไม่ชอบความเหลวแหลกไม่รู้จักก้าวหน้าของเขา! อย่าไปสนใจเขา ปล่อยเขาไปเถิด”
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “ทำเช่นนี้ไปตลอดไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา”
สวีอี่ซิน “ไม่อนุญาตให้พูดถึงเขาอีก!”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง เขาพลันหมดหนทาง
ดังนั้นจึงบอกลาแล้วจากจวนสกุลสวีไป หลังจากเขาเผชิญหน้ากับฝ่าาจากวังตะวันออกผู้นั้นก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความเห็นใจครู่หนึ่ง ใบหน้าของหยวนฝานเป้ยขาวซีดและหยุดนิ่งเป็เวลานาน จากนั้นจึงนึกขึ้นได้แล้วประสานมือตอบ ่เวลานี้เอง เจียงเฉิงเยว่จากไปอย่างรวดเร็ว
.............................
หลังจากนั้นไม่นาน ลูกน้องของฉิงชางจวินนำข่าวที่น่าตกตะลึงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ข่าวหนึ่งมาให้เขา หลังจากผู้ฝึกฝนมนุษย์คนนั้นล้มเหลวในการอัญเชิญฉินจินฮุยอยู่หลายครั้งก็บังคับเรียกได้สำเร็จ อีกฝ่ายนำิญญาของฉินจินฮุยจากปรโลกดึงไปที่โลกมนุษย์อย่างแข็งกร้าว!
เจียงเฉิงเยว่นิ่งค้างเป็เวลานาน จากนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มเ็า “เหอะ น่าสนใจ ข้าประเมินสำนักจงหลีซานนี้ต่ำไป ช่างเป็เสือซุ่มัซ่อน[2] เสียจริง” เขาหยุดพูดชั่วคราว หลังนึกอะไรขึ้นมาได้จึงสั่งลูกน้อง “เ้าไปหาพวกซวีอวี่เสีย หากสำนักจงหลีซานจากโลกมนุษย์มาที่ตลาดผีต้องแจ้งให้ข้ารู้โดยเร็วที่สุด หากเป็ปลาตัวเล็กก็ช่างมัน สิ่งที่ข้า้าจับนั้นคือปลาตัวใหญ่”
“ขอรับ”
เมื่อตลาดผีเปิดในอีกหลายเดือนต่อมา ซวีอวี่มารายงานข้อมูลให้เจียงเฉิงเยว่ทันทีอย่างที่คาดคิด
ฉิงชางจวินยกมือขึ้นใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตามาถึงเมืองปี่อั้น ซวีอวี่ได้จัดแจงคนไว้เรียบร้อยเพื่อช่วยเจียงเฉิงเยว่สะกดรอยตามอย่างชาญฉลาด ตามการชี้นำของเขา จึงค้นพบหนึ่งในสายลับที่อยู่ในห้องส่วนตัวของโรงน้ำชาซึ่งกำลังบีบบังคับล่อลวงด้วยผลประโยชน์ ผู้ที่เชี่ยวชาญในการขายแหล่งข่าวของปรโลก ทำการแลกเปลี่ยนค่าตอบแทนอย่างราบรื่นมาก
เจียงเฉิงเยว่รู้จักสายลับผู้นี้ นับว่าเป็บุคคลอันดับหนึ่งในปรโลกเช่นเดียวกัน
คนสองสามคนจากสำนักจงลีซานส่งม้วนกระดาษหนังแกะแผ่นหนึ่งไปบนฝ่ามือของเขาแล้วกล่าว “ข้าไม่แน่ใจว่าเป็รูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขาหรือไม่ แต่ภูตผีตนนี้สามารถแปลงกายเป็มนุษย์ที่มีชีวิตได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน คิดว่าต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน”
สายลับผู้นั้นเปิดออกอย่างลวกๆ หลังมองแวบหนึ่งพลันเบิกตากว้างโดยพลัน
ผู้นำของจงหลีซานเป็ชายชราผู้นั้นที่เคยพบในจวนสกุลสวีก่อนหน้านี้ ชายชราขมวดคิ้วแล้วรีบถาม “ทำไม?”
สายลับผู้นั้นเองล่วงรู้ถึงความหนักเบาเช่นกัน จึงรีบยัดภาพเหมือนกลับเข้าไปในมือของพวกเขาพร้อมตอบ “ไม่เคยเห็นมาก่อน...และไม่รู้จัก ปรมาจารย์ทุกท่านโปรดกลับไปเถิด” ขณะที่พูดเขาลุกขึ้น แทบจะวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนจากไป
หลายคนนั้นรับรู้ได้ว่ามีอะไรผิดปกติ ชายชราจึงคว้าสายลับผู้นั้น “เซียนจวินร่วมมือกับสำนักของข้ามาหลายปี รู้ว่าสำนักของข้าจัดการเื่ราวอย่างไร จะไม่ดึงเซียนจวินมาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเป็อันขาด ราคาพูดคุยกันได้ ขอเพียงเซียนจวินโปรดวางใจ”
สายลับผู้นั้นส่ายศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า “ข้าไม่รู้อะไรเลย!”
ชายชราแห่งจงหลีซานจับสายลับที่ดิ้นรนไม่หยุดไว้ในมือของตนอย่างแ่า เอ่ยอย่างบีบบังคับ “เซียนจวิน ไม่ใช่เื่ยากที่ข้าน้อยจะบีบบังคับผู้อื่น แต่เมื่อได้รับความไว้วางใจแล้วต้องทำให้ดีที่สุด สำนักของข้าจะใช้กำลังทั้งหมด จำเป็ต้องค้นหาที่มาของท่านผู้นี้ให้จงได้ หากเซียนจวินไม่สะดวกที่จะพูดตามตรง เพียงเปิดเผยเบาะแสเล็กน้อยก็พอแล้ว แล้วสำนักของข้าจะไม่ปฏิบัติต่อท่านอย่างขาดความยุติธรรม”
สายลับผู้นั้นยังคงตกตะลึง จากนั้นหันไปมองชายชราพลางครุ่นคิดแล้วถอนหายใจ เอ่ยเกลี้ยกล่อมอย่างมีเจตนาดี “ปรมาจารย์ทุกท่านโปรดกลับไปเถิด ออกไปจากที่แห่งนี้ อย่าได้ถามผู้ใดอีก ปรมาจารย์ทุกท่านเพียงต้องจำไว้ว่าท่านผู้นี้ แม้ว่าสำนักจงหลีซานจะต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมด...ก็ไม่มีโอกาสชนะมากนัก”
หลังถ้อยคำนี้เอ่ยออกมา ทุกคนของจงหลีซานสูดลมหายใจเย็นในทันที หนึ่งในนั้นะโขึ้นพูดด้วยความโกรธ “ท่านอย่าคุยโวนักเลย ด้วยพลังทั้งหมดของสำนักจงหลีซานยังไม่อาจต่อกรได้หรือ? หากมีบุคคลที่ทรงพลังเช่นนี้ในปรโลก คงไม่ใช่เหนือฟ้าไปแล้วหรอกหรืออย่างไร?!”
“ไม่...” ชายชราที่คว้าสายลับเอาไว้กล่าว “ใช่ว่าไม่มีเลย หากเป็เช่นนั้นจริง มีความเป็ไปได้เพียงผู้ที่มีชื่อเสียงในสามโลกไม่นานมานี้...” เขายังไม่ทันพูดจบ สายลับรีบร้อนะโ “ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย! ท่านอย่าได้เดามั่วซั่ว! ทุกท่านได้โปรดกลับไปเถอะ!”
“เซียนจวิน...” ชายชรากำลังจะพูดอะไรอีก กลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงหัวเราะแ่เบาและทุ้มลึก
ทุกคนตกตะลึงไปชั่วขณะ หลังมองไปรอบด้านกลับต้องตะลึงงัน โรงน้ำชาซึ่งเดิมทีมีพร้อมไปด้วยเก้าอี้และจานรอง ฉับพลันกลับมีหมอกควันพวยพุ่งขึ้นมา เบื้องหน้าถูกเปลี่ยนเป็ชานเมืองซึ่งอยู่ในผืนป่ารกร้างและมืดมิดโดยพลัน
------------------------
[1] วาดงูแล้วเติมขา เป็สำนวน หมายถึง การแต่งเติมอย่างเกินความจำเป็
[2] เสือซุ่มัซ่อน เป็สำนวน หมายถึง มียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่มากมาย
