บทที่ 3: เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัย
ความเงียบที่โรยตัวลงหลังคำพูดของจ้าวิ่หลานนั้นหนักอึ้งและเย็นเยียบยิ่งกว่าอากาศยามค่ำคืนภายนอก
หลี่มัวมัวยืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป มือที่เคยถือถาดไม้อย่างมั่นคงสั่นเทาขึ้นมาน้อยๆ จนแทบจะสังเกตไม่เห็น นางพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาใบหน้าที่เรียบเฉยเอาไว้ แต่แววตาที่เคยมีแต่ความดูแคลน บัดนี้กลับฉายแววตื่นตระหนกและสับสนอย่างปิดไม่มิด
เป็ไปได้อย่างไร? นางคิดในใจ เื่โรคประจำตัวของหยางซู นอกจากข้ากับฮูหยินรองแล้วก็ไม่มีใครรู้ นังเด็กนี่...มันไปรู้มาจากไหน? หรือว่า...มันไม่ได้เพ้อไข้ แต่กำลังเล่นละครตบตา?
นางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของจ้าวิ่หลาน พยายามค้นหาแววของคนวิปลาสที่คุ้นเคย แต่สิ่งที่นางพบกลับเป็เพียงความสงบนิ่งที่ลึกล้ำราวกับบ่อไร้ก้น เป็ความนิ่งที่ทำให้นางซึ่งเป็ผู้คุมเกมมาตลอด...เริ่มรู้สึกหนาวเยือกจับขั้วหัวใจ
"คุณหนูสามคงจะเพ้อไข้ไปแล้ว" ในที่สุด หลี่มัวมัวก็เค้นเสียงลอดไรฟันออกมา เป็การพูดเพื่อกลบเกลื่อนความหวั่นไหวของตนเอง "บ่าวไม่รบกวนคุณหนูพักผ่อนแล้ว"
นางไม่รอคำตอบ หมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปจากเรือนเก็บฟืนราวกับกำลังหนีจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัว ทิ้งชามข้าวต้มที่เย็นชืดไว้บนพื้นราวกับของเซ่นไหว้
จ้าวิ่หลานมองตามแผ่นหลังที่รีบร้อนของหลี่มัวมัวไปจนลับสายตา มุมปากของนางยกขึ้นเป็รอยยิ้มเย้ยหยัน
ถูกต้อง...จงสงสัย จงหวาดกลัว...เพราะนั่นคือเมล็ดพันธุ์แรกที่ข้าจะหว่านลงไปในใจของพวกเ้า
นางรู้ดีว่าการกระทำเมื่อครู่เปรียบเสมือนการโยนก้อนหินลงไปในน้ำนิ่ง มันอาจทำให้นางปลอดภัยได้ชั่วครู่เพราะศัตรูจะยังไม่กล้าลงมือผลีผลาม แต่ในขณะเดียวกัน มันก็จะเร่งให้พวกมันหาทางกำจัด "ตัวแปร" ที่ควบคุมไม่ได้เช่นนี้ให้เร็วยิ่งขึ้น
นางไม่มีเวลามากนัก และนางไม่สามารถสู้เพียงลำพังได้
ิ่หลานทรุดกายนั่งลงอย่างอ่อนเพลีย โอสถทิพย์ช่วยชีวิตนางไว้ได้ แต่ร่างกายนี้ยังคงอ่อนแอจากการถูกทารุณมานานปี นาง้าเวลาพักฟื้น และ้า "หูตา" ที่ไว้ใจได้
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด เสียงฝีเท้าที่เบาและลังเลกว่าของหลี่มัวมัวก็ดังขึ้นที่หน้าประตู ร่างเล็กผอมบางของเด็กสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้นในกรอบประตู นางอยู่ในชุดสาวใช้สีมอซอที่เก่าและมีรอยปะชุนหลายแห่ง ในมือของนางถือหมั่นโถวที่เย็นชืดและแข็งกระด้างก้อนหนึ่ง
นี่คือ ‘เสี่ยวชุ่ย’ สาวใช้ที่ถูกส่งมาปรนนิบัติจ้าวิ่หลานคนเดิม นางเป็คนขี้ขลาดและต่ำต้อย ทำได้เพียงเฝ้ามองเ้านายถูกรังแกโดยไม่กล้าช่วยเหลือ
"คุณ...คุณหนู" เสี่ยวชุ่ยเสียงสั่น นางคงได้ยินเสียงกรีดร้องของหยางซูมาก่อนจึงมีท่าทีหวาดกลัว "บ่าว...บ่าวแอบเอาหมั่นโถวมาให้เ้าค่ะ"
ิ่หลานเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาของเธอสงบนิ่งและลึกล้ำจนเสี่ยวชุ่ยรู้สึกราวกับถูกมองทะลุไปถึงจิตใจ
"ขอบใจเ้ามาก" นางรับหมั่นโถวมาถือไว้ พลางเหลือบมองมือของเสี่ยวชุ่ยที่ยื่นมาให้ ิับนหลังมือของนางแตกเป็ขุยแดงจากความเย็นและการทำงานหนัก
"มือของเ้าแตกเพราะต้องซักผ้าในน้ำเย็นทุกวันใช่หรือไม่?" จู่ๆ ิ่หลานก็ถามขึ้น "แล้วพอตกกลางคืน อากาศเย็นลง เ้าก็จะไอแห้งๆ ไม่หยุดจนนอนไม่หลับ"
เสี่ยวชุ่ยเบิกตากว้างด้วยความใ "คุณหนู...รู้ได้อย่างไรเ้าคะ!?"
"มันเป็เพราะความเย็นและความชื้นสะสมในปอด" ิ่หลานอธิบายด้วยน้ำเสียงของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ "เ้าไปหาขิงแก่กับรากชะเอมเทศมาอย่างละเล็กน้อย ต้มรวมกันแล้วดื่มก่อนนอนติดต่อกันสามวัน อาการไอของเ้าจะดีขึ้น ส่วนมือที่แตกนั่น เอาน้ำมันหมูมาทาบางๆ ทุกคืนก็จะช่วยได้"
เสี่ยวชุ่ยยืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป ความรู้ทางการแพทย์ง่ายๆ เหล่านี้สำหรับิ่หลานนั้นเป็เื่พื้นฐาน แต่สำหรับสาวใช้ในยุคนี้ มันไม่ต่างอะไรกับปาฏิหาริย์ คุณหนูสามที่เคยเอาแต่เหม่อลอยและหวาดกลัว บัดนี้กลับกลายเป็ผู้หยั่งรู้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
"บ่าว...บ่าวจะไปทำตามเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ! ขอบคุณคุณหนู! ขอบคุณคุณหนู!" เสี่ยวชุ่ยทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น น้ำตาไหลพรากด้วยความซาบซึ้งและตื้นตันใจ
"ลุกขึ้น" ิ่หลานกล่าวเสียงเย็น "ข้าไม่ได้ช่วยเ้าฟรีๆ"
เสี่ยวชุ่ยเงยหน้าขึ้น มองเ้านายด้วยแววตาสับสน
"ต่อแต่นี้ไป เ้าต้องเป็หูเป็ตาให้ข้า ทุกความเคลื่อนไหวในเรือนใหญ่ โดยเฉพาะเื่ที่เกี่ยวกับฮูหยินรองหลิวซื่อ ข้าต้องรู้ทั้งหมด ทำได้หรือไม่?"
แววตาของิ่หลานในยามนี้คมปลาบและทรงอำนาจจนเสี่ยวชุ่ยไม่กล้าปฏิเสธ นางรู้สึกลึกๆ ว่าการติดตามคุณหนูสามที่เปลี่ยนไปราวกับเป็คนละคนนี้ อาจเป็หนทางรอดเดียวของนางในจวนอู่หรงแห่งนี้
"เ้าค่ะคุณหนู! ต่อให้ต้องตาย บ่าวก็จะทำเพื่อคุณหนู!"
"ดี" ิ่หลานพยักหน้าอย่างพึงพอใจ "เช่นนั้นบอกข้ามาก่อน...หลังจากหลี่มัวมัวกลับไปแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นที่เรือนใหญ่บ้าง?"
เสี่ยวชุ่ยรีบเช็ดน้ำตาแล้วเปลี่ยนเป็โหมดสอดแนมทันที นางวิ่งหายออกไปอย่างรวดเร็วและกลับมาในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม พร้อมกับข่าวที่ทำให้บรรยากาศในเรือนเก็บฟืนเย็นเยียบลงไปอีกหลายส่วน
"บ่าวได้ยินสาวใช้คนอื่นคุยกันเ้าค่ะ...หลี่มัวมัวกลับไปด้วยใบหน้าซีดเผือดแล้วเข้าไปรายงานฮูหยินรองทันที จากนั้นก็ได้ยินเสียงฮูหยินรองอาละวาดจนถ้วยชากระจายเกลื่อนพื้นเลยเ้าค่ะ!" เสี่ยวชุ่ยรายงานเสียงเบา
"แล้วมีอะไรอีก?" ิ่หลานถามต่ออย่างใจเย็น
เสี่ยวชุ่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดความจริงที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดออกมา
"บ่าว...บ่าวได้ยินหลี่มัวมัวพูดกับฮูหยินรองว่า...ในเมื่อคุณหนูไม่ยอมตายดีๆ และเริ่มมีท่าทีแปลกประหลาด ก็ให้รีบส่งตัวออกจากจวนไปเสีย...แผนเดิมที่จะส่งตัวท่านไปเป็อนุภรรยาให้ท่านเ้าเมืองสวีที่ขึ้นชื่อเื่ความวิปริตในสัปดาห์หน้า...ถูกเลื่อนขึ้นมาเป็...คืนพรุ่งนี้เ้าค่ะ!"
คำพูดของเสี่ยวชุ่ยไม่ต่างอะไรกับอสนีบาตฟาดลงกลางวันแสกๆ!
เส้นตายของนางถูกเลื่อนเข้ามาจนเหลือเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง!
ทว่า...เมื่อเผชิญหน้ากับข่าวร้ายที่อาจทำให้คนทั่วไปสิ้นสติ มุมปากของจ้าวิ่หลานกลับยกขึ้นเป็รอยยิ้มที่เยือกเย็นจนน่าขนลุก ในดวงตาของนางไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย มีเพียงประกายแสงอันตรายที่วูบไหวราวกับนักล่าผู้พบเหยื่อที่น่าสนใจ
"คืนพรุ่งนี้งั้นรึ..." นางพึมพำกับตัวเอง "เวลาช่างกระชั้นชิดเสียจริง...แต่ก็ดี...ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอนาน"
นางหันไปมองเสี่ยวชุ่ยที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
"เสี่ยวชุ่ย...เ้าไปสืบมาให้ข้าอีกเื่หนึ่ง...เ้าเมืองสวีเฒ่าตัณหากลับผู้นั้น...นอกจากเื่สตรีแล้ว เขายังมีโรคประจำตัวหรือจุดอ่อนอะไรอีกบ้าง"
“เ้าค่ะคุณหนู”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้