เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินเฟิงยิ้มและยื่นมือขวาของเขาจับมือกับหยางกั๋วเฉียงเป็การทักทายอย่างเป็ทางการครั้งแรก
"สวัสดีครับ ผมเฉินเฟิง ประธานกรรมการบริษัททางการเงินเฟิงฮวาเจว๋ต้าย ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ลำดับสองของเฉียนต๋ากรุ๊ปและอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผมจะเป็ผู้ถือหุ้นของถางเฉินกรุ๊ปเช่นกัน"
เฉินเฟิงแนะนำตัวเองด้วยความมั่นอกมั่นใจ
"ถางเฉินกรุ๊ปมาจากไหน?"
หยางกั๋วเฉียงถามอย่างประหลาดใจ
"อีกไม่กี่วันข้างหน้า ผมจะเซ็นสัญญาเดิมพันกับถางจุนจ่าน ประธานกรรมการถางเฉินกรุ๊ป ผมไม่ค่อยเห็นอะไรมากในถางเฉินกรุ๊ป ผมเลยเรียกร้องแค่เก้าเปอร์เซ็นต์"
เฉินเฟิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ ท่าทางของเขาเหมือนเป็มหาเศรษฐีที่มองเงินเป็เศษดิน
"ถางเฉินกรุ๊ปตอนนี้ยังตัวโตกว่าปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปของฉันมากโข แล้วนายกล้าดูถูกถางเฉินกรุ๊ปได้ไง?"
หยางกั๋วเฉียงรู้สึกใเล็กน้อย ชายหนุ่มคนนี้เป็ใครกันแน่?
"ผู้เฒ่าถางจะมี่ชีวิตสั้น ผมเดิมพันว่าเขาจะอยู่ไม่ถึงปี 2004 ผมเลยเสนอต่ออายุให้เขา แต่เขาไม่เชื่อผม แถมยังเคืองอีกด้วย ผมก็เลยเซ็นสัญญาการเดิมพันกับเขาอีกฉบับเกี่ยวกับเซียงเจียงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเสียเลย ไม่งั้นถ้าเขารับข้อเสนอผมแต่แรก ผมคงเซ็นการเดิมพันกับถางเฉินกรุ๊ปไปเรียบร้อยแล้ว"
เฉินเฟิงพูดจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกดูถูกถางจุนจ่าน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยางกั๋วเฉียงเหงื่อแตกซ่ก รู้สึกโชคดีในใจที่เฉินเฟิงไม่ได้ทำนายว่าเขาเป็คนอายุสั้น
แต่เขาทำนายว่าหยางฮุ่ยเหยียนลูกสาวคนรองของเขาจะกลายเป็ผู้หญิงที่รวยที่สุดในเหยียนหวงในปี 2007
ซึ่งคำพูดนั้นยิ่งใหญ่กว่าการที่ผู้เฒ่าหวังจะกลายเป็ผู้ที่รวยที่สุดในเหยียนหวงในปี 2016
ความสงสัยในตัวของเฉินเฟิงของหยางกั๋วเฉียงเริ่มลดน้อยลง
เพราะถ้าถึงขั้นกล้าทำสัญญาเดิมพันกับั์ใหญ่แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ถึงสามคน แสดงว่าต้องมั่นใจพอสมควร
ถ้าไม่มีความสามารถจริง คงไม่กล้าที่จะพูดคุยอย่างเท่าเทียมกับพวกเขา
คนรุ่นหยางกั๋วเฉียงเชื่อเื่ฮวงจุ้ยมาก
เขาได้ยินเฉินเฟิงฟันธงว่าถางจุนจ่านจะอยู่ไม่ถึงปี 2004 เขาจึงคิดว่าเฉินเฟิงเป็ซินแส
ดังนั้น หยางกั๋วเฉียงจึงแสดงท่าทางเหมือนคารวะอาจารย์ฮวงจุ้ย ทั้งยังถามอย่างให้ความเคารพอีกว่า
"ขออนุญาตถาม... คุณเป็หมอดูซินแสใช่ไหม?!"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉินเฟิงยิ้มอย่างมีเลศนัย
"ผมจะพูดความจริงกับพวกคุณนะครับ ผมเป็แค่เด็กนักศึกษาปี 3 จากมหาลัยโม๋ตู เพิ่งเปิดบริษัทของตัวเองในปีนี้เอง เพื่อเริ่มต้นเส้นทางการเป็ผู้ประกอบการ
จริงๆ แล้ว ผมก็บอกความจริงแบบนี้กับผู้เฒ่าหวังของเฉียนต๋ากรุ๊ปกับผู้เฒ่าถางของถางเฉินกรุ๊ปเหมือนกัน แต่พวกเขาดันไม่เชื่อความจริงที่ผมพูด
พวกเขาคิดว่าผมเป็เ้าชายของกลุ่มนายทุนลึกลับอะไรทำนองนี้ แล้วก็โดยเฉพาะตำแหน่งอาจารย์ซินแสนี่ด้วย ดังนั้น ผมเลยจำใจยอมรับว่าผมเป็หมอดูซินแสคนหนึ่ง ฉะนั้นแล้ว อย่าถามผมเกี่ยวกับปัญหาฮวงจุ้ยเลยครับ เพราะผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ บอกไว้ก่อนน่ะครับ จะได้ไม่ลำบากกันตอนหลัง"
เฉินเฟิงพูดความจริงอีกครั้งโดยไม่สนว่าหยางกั๋วเฉียงจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม
หลังจากฟังคำพูดของเฉินเฟิง หยางกั๋วเฉียงและลูกสาวของเขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"พ่อหนุ่มสกุลเฉิน ที่คุณเพิ่งพูดก่อนหน้านี้เกี่ยวกับสามีที่ส่งเสริมภรรยานั่น หมายถึงตัวคุณเองหรือเปล่า? คุณเองก็สกุลเฉินนี่!"
"ชายหนุ่มนามสกุลเฉินคนนั้นค่อนข้างเกี่ยวกับผมมาก" เฉินเฟิงพูดอย่างมีเลศนัย
"ส่วนเื่ที่ว่าจะเป็ผมหรือเปล่า อันนี้ต้องรอให้ลูกสาวของคุณโตขึ้นแล้วเลือกเอง ตอนนี้เธอยังเป็แค่นักเรียนมัธยมอายุสิบสี่ปี หนทางของเธอยังอีกยาวไกล!"
เฉินเฟิงไม่ได้มองหยางฮุ่ยเหยียนเป็เพียงเด็กอายุ 14 คนหนึ่ง แต่จ้องมองลึกลงไปในดวงตาของหยางกั๋วเฉียง
ในสายตาของหยางกั๋วเฉียงในตอนนี้ เฉินเฟิงดูลึกลับและคาดเดายากยิ่ง
แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อความจริงที่เฉินเฟิงพูดและสรุปเอาเองว่าเฉินเฟิงเป็ทายาทของกลุ่มทุนลึกลับ และน่าจะเป็ซินแสที่เก่งมากคนหนึ่ง
"ฉันยอมรับว่าคุณทำให้ฉันเริ่มสงสัย..."
ทันใดนั้น หยางฮุ่ยเหยียนซึ่งเป็คนพูดน้อย ในที่สุดก็ยอมพูดกับเฉินเฟิงสักที
"อย่าอยากรู้เื่ของฉันเลย ฉันเกรงว่าจะทำให้เธอตกหลุมรักเข้า
พรุ่งนี้ฉันจะไปจดทะเบียนสมรสกับเพื่อนในมหาวิทยาลัย แล้วฉันก็มีผู้หญิงอีกสองคนรออยู่ แต่ผู้หญิงทั้งสามคนนี้ไม่ใช่คนที่ฉันรัก เพราะคนที่ฉันรัก ทิ้งฉันไปแล้ว..."
เฉินเฟิงพูดจากใจจริง เขาไม่้าให้หยางฮุ่ยเหยียนรู้สึกอยากรู้จักเขาั้แ่อายุน้อยขนาดนี้
หากผู้หญิงคนหนึ่งเริ่มอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่ง การตกหลุมรักก็อยู่ไม่ไกลแล้ว
เฉินเฟิงหวังว่าเขาจะได้แต่งงานกับหยางฮุ่ยเหยียนที่โตเป็ผู้ใหญ่แล้ว โดยไม่มีความรู้สึกเชิงชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้องในปี 2007
"คุณนี่ตลกจริงๆ พูดเื่การนอกใจแบบนี้เหมือนกับมันเป็เื่สูงส่งเลยนะ"
หยางฮุ่ยเหยียนเข้าร่วมการประชุมของปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปั้แ่เด็ก ส่งผลให้จิตใจเติบโตเป็ผู้ใหญ่กว่าที่ควร
"ยังไงก็ช่าง ผมบอกความจริงทั้งหมดให้พวกคุณพ่อลูกฟังแล้ว ถ้าไม่เชื่อ ผมก็ไม่มีทางอื่นแล้ว..." เฉินเฟิงพูดห้วนๆ พลางยักไหล่ไม่ใส่ใจ
"คุณเป็ผู้ชายที่ชวนให้น่าค้นหาจริงๆ..."
แม้ว่าเฉินเฟิงจะแนะนำตัวเองเป็คนเ้าชู้ แต่หยางฮุ่ยเหยียนก็หักห้ามใจไม่ได้ เธออยากรู้จักเขามากขึ้น
ในใจเธอรู้สึกอยากวิเคราะห์ให้ละเอียดว่าเฉินเฟิงเป็ผู้ชายแบบไหน
เวลานี้เอง รถก็ขับมาจอดที่ลานจอดรถของเฉียนต๋าพลาซ่าในตัวเมืองพอดี
หลังจากนั้น เฉินเฟิง หยางกั๋วเฉียง และหยางฮุ่ยเหยียน ทั้งสามคนก็ก้าวลงจากรถและเข้าไปในลิฟต์ของลานจอดรถ
ระหว่างนั้นเฉินเฟิงหยิบโทรศัพท์เครื่องใหญ่ออกมาโทรหาใครสักคน
หลิ่วอีอีนั่นเอง "ที่รัก เสร็จงานแล้วเหรอ?"
"โทรหาฉัน มีอะไรหรือเปล่า?" เสียงใสกังวานน่าฟังของหลิ่วอีอีดังจากปลายสาย
"ฉันเพิ่งคุยกับผู้จัดการร้านอาหารเกี่ยวกับสถานการณ์รายได้จากการดำเนินงานของร้านอาหารใน่สองปีที่ผ่านมา ตอนนี้ฉันพอจะเข้าใจสภาพร้านแล้ว"
ได้ยินดังนั้น เฉินเฟิงก็ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มกว้าง
"พอดีเลย งั้นเธอมาที่ร้านอาหารหน่อย ร้านที่อยู่ในเฉียนต๋าพลาซ่าในตัวเมืองนะ ฉันจะแนะนำคนใหญ่คนโตในวงการอสังหาริมทรัพย์ให้รู้จัก ในอนาคตเธอจะเป็ผู้บริหารหลักของบริษัทเฟิงฮวาเจว๋ต้ายของเรา ฉันเป็แค่ผู้รับผิดชอบหาเงินทุนจากภายนอก แล้วก็อย่าลืมเอาตราประทับบริษัทมาด้วย ตราประทับทำเสร็จหรือยัง?"
เมื่อได้ยินคำถาม หลิ่วอีอีที่อยู่ปลายสายก็ผงะเล็กน้อย จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
"คนใหญ่คนโตในวงการอสังหาริมทรัพย์? ใหญ่ขนาดไหน ฉันต้องหาชุดให้เหมาะสมกับฐานะของพวกเขา"
เฉินเฟิงแอบเหลือบมองหยางกั๋วเฉียงในลิฟต์ ซึ่งกำลังจ้องมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น จากนั้นเฉินเฟิงก็ตอบด้วยรอยยิ้ม
"ประธานคณะกรรมการบริษัทคนปัจจุบันของปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ป และว่าที่ประธานคณะกรรมการบริษัทสาวในอนาคต ยังมีประธานคณะกรรมการบริษัทของเฉียนต๋ากรุ๊ปพร้อมด้วยภรรยากับลูกชายของเขา"
หลิ่วอีอีตกอยู่ในความเงียบจนพูดไม่ออกไปชั่วครู่ เธอตั้งสติแล้วพูดขึ้นว่า
"รอฉันก่อนนะ สัญญาว่าจะไม่ทำให้ขายหน้า!"
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินเฟิงก็หัวเราะเล็กน้อย
"ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอก พวกเรากำลังจะกลายเป็ครอบครัวเดียวกัน คิดว่ามากินข้าวกับครอบครัวก็ได้ ส่วนเื่เซ็นสัญญานั่นเป็ของแถมทางธุรกิจนิดหน่อย"
