“คุณหนูใหญ่ เราต้องรีบกลับกันนะเ้าคะ” ชุนหงเอ่ยทั้งน้ำตา
กู้เจิงมองไปรอบๆ มีต้นไม้สูงตระหง่านและพุ่มไม้หนาทึบอยู่ทุกหนทุกแห่งนางก็อยากกลับไป แต่ว่า “พวกเราหลงทางแล้วล่ะ” สุริยันค่อยๆ อ่อนแสงลงใกล้ย่ำสนธยา สายลมจากป่าพัดพาความหนาวเย็นมืดครึ้มมาเป็ระลอกหากเข้าสู่ราตรีกาลแล้ว จะต้องหนาวกว่านี้อย่างแน่นอน
“ชะ เช่นนั้นพวกเรารออยู่ที่นี่ก่อนถ้านายท่านกับนายหญิงพบว่าคุณหนูใหญ่หายไป จะต้องส่งคนมาค้นหาพวกเราแน่เ้าค่ะ”ชุนหงกล่าว
“ถ้าจะมาหา ก็คงมานานแล้ว” ตอนพวกนางถูกตีจนสลบก็ผ่าน่เที่ยงไปพอดียามนี้ใกล้จะพลบค่ำ แต่ก็ยังไม่มีใครพบว่าพวกนางหายตัวไป ซึ่งสามารถอธิบายได้เพียงอย่างเดียวนั่นคือเดิมทีก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าพวกนางไม่ได้กลับไป
“คุณหนูใหญ่ ท่านกำลังทำอะไรเ้าคะ?”ชุนหงเห็นคุณหนูใหญ่มองดูดวงอาทิตย์
“แยกแยะทิศทาง” ดวงอาทิตย์นั้นเป็ ‘โคมไฟชี้ทาง’ โดยพื้นฐาน ทว่าตำแหน่งของดวงอาทิตย์จะแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูตอนนี้คือฤดูใบไม้ร่วง หากนางจำได้ไม่ผิด สารทฤดูให้ดูจากตะวันพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกควรอยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกโดยตรงใช่ไหมนะ? ด้วยกลัวว่าตนเองจำผิดไป กู้เจิงจึงรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ “ชุนหงหาตอไม้มาตอหนึ่ง”
ชุนหงยังกังวลกับท่าทางของคุณหนูนั้นคุณหนูใหญ่มีความสามารถเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน “หาตอไม้มาทำอะไรหรือเ้าคะ?”
“ก็เอามาแยกแยะทิศทางไงล่ะ”
ชุนหงรีบไปหาทันที แต่ปกติแล้วไม่มีนายพรานคนไหนกล้าเข้ามาที่นี่ดังนั้นจึงยิ่งไม่มีการตัดไม้ทำฟืน หามาหาไปก็หาตอไม้ไม่พบ
กู้เจิงนึกถึงความรู้ที่ตนเองเคยเรียน “ชุนหงช่วยหาหินที่เต็มไปด้วยตะไคร่ที ขอที่ใหญ่หน่อยนะ”
“เ้าค่ะ”
หาก้าหาหินเช่นนี้ในป่าย่อมหาได้ไม่ยาก ไม่นานก็หาได้ก้อนหนึ่งกู้เจิงพิศดูตะไคร่บนหินแล้วเอ่ยพึมพำ "ด้านที่เปียกเป็ทิศเหนือด้านที่เรียบแห้งเป็ทิศใต้ ทิศของที่ประทับอยู่ทางใต้ เช่นนั้นก็อยู่ด้านนี้”
ทั้งสองคนรีบวิ่งไปในทิศทางตามที่บอกไว้ อากาศในป่าเย็นลงเล็กน้อยกู้เจิงไม่มีแม้แต่ความรู้สึกในตอนวิ่ง รู้แค่ว่าเหงื่อท่วมกาย ในตอนที่หยุดพักเพื่อหายใจสายลมในป่าพัดผ่านเฉื่อยฉิวให้รู้สึกถึงความหนาวเหน็บในฤดูใบไม้ร่วง
ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าพวกนางออกจากป่านี้ไม่ได้ อย่าว่าแต่ตายเพราะสัตว์ป่าเลยพวกนางอาจหนาวตายก็เป็ได้
กู้เจิงพาชุนหงวิ่งโดยเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น กระทั่งมีเสียงม้ามากมายดังมาจากข้างหน้า
“คุณหนูใหญ่?” ชุนหงเกิดประหม่าขึ้นมา “เราจะถูกคนพบในสภาพเช่นนี้ไม่ได้นะเ้าคะ”
กู้เจิงตระหนักได้ถึงปัญหาในทันใดมีคนล่าสัตว์อยู่ทุกหนทุกแห่งบนูเาลูกนี้ พวกนางต้องกลับไปที่กระโจม เพียงแต่ต้องรอฟ้ามืดลงแล้วให้คนเหล่านี้กลับไปยังที่ตั้งค่ายก่อนนอกจากนี้ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง บริเวณที่ประทับที่ตั้งค่ายล้วนมีแต่กองทหารรักษาการณ์คนเ่าั้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเมื่อพวกนางเข้าใกล้จะต้องถูกพบเห็นทันทีอย่างแน่นอน
กู้เจิงสบถ MMp ในใจนับไม่ถ้วน ธรรมเนียมระหว่างชายหญิงนี่ควรยกเลิกไปเสียนางจะได้ไม่ต้องมากังวลเกี่ยวกับชื่อเสียง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามากู้เจิงก็กัดฟันพาชุนหงวิ่งต่อไป
“มีเสียงจากตรงนั้น น่าจะมีสัตว์อยู่”
กู้เจิงใเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่เสียงนั้นไม่ได้มาทางที่พวกนางอยู่ถึงได้โล่งใจ
บรรยากาศเริ่มมืดสลัวลง ไม่รู้ว่าเดินไปนานแค่ไหนกู้เจิงรู้สึกว่าสองขาของตนเองปวดร้าวจนเหมือนไม่ใช่ขาของนางเองอีกต่อไป นางกับชุนหงจึงหยุดพักเสียหน่อย
ชุนหงนิ่งเงียบมาตลอดทางนางถูกขายให้กับจวนกู้ตอนอายุสามขวบเพื่อคอยรับใช้ซู่เหนียงและคุณหนูใหญ่ตลอดทั้งชีวิตวันเวลาที่ได้ออกนอกจวนกู้นั้นสามารถนับได้ด้วยมือเดียว อย่าว่าแต่วิ่งในป่าเขาลำเนาไพรเช่นนี้เลย หากไม่ใช่คุณหนูใหญ่พานางวิ่งอยู่ตลอดทางหากไม่ใช่ความแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวที่ปรากฏบนใบหน้าของคุณหนูใหญ่ นางก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
แต่นางยังคงแปลกใจอยู่ คุณหนูใหญ่ที่ไม่เอาไหนแต่มาพบเจอเื่เช่นนี้กลับไม่ร้องไห้สักนิดคุณหนูใหญ่กลายเป็คนเข้มแข็งเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน?
“ตรงนี้มีธงล่าสัตว์ของราชวงศ์ถ้าก้าวออกจากที่นี่ก็จะไม่ใช่อาณาเขตล่าสัตว์อีกต่อไป” กู่เจิ้งมองเห็นธงล่าสัตว์ปักอยู่ไม่ไกลพื้นที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์นั้นใหญ่มาก ทว่ามีเพียงที่ประทับและพื้นที่ล่าสัตว์เท่านั้นที่ถูกคุ้มกันโดยกองทหารรักษาการณ์บริเวณนี้ย่อมปักด้วยธงล่าสัตว์สีเหลืองสดใสเพื่อบอกนายพรานที่ผ่านมาแถวนี้ว่าห้ามเข้าไป
“เราต้องเดินออกจากเขตพื้นที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์หรือเ้าคะ?” ชุนหงกังวลขึ้นมา “ชะเช่นนั้นไม่ใช่ว่าเรายิ่งเดินออกห่างจากกระโจมหรือเ้าคะ? ฟ้าก็ใกล้มืดแล้ว”
“ชุนหง เราต้องลงเขากันก่อน จากนั้นก็ต้องหาบ้านชาวบ้านแถวนั้นเพื่อหาเอาเสื้อผ้ามาใส่” กู้เจิงมองไปรอบๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ ที่นี่มีธงปักอยู่แต่กลับไม่มีทหารที่ยืนรักษาการณ์
ชุนหงทำอะไรไม่ถูกแต่นางกลับได้ยินน้ำเสียงแสดงถึงความตื่นเต้นของคุณหนูใหญ่ไม่สิ ควรจะกลัวไม่ใช่หรือ? ต้องเป็นางหูฝาดแน่แล้ว
กู้เจิงกลัว แน่นอนว่ากลัว โลกนี้สำหรับนางนั้นล้วนแปลกใหม่หมดทั้งสิ้นแต่ถ้าสามารถออกไปจากที่นี่ได้จริงๆ ย่อมเท่ากับว่านางได้รับอิสระแล้วจะไม่ให้นางตื่นเต้นได้อย่างไร?
หลังจากเวลาหนึ่งถ้วยชา*ผ่านไป ความตื่นเต้นของกู้เจิงก็ดับลงในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทำไมทิศทางนี้ถึงไม่มีทหารมายืนคุ้มกันเพราะด้านหลังเป็หน้าผาที่ลึกจนไม่เห็นที่สิ้นสุด
(*หน่วยนับเวลาแบบจีนโบราณ เท่ากับ 15 นาที )
พวกนางได้เห็นพระอาทิตย์ค่อยๆ ลับจากบนหน้าผาพอดี ท้องฟ้าเริ่มมืดลง
ความหนาวเย็นของลมบนหน้าผาไม่ได้ด้อยไปกว่าลมในฤดูเหมันต์เลยสายลมโชยผ่านเนื้อตัวที่ถูกกิ่งไม้เกี่ยวของกู้เจิงทั้งยังพัดผ่านผ้าไหมเนื้อบางที่สามารถฉีกขาดได้ด้วยมือัั
“หนาวจัง” ชุนหงหนาวสั่น