“หนานจือ!”
เฉินจิ้งเจียตะคอกเสียงเข้ม “คุณหนูรองแค่เป็ห่วงเท่านั้น ไฉนเ้าถึงได้คิดเดาไปเองเช่นนี้เล่า! ออกไปเสีย!”
ครั้นได้ยินเสียงตะคอก หางตาหนานจือเริ่มแดงก่ำ กระนั้นนางทราบดีว่าเฉินจิ้งโหรวหาใช่คนดีอะไร ความกังวลเป็ห่วงในใจจึงทวีคูณขึ้นกว่าเดิม
“คุณหนู บ่าว...”
นางอยากอธิบาย ต่อให้เฉินจิ้งเจียจะลงโทษนางก็ไม่เป็ไร ขอเพียงไม่ไล่นางไปจนปล่อยให้เฉินจิ้งโหรวฉวยโอกาสก็พอแล้ว
“ข้าบอกให้เ้าออกไป! เป็อะไร เดี๋ยวนี้ข้าสั่งเ้ามิได้แล้วหรือ”
สิ้นเสียง เฉินจิ้งเจียเงยหน้ามองหนานจือที่มีสีหน้าตกตะลึงอย่างดุดัน
ไม่รู้ว่าตนตาฝาดไปหรืออย่างไร สายตาคู่นี้ของเฉินจิ้งเจียถึงได้ทำเอาหนานจือตัวแข็งทื่อ ก่อนทำตามคำสั่งผู้เป็นายอย่างลืมตัว ถอยออกไปโดยไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว
ครั้นเห็นทั้งสองขัดแย้งกัน เฉินจิ้งโหรวจึงยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นจิบ
หางตาฉายแววเย้ยหยันอย่างมิอาจสะกดกลั้นได้
เดิมทีคิดว่าเฉินจิ้งเจียจะเก่งกาจขึ้นแล้ว ไม่คิดไม่ฝันว่าจะยังโง่เขลาดังก่อนหน้าไม่เปลี่ยน!
เป็อย่างที่ท่านแม่ของนางกล่าวไว้ไม่ผิด ในอารามพุทธนี้ ไม่มีิญญามารตนใดกล้าอาละวาดจริงๆ!
“ขอโทษด้วยโหรวเอ๋อร์ ข้าคงตามใจยัยหนูหนานจือเสียจนเคยตัว ถึงได้พูดจาซี้ซั้วออกมา”
เฉินจิ้งเจียเอ่ยด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย ตัดบทความคิดของเฉินจิ้งโหรวไป
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ หนานจือเองก็หวังดีกับพี่หญิง ท่านกับข้าเป็พี่เป็น้อง ข้าย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับท่านอยู่แล้ว ทว่าหากไปข้างนอกแล้วหนานจือยังเป็เช่นนี้ เกรงว่าต้องสร้างความเดือดร้อนขึ้นเป็แน่”
นางกล่าวก่อนชะงักไป “พี่หญิง จากนี้ต้องบอกกล่าวนางให้ดีว่าเ้านายคือเ้านาย บ่าวไพร่ก็คือบ่าวไพร่”
หึ!
เ้านายคือเ้านาย บ่าวไพร่ก็คือบ่าวไพร่หรือ
เฉินจิ้งเจียแสยะยิ้มในใจ ไม่รู้ว่าเฉินจิ้งโหรวมีความสุขเพียงใดที่เห็นตนสั่งสอนหนานจือ ช่างโง่เง่ายิ่งนัก
มารดาของนางอย่างจ้าวอี๋เหนียง แรกเริ่มก็เป็สาวใช้ข้างกายท่านย่าของตนมิใช่หรือไร การที่คำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากนาง ช่างดูน่าขันเสียจริงเชียว!
“ข้ารู้แล้ว เพียงแต่ท่านพ่อน่ะ...”
เมื่อเห็นว่าเฉินจิ้งโหรวพูดมาตั้งนานแต่ยังไม่เข้าเื่หลักสักที เฉินจิ้งเจียจึงทำทีร้อนใจแทนนาง
พอนางเอ่ย เฉินจิ้งโหรวจึงนึกภารกิจของตนขึ้นได้ นางหุบยิ้มก่อนมองเฉินจิ้งเจียด้วยความจริงจัง “ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่าท่านพ่อโกรธเกรี้ยวมาก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด”
เฉินจิ้งเจียก้มหน้าเล็กน้อย ท่าทีหดหู่เต็มประดา “เพราะข้าไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าท่านพ่อจะตามใจข้าไปเสียหมด แต่ใครเล่าจะรู้ว่า...”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เฉินจิ้งโหรวมองเฉินจิ้งเจียอย่างเป็ห่วงเป็ใย หากมองข้ามแววตาสะใจที่ฉายแววเพียงวูบหนึ่งของนางไป
“อันที่จริง คือว่าความจริงแล้ว...” เฉินจิ้งเจียลากเสียงยาวทำทีลังเล ก่อนเล่าต้นสายปลายเหตุของเื่ราวให้เฉินจิ้งโหรวฟัง
ครั้นได้รับข่าวใหญ่เช่นนี้ เฉินจิ้งโหรวก็แทบทนรอบอกเื่ราวแก่จ้าวอี๋เหนียงเสียไม่ไหว แม้แต่ท่าทีรีบร้อนก็ไม่ทันปิดบังไว้
“โหรวเอ๋อร์เ้าว่าข้าควรทำเช่นไรดี?” เฉินจิ้งเจียพูดพลางขมวดใบหน้าเรียวเล็กมุ่น ดูทุกข์ใจไม่น้อย
เฉินจิ้งโหรวมองนาง น้ำเสียงอ่อนโยนลงไม่น้อย “พี่หญิง คุณชายเผยดีขนาดนั้นเชียวหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” เฉินจิ้งเจียโพล่งขึ้นทันใด ท่าทางไม่ยอมให้ใครซักถามต่อ
“คุณชายเผยน่ะ แม้ไร้ซึ่งสมบัติทรัพย์สิน แต่กลับเป็สุภาพบุรุษ เปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ยิ่ง”
ยิ่งนางพูด น้ำเสียงที่ได้ยินก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ กระทั่งเฉินจิ้งโหรวอดที่จะปรายตามองเฉินจิ้งเจียวูบหนึ่งเสียมิได้ ก่อนพบว่าอีกฝ่ายใบหน้าขึ้นริ้วแดงก่ำไปแล้ว
“หากเป็ดั่งที่พี่หญิงบอกมา เช่นนั้นคุณชายเผยก็นับว่าเป็คนที่คู่ควรฝากฝังชีวิตด้วยแล้ว” เฉินจิ้งโหรวเอ่ยต่อเฉินจิ้งเจียทันที
ปล่อยให้นางชอบพอเ้ายาจกไร้ประโยชน์นั่นยิ่งดี
เหล่าบุรุษหนุ่มรูปงามทั้งหลายในเมืองหลวงนี้ มีใครบ้างมิอยากสานสัมพันธ์กับจวนป๋อชางโหว?
ประการแรกคือการได้แต่งงานกับคุณหนูใหญ่อย่างเฉินจิ้งเจียแน่นอน แต่หากเฉินจิ้งเจียเลือกคู่แล้ว เช่นนั้นเฉินจิ้งโหรวย่อมกลายเป็เป้าหมายในการตามจีบของพวกเขาแทนนั่นเอง
นางคิดเช่นนี้ในใจ ทำท่าทางประหนึ่งเห็นฝูงชนตามเกี้ยวพาราสีนาง
“โหรวเอ๋อร์เ้าพูดถูก ข้าเห็นคุณชายเผย ก็แน่ใจแล้วว่าเขาเป็คนที่คู่ควรแก่การฝากฝังชีวิต” เฉินจิ้งเจียเอ่ยเสียงอ่อน ราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์รักแสนหวานอย่างไรอย่างนั้น
กระทั่งมองข้ามสายตาหยามเหยียดที่มองมาจากเฉินจิ้งโหรวข้างกายได้อย่างสิ้นเชิง
คนมีเสน่ห์อันใดกัน สุภาพบุรุษอันใดกัน ก็แค่เพราะเฉินจิ้งเจียโง่เขลาถึงได้มองคนที่หน้าตา หากรูปไม่งามก็ไม่ตบแต่งต่างหากละ
“ใช่อะไรกัน!”
เสียงะโเปี่ยมโทสะดังขึ้นจากด้านนอก ก่อนบานประตูจะถูกผลักออกเต็มแรง ลมเย็นเยียบพัดเข้ามาพร้อมใครคนหนึ่ง นั่นคือเฉินอี้เหอที่โกรธหน้าดำหน้าแดงนั่นเอง
เมื่อเห็นผู้มาเยือน เฉินจิ้งเจียจึงรีบฉีกยิ้มทันใด หาได้สนใจท่าทีบึ้งตึงของเขาไม่
“ท่านพี่มาแล้ว รีบนั่งเร็วเข้า ข้างนอกลมแรงเกินไปแล้ว”
นางพูดไปพลางเปิดฝาถ้วยชาบนโต๊ะ พร้อมเทชาให้เสร็จสรรพ
ท่าทีประจบประแจงนี้ กลับทำเอาโทสะเดือดดาลของเฉินอี้เหออันตรธานหายไป เขาสะกดกลั้นอารมณ์อึดอัดไว้จนแน่นเต็มอก
“อืม” เขาตอบเสียงเ็า เดินไปนั่งเก้าอี้ปักลายข้างกายเฉินจิ้งเจียโดยไม่ลืมปิดประตูตาม
หลังจากนั่งดื่มชา สายตาเฉินอี้เหอกวาดจ้องไปยังเฉินจิ้งโหรวที่นั่งข้างๆ “คุณหนูรองมีธุระอันใดอีกหรือไม่”
“ไม่ ไม่มีแล้วเ้าค่ะ พี่ใหญ่คุยกับพี่หญิงเถิด โหรว โหรวเอ๋อร์ขอ ขอตัวกลับก่อนแล้วเ้าค่ะ”
เฉินจิ้งโหรวอ้ำๆ อึ้งๆ เอ่ยจบก็หันกายพาสาวใช้ของตนเร้นจากไปทันใด
เฉินอี้เหอไม่ได้โง่เขลาอย่างเฉินจิ้งเจีย การเป็แม่ทัพใหญ่แห่งชายแดนถึงสามปีมิได้เป็ไปอย่างเสียเปล่า
พลังอำนาจจากตัวเขา ไม่น้อยไปกว่าบิดาอย่างป๋อชางโหวเลย
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเคยผ่านสมรภูมิชีวิตอันโชกโชนมาเนิ่นนาน จึงมีจิตสังหารติดตัวอยู่เสมอ
ในสายตาเฉินจิ้งโหรว นั่นมิได้เรียกว่าจิตสังหาร แต่เป็จิตอาฆาตมาดร้ายเลยต่างหาก!
ยิ่งนางนึกถึง ก็ยิ่งควบคุมฝีเท้าตนเองไม่ได้ ฝีเท้าการเดินที่เคยสง่างามเริ่มรวนเร กระทั่งสุดท้ายกลายเป็วิ่งเผ่นแน่บไป แม้แต่สาวใช้ข้างกายที่ตามมายังเกือบตามไม่ทัน
ครั้นเห็นท่าทีเฉินจิ้งโหรวที่ราวกับวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง หนานจือก็อดที่จะะเิหัวเราะเสียมิได้
หากแต่หัวเราะได้ไม่นานก็เป็อันต้องสงวนท่าทีไป เดินกลับเข้าห้องอย่างกระมิดกระเมี้ยน คุกเข่าลงตรงเท้าเฉินจิ้งเจีย
“บ่าวผิดไปแล้ว คุณหนูโปรดลงโทษด้วยเ้าค่ะ”
หากเป็แต่ก่อน เฉินจิ้งเจียต้องประคองขึ้นมาพร้อมปลอบโยนแล้ว ทว่าคราวนี้นางกลับมิได้ทำเช่นนั้น
นางก้มหน้าเล็กน้อยมองศีรษะหนานจือ ในใจเฉินจิ้งเจียเต็มไปด้วยความสับสน
หนานจือในชาติก่อนก็เป็คนปากไวใจไวแบบนี้เช่นกัน เพราะตนไม่เคยมองนางเป็บ่าวไพร่ นั่นทำให้นางติดนิสัยเสียคือไม่รู้จักยับยั้งวาจา
และด้วยเหตุนี้ ท้ายสุดหนานจือจึงถูกจับจุดอ่อนได้ โดนตัดสินโทษทัณฑ์ ถูกโบยหนักจนตาย
หลังจากหยุดคิด ท่าทีเฉินจิ้งเจียสุขุมเคร่งขรึม ในชาตินี้นางจะไม่ยอมพลาดพลั้งเหมือนชาติก่อนอีกเด็ดขาด!
“เช่นนั้นเ้ารู้หรือไม่ว่าตนผิดตรงไหน?” เฉินจิ้งเจียเอ่ยน้ำเสียงเยือกเย็น ทำเอาหนานจือแยกไม่ออกว่านางกำลังพอใจหรือไม่กันแน่
“บ่าวผิดที่ไม่ควรโต้เถียงคุณหนูเ้าค่ะ”
“หมดแล้วหรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้