“เทียนิ เทียนิรู้สึกยังไงบ้าง?” เฝิงิเยว่รีบกุมมือสามีพร้อมถามเสียงเจือความห่วงใย
เจิ้งเทียนิเผยอปากตอบ “ไม่รู้สึกอะไรเลย”
“มาล้อมวงอะไรตรงนี้ หลีกทางหน่อยค่ะ หลีกทางหน่อย” พยาบาลจะเข็นเจิ้งเทียนิไปห้องพักผู้ป่วย เลยบอกกับคนสกุลเจิ้งที่ล้อมเป็วงกลมชวนปวดหัวว่า “มาขวางที่นี่ทำไม อย่าบังทางค่ะ”
พยาบาลเป็คนเสียงดัง ะโทีเดียวคนสกุลเจิ้งก็แตกกระเจิงกันหมด พวกเขาจึงพากันเดินตามพยาบาลที่เข็นเตียงของเจิ้งเทียนิไปห้องพักด้วยกันเงียบๆ
เมื่อาเ็หนักย่อมต้องใช้เวลาฟื้นฟูนาน คุณหมอบอกว่าเจิ้งเทียนิต้องนอนโรงพยาบาลต่อสักระยะหนึ่ง จะได้ออกเมื่อไรขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเขา และถึงจะฟื้นตัวดีจนออกจากโรงพยาบาลได้ เขาก็ห้ามขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้า กระทั่งงานใช้แรงยังต้องทำให้น้อยลง สรุปคือ เขาไม่น่าเข้าร่วมเก็บเกี่ยว่ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ทัน แถมยังไม่สามารถมีส่วนร่วมทำงานหนักอย่างซ่อมถนน ขุดคลองที่กองรับเหมาต่อได้ด้วย
คนในครอบครัวคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร รักษาขาไว้ได้์ก็คุ้มครองแล้ว แต่เจิ้งเทียนิไม่พอใจ “ถ้าทำงานไม่ได้ จะหาแต้มงานยังไงล่ะ?”
ครอบครัวใหญ่อย่างสกุลเจิ้งของพวกเขา แม้เจิ้งเฉวียนกังจะคอยดูแลจัดการบ้าน แต่เจิ้งเฉวียนกังก็อายุมากแล้ว เจิ้งเทียนิในฐานะแรงงานหลักของครอบครัว เลยเป็บุรุษที่มีความรับผิดชอบสูงมาก เขาถือตัวเองเป็เสาหลักของครอบครัวมาโดยตลอด ต้องทำงานหาเงินเยอะๆ มากตัญญูพ่อแม่ กับน้องชายน้องสาวอ่อนวัยกว่าหลายคน ก็ต้องช่วยน้องสาวหาสินสมรส ช่วยน้องชายเก็บสินสอด มิหนำซ้ำตนเองยังมีลูกตั้งสองคน จำเป็ต้องหาค่าเล่าเรียนให้ลูกๆ อีก ดังนั้น งาน่เก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง รวมทั้งงานในกลุ่มก่อสร้างแม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ได้แต้มงานเยอะ ทำทีเดียวได้ตั้งหลายร้อยแต้ม ยุคสมัยนี้แต้มงานก็เหมือนเงิน เหมือนเสบียงอาหาร
คนสกุลเจิ้งสมาชิกเยอะ แต่คนใช้แรงงานน้อย แรงงานหลักมีเพียงเจิ้งเฉวียนกังกับเจิ้งเทียนิสองคน เฉินชุ่ยอวิ๋นมีโรคหัวใจทำงานหนักมากไม่ได้ เจิ้งหยวนก็กำลังจะแต่งงาน เจิ้งเจวียนยังเล็กเกินไป ต้องเรียนหนังสือ ทำอะไรไม่ได้มากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าข้างหลังยังมีเจิ้งเทียนเลี่ยง รวมถึง
ซิงซิง หนิวหนิว เด็กเล็กสามคนที่กินอย่างเดียว ลงนาทำงานไม่ได้ด้วยแล้ว แต้มงานที่หามาทุกๆ ปีจึงพอแบ่งปันเสบียงอาหารเท่านั้น ซึ่งความจริงครอบครัวพวกเขายังนับว่าดีอยู่ ครอบครัวยากจนบางครอบครัวจำต้องค้างจ่ายเสบียงในกอง ปีหนึ่งผ่านไปนับแล้วก็ติดเงินกองผลิตมากพอสมควร
หลังเจิ้งเทียนิแต่งภรรยา ชีวิตความเป็อยู่ในบ้านก็ดีขึ้นมาก เฝิงิเยว่ได้เงินจากกลุ่มเย็บปักต่อเดือนไม่น้อย ทว่า่เวลาดีๆ ดำเนินมาไม่นาน ที่บ้านก็มีปากท้องเพิ่มมาอีกสองคน เธอดูแลปากท้องเก้าคนด้วยเงินเดือนตัวคนเดียว มีค่าจับจ่ายใช้สอยเสียทุกอย่าง แถมเฉินชุ่ยอวิ๋นยังต้องซื้อยาทุกเดือน ดังนั้นหลายปีมานี้ที่บ้านเลยไม่มีเงินเก็บไว้ นี่คือสาเหตุหลักว่าทำไมเฉินชุ่ยอวิ๋นอาการกำเริบ เจิ้งเทียนาเ็ที่ขา จึงร้อนรนยืมเงินคนไปทั่ว
เจิ้งเทียนิคำนวณแล้ว การพักผ่อนคราวนี้แต้มงานที่บ้านจะหายไปประมาณพันแต้ม กองชำระบัญชีปลายปี ไม่รู้ว่าบ้านต้องจ่ายเงินให้กองอีกเท่าไร ซ้ำร้ายยังไม่รู้เลยว่าขาจะหายดีหรือเปล่า หากต่อไปทำงานหนักไม่ได้จะทำอย่างไร?
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ บรรยากาศรอบข้างพลันตึงเครียดทันตาเห็น ทุกอย่างปกคลุมด้วยความเงียบน่าอึดอัด
เจิ้งหยวนมองซ้ายมองขวา โชคดีที่เจิ้งเจวียนเข็นพาเฉินชุ่ยอวิ๋นกลับห้องพักผู้ป่วยหลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว มิอย่างนั้นคนป่วยโรคหัวใจอย่างเธอคงได้กังวลแย่ อย่าคิดว่าอาการจะบรรเทาลงเลย
“พี่ จะคิดมากไปทำไม คุณหมอบอกแล้วนี่ ขาพี่รักษาหายก็ไม่ต่างไปจากคนธรรมดา ได้แต้มน้อยแค่ปีนี้แหละ ปีหน้าก็ดีขึ้นแล้ว” เจิ้งหยวนหยิบกาน้ำร้อนเทน้ำใส่ถ้วยเคลือบ ข้างในมีน้ำเย็นอยู่แล้วครึ่งหนึ่ง พอเติมน้ำร้อนผสมเข้าไปเลยพอดีดื่ม เธอดื่มอึกหนึ่งแล้วเอ่ยน้ำเสียงติดล้อเล่น “อีกอย่าง ยังมีฉันอยู่นี่นา? ปลายปีฉันจะแต่งเข้าสกุลเฝิงแล้ว เฝิงเจี้ยนเหวินนั่นเป็ทหารไม่ใช่เหรอ? เขาต้องมีเงินไม่น้อยแน่ หากที่บ้านไม่มีข้าวกิน วางใจเถอะ ฉันจะเลี้ยงพวกพี่เอง” พูดพลางตบอกตัวเองด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ
เจิ้งเทียนิะเิหัวเราะพรูดออกมา แล้วว่าต่อ “โอ้โฮ สมเป็น้องสาวฉันจริงๆ ไม่เสียแรงที่พี่รักแก”
ส่วนเฝิงิเยว่มุมปากกระตุก เหมือนพยายามกลั้นหัวเราะแต่กลั้นไม่อยู่
มีเพียงเจิ้งเฉวียนกังที่โกรธจนเงื้อมือตีหลังเจิ้งหยวนดังป้าบ ฟังดูเสียงดังสนั่น แต่ความจริงไม่เจ็บนัก
“แกพูดอะไรเนี่ย เจี้ยนเหวินเขารู้เข้าจะคิดยังไง! มีใครที่ไหนเขาเอาเงินบ้านสามีมาจุนเจือบ้านเดิมบ้าง!”
เธอไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้!
เจิ้งหยวนเชิดปลายคางขึ้นแล้วว่า “ไม่ใช่สิ มาเรียกเงินบ้านสามีอะไรกัน ฉันแต่งงานกับเขาแล้ว เงินเขาไม่ใช่เงินของฉันหรอกเหรอ? เงินของฉัน ฉันย่อมใช้ได้ตาม้านี่? พ่อ พ่อคงไม่คิดว่าฉันจะสามารถใช้ชีวิตสบายใจเฉิบโดยที่บ้านถังแตกได้อยู่หรอกใช่ไหม?” เธอวางแผนจะช่วยเหลือครอบครัวให้บ่อยขึ้นในอนาคต ทุกคราที่เห็นเสบียงในมิติพวกนั้นเธอจะกระเหี้ยนกระหือรือตลอด ยากเย็นกว่าจะข่มอารมณ์เอาไว้ได้
แม้คำพูดจะฟังดูกตัญญูรู้คุณ แต่เจิ้งเฉวียนกังขบคิดอย่างไรก็ไม่เข้าหู ความหมายของเธอ ไม่ใช่จะเอาเงินของเจี้ยนเหวินเขามาเลี้ยงบ้านเดิมหรอกหรือ? ตัวเขา เจิ้งเฉวียนกังไร้ความสามารถถึงขนาดต้องให้ลูกสาวที่แต่งออกเลี้ยงเรอะ!
แต่ทว่ายังไม่ทันที่เจิ้งเฉวียนกังจะพูด หญิงวัยกลางคนอายุสามสิบกว่าปี หน้าตาใจดีด้านข้างคนหนึ่ง อยู่ๆ ก็พูดแทรกติดตลกว่า “พี่ชาย ลูกสาวคุณกตัญญูเลยทีเดียวนะ”
เจิ้งเทียนิพักห้องผู้ป่วยรวม และคนที่นอนอยู่เตียงข้างๆ เขาเป็ผู้ชาย อายุสามสิบกว่าปี ผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นคือภรรยาเขาเอง ครั้งเจิ้งเทียนิถูกส่งเข้ามา สองสามีภรรยาคู่นี้ก็อยู่กันก่อนแล้ว ก่อนหน้านี้เฝิงิเยว่ไม่รู้จะต้มน้ำร้อนที่ไหน ก็เป็สตรีวัยกลางคนคนนี้แหละที่ให้ความช่วยเหลือ
เจิ้งเฉวียนกังสามารถตะเบ็งเสียงดุลูกสาวตัวเองได้ แต่ไม่อาจพูดเช่นนี้กับคนนอกได้ สหายหญิงหยอกล้อเช่นนี้แล้ว เขาไม่ควรหัวเสียอีก จึงทำเพียงถลึงตาใส่เจิ้งหยวน คิดว่าถ้าภรรยาหายดีเมื่อไร ต้องให้ภรรยาสอนลูกสาวว่าอะไรคือกุลสตรีที่ดี จะได้ไม่ทำตัวบ้าๆ บอๆ และทำเื่น่าอับอายตลอดทั้งวัน
ขณะนั้นเอง อยู่ๆ เจิ้งเทียนิก็สูดปากกะทันหัน ก่อนตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอย
เฝิงิเยว่ตื่นตระหนกทันที “นี่ เป็อะไรน่ะ? เป็อะไร”
สีหน้าเจิ้งเทียนิเปลี่ยนเป็ซีดแล้วซีดอีก ดูไม่ดีเอาเสียเลย
“ยาชาหมดฤทธิ์แล้วมั้ง?” สตรีวัยกลางคนข้างเตียงคนไข้เคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน แค่ปรายตามองท่าทางของเจิ้งเทียนิก็รู้แล้ว เลยเตือนคล่องปาก “เ้าหนุ่มอย่าขยับซี้ซั้วเล่า เธอาเ็ที่กระดูก กว่าคุณหมอจะต่อให้ได้ยากเย็นนัก”
“ใช่ๆๆ เทียนิ คุณอย่าขยับมั่วซั่วนะ ทนไว้ๆ ทนไว้ก่อน…” เฝิงิเยว่เห็นสามีเป็เช่นนี้ เธอปวดใจไม่ต่างกัน แต่มันเป็เื่ช่วยไม่ได้ ยาชาหมดฤทธิ์ แผลผ่าตัดย่อมต้องเจ็บอยู่แล้ว
ไปถามพยาบาลมาแล้ว พยาบาลบอกเพียงว่าต้องอดทน ไม่มีวิธีอื่นอีก
เมื่อเจิ้งเทียนิออกจากห้องผ่าตัด ก็หมดหน้าที่ของเจิ้งเฉวียนกังแล้ว เจิ้งเฉวียนกังในฐานะหัวหน้ากองย่อมมีงานมากมายในกองต้องจัดการ จึงกลับหมู่บ้านไป เจิ้งหยวนต้องกลับบ้านไปให้อาหารไก่ อาหารหมู รวมทั้งทำอาหารมาส่งอีกรอบ เลยตามเจิ้งเฉวียนกังกลับหมู่บ้านไปด้วย ส่วนเจิ้งเจวียนพาเจิ้งเทียนเลี่ยงและซิงซิงขึ้นชั้นบนไปเฝ้าเฉินชุ่ยอวิ๋น ฝั่งเจิ้งเทียนิเลยเหลือเพียงเฝิงิเยว่กับหนิวหนิวที่เพิ่งขวบเดียวในอ้อมแขนของเธอ
ในห้องพักผู้ป่วยรวม ทั้งผู้ป่วยข้างๆ หรือผู้ป่วยคนอื่นต่างคุยเื่ของตนเอง ไม่มีใครสนใจทางนี้ ่เ็ปที่สุดของเจิ้งเทียนิผ่านไปสักพักแล้ว ไม่ร้องโอดโอยอีก
“เทียนิ ฉันมีเื่จะคุยกับคุณ” เฝิงิเยว่สองจิตสองใจอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็เอ่ยปาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้