“ท่านหญิงลู่จิวเกิดสิ่งใดขึ้นหรือเ้าคะ”
หลังจากที่ขึ้นไปบนรถม้า หยวนชิงหลิงก็เอาแต่นั่งเงียบทำหน้าบึ้งจนนางอดที่จะรู้สึกอึดอัดไม่ได้ จึงทำใจกล้าลองเลียบๆ เคียงๆ ถาม เผื่อว่าตนจะสามารถช่วยอะไรได้บ้าง
“โทษที ข้าทำให้เ้าอึดอัดใจสินะ”
จ้าวหงอิงส่ายหน้าเป็กลองป๋องแป๋ง
“มิใช่เลยเ้าค่ะท่านอย่าได้เข้าใจผิด ข้าเพียงคิดว่าบางทีอาจมีบางอย่างที่จะสามารถช่วยท่านได้บ้างก็เท่านั้น”
จ้าวหงอิงเอ่ยเสียงเบา นางเป็เพียงบุตรสาวของขุนนางเล็กๆ เท่านั้น พื้นเพของบิดาก็มาจากชาวนามิใช่ตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมานับร้อยปี ทุกครั้งที่นางพบคุณหนูจากตระกูลขุนนางใหญ่ นางจำเป็ต้องยอมกล้ำกลืนก้มหัวให้เพื่อความอยู่รอดของบิดา ห้ามทำให้พวกเขาไม่พอใจเป็อันขาด บางครั้งจ้าวหงอิงก็รู้สึกว่าฐานะของตนนั้นต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าสาวใช้ในจวนขุนนางใหญ่เสียอีก
“เื่ของข้าเ้าช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ใช่แล้ว...ตอนนี้เ้าก็ว่างอยู่ ข้าไปช่วยเ้าขนของมาไว้ที่รถม้าของข้าดีกว่า จากนี้มีเ้าคอยพูดคุยเป็เพื่อน ตลอดการเดินทางคงไม่น่าเบื่อเท่าใดนัก”
จ้าวหงอิงไม่คิดว่าท่านหญิงลู่จิวจะเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วเช่นนี้ เมื่อสักครู่นางพึ่งจะแสดงออกว่าอารมณ์ไม่ดีเป็อย่างมาก ตอนนี้กลับเปลี่ยนมาคุยเื่ของนางเสียแล้ว
“ท่านจะให้ข้าย้ายมานั่งรถม้าคันเดียวกับท่านจริงๆ หรือเ้าคะ”
จ้าวหงอิงถามย้ำอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจ
“ทำไมหรือ หรือว่าเ้าไม่สะดวกใจที่จะนั่งรถม้าคันเดียวกับข้า”
จ้าหงอิงรีบส่ายหน้าโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็พัลวัน
“มิใช่เช่นนั้นเ้าค่ะ ข้าเพียงแต่เกรงว่าตนเองจะรบกวนท่านเท่านั้น”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า
“ไม่ใช่ก็แล้วไป ไปเถอะข้าช่วยเ้าเอง”
เอ่ยจบนางก็ลงจากรถม้าตามมาด้วยจ้าวหงอิง สตรีทั้งสองเดินย้อนกลับไปที่รถม้าคันเล็กที่นางนั่งโดยสารมา ด้านในมีสตรีสามคนและหนึ่งในนั้นคือหลี่อันหรง
“เ้ามาทำอันใดที่นี่”
หลี่อันหรงใมากที่เห็นหยวนชิงหลิง นางยังจำความเ็ปที่หยวนชิงหลิงตบนางได้ หลี่อันหรงเผลอยกมือขึ้นกุมที่ใบหน้าของตนอย่างลืมตัว
“ข้าจะมาทำอันใดที่นี่ก็หาใช่ธุระกงการของเ้า หลบไปหรืออยากจะโดนเหมือนครั้งก่อน”
หยวนชิงหลิงยกมือขึ้นทำท่าจะตี หลี่อันหรงและสตรีอีกสองนางรีบวิ่งลงจากรถม้าราวกับผึ้งแตกรัง นางหันไปพยักหน้าให้จ้าวหงอิงเข้าไปเก็บของที่นางนำติดตัวมาทั้งหมด เมื่อเสร็จแล้วพวกนางก็เดินจากไป โดยที่ไม่สนใจสายตาที่มองมาอย่างจะกินเืกินเนื้อของหลี่อันหรง
“อันธพาลหยวนชิงหลิง!! ฝากไว้ก่อนเถอะถึงแคว้นเซี่ยเมื่อใดข้าจัดการเ้าแน่”
หยวนชิงหลิงพาจ้าวหงอิงกลับมาที่รถม้าของนางอีกครั้งหลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว อาเฟยก็มาตามนางไปทำอาหาร
“ท่านหญิงลู่จิว องครักษ์จับปลามาแล้วขอรับ”
หยวนชิงหลิงก้าวลงมาจากรถม้า
“ข้าบอกแล้วว่าให้เรียกชื่อข้าตามสบาย ช่างเถอะ ปลาเล่าอยู่ไหน”
ข้าจะกล้าเอ่ยนามของท่านออกมาตรงๆ ได้อย่างไร เพียงแค่ข้าอยู่ใกล้ท่านข้าก็รู้สึกถึงสายตาของท่านผู้นั้น ที่ราวกับคมมีดนับหมื่นเล่มเชือดเฉือนเนื้อของข้าอยู่ตลอดเวลา อาเฟยทำท่าหดคอระหว่างที่เดินนำหยวนชิงหลิงไปยังมุมหนึ่งใต้ต้นไม้ที่มีกระโจมกางเอาไว้บังแดด
“เ้าทำได้ดีนี่”
หยวนชิงหลิงตบไปที่ไหล่ของอาเฟยเบาๆ ร่างที่สูงกว่าทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง ท่านหญิงลู่จิวท่านจะแตะเนื้อต้องตัวผู้อื่นตามใจตนมิได้นะขอรับ ข้ายังไม่อยากตาย อาเฟยคร่ำครวญในใจ หยวนชิงหลิงมองท่าทางการแสดงออกของเขาด้วยความสงสัย แต่นางก็ละความสนใจไปเพราะปลามากมายที่อยู่ในถังไม้
“ว้าว!! จับมาได้เยอะเพียงนี้เชียว”
นางเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้นเหมือนเด็กเล็กๆ ที่พึ่งได้ของเล่นใหม่ สายตาคมกริบของเซี่ยหวายอีจับจ้องไปยังร่างบางที่ยืนรวมกลุ่มอยู่กับเหล่าพ่อครัว แค่ปลาที่ไร้ค่าไม่กี่ตัวก็สามารถทำให้เ้าตื่นเต้นดีใจเพียงนี้เชียวหรือ เขานึกว่าสตรีทั่วทั้งทวีปนี้ต่างก็ชื่นชอบในของกำนัลที่มีค่าเสียอีก นางช่างเป็สตรีที่นิสัยแปลกประหลาดและไม่เหมือนผู้ใดเสียจริง
นอกจากปลาที่อยู่ในถังไม้แล้ว ยังมีไก่ป่าอีกนับสิบตัวที่องครักษ์ของเซี่ยหวายอีจับกลับมาด้วย หยวนชิงหลิงฮำเพลงอย่างอารมณ์ดีในระหว่างทำอาหาร เหล่าพ่อครัวต่างก็มองใบหน้างามของนางอย่างตกตะลึง จากนั้นจึงพร้อมใจกันหน้าแดงด้วยความเขินอาย ทั้งที่เห็นหน้ากันทุกวันแต่ท่านหญิงที่อารมณ์ดีเช่นนี้ช่างงดงามยิ่งนัก
“อะแฮ่ม!!!”
เสียงกระแอมไอที่ดังจากด้านหลังทำให้พ่อครัวเ่าั้หันกลับไปมอง จากนั้นพวกเขาจึงรีบกลับไปทำหน้าที่ของตนอย่างลนลาน เหลือเพียงหยวนชิงหลิงและจ้าวหงอิงที่คอยเป็ลูกมือเท่านั้น
ผ่านไปไม่นานกลิ่นอาหารที่หอมยั่วน้ำลาย ที่เหล่าพ่อครัวและหยวนชิงหลิงทำก็ล่องลอยกระจายไปทั่วกองคาราวานราชทูตแคว้นเซี่ย ทั้งองครักษ์ที่กำลังพักผ่อนและเหล่าสตรีบรรณาการต่างก็เดินออกมาดูว่าอาหารเที่ยงของวันนี้คือสิ่งใด ถึงได้มีกลิ่นหอมเยี่ยงนี้
“ข้าหิวจังเลย มีส่วนของข้าหรือไม่”
สตรีรูปร่างสูงนางหนึ่งเอ่ยขึ่น นางและกลุ่มสหายของนางเดินตรงมาที่กระโจมเปิดใต้ต้นไม้ที่หยวนชิงหลิงกำลังทำอาหารอยู่ หยวนชิงหลิงไม่สนใจพวกนาง คนไร้ค่าที่ไม่ยอมทำสิ่งใดเลยไม่มีสิทธิ์ทานอาหารเหล่านี้
“อาหารของพวกเ้ามีพ่อครัวทำให้ต่างหากมิใช่หรือ มาทำอันใดที่นี่ ให้สาวใช้ของพวกเ้าไปยกมาสิ น่าจะเสร็จแล้ว”
หยวนชิงหลิงเอ่ยกับสตรีร่างสูงนางนั้น
“ตะ.....แต่ว่าอาหารเ่าั้มัน....”
นางอยากจะเอ่ยว่าไม่อร่อย แต่นางไม่กล้าเพราะระหว่างการเดินทางยังต้องพึ่งพาพวกเขาอยู่
“อาหารเ่าั้มันทำไม เ้าคิดว่าพ่อครัวเพียงไม่กี่คนในคณะราชทูต ที่ต้องทำอาหารให้คนนับร้อยทานวันละสามมื้อจะมีเวลามาสนใจในรสชาติเพื่อเอาอกเอาใจพวกเ้าที่นั่งอยู่เฉยๆ โดยที่ไม่ได้ออกแรงอย่างนั้นหรือ”
สตรีร่างสูงแสดงท่าทางไม่พอใจในคำพูดของหยวนชิงหลิง
“แต่นั่นมันเป็หน้าที่ของพวกเขานะ เรารับพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้เดินทางไปยังแคว้นเซี่ย พวกเขาจะต้องดูแลเราเป็อย่างดีสิ เราก็แค่้าทานอาหารเท่านั้น พวกเราทำอะไรผิดมากนักหรือ”
หยวนชิงหลิงมองใบหน้าของหญิงสาวที่ถูกแต่งแต้มอย่างดีด้วยเครื่องประทินโฉมราคาสูง กลิ่นแป้งหอมที่โชยออกมาจากกายพวกนางทำให้หยวนชิงหลิงรู้สึกฉุนจนอยากจะจามออกมา นี่บิดาของนางใช้ทั้งชีวิตเพื่อปกป้องคนโง่เขลาเหล่านี้อยู่อย่างนั้นหรือ
“ข้าคิดว่าตอนนี้พวกเ้าทุกคนกำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปอยู่นะ เ้าคิดว่าตนเองเป็อะไรสำหรับคนแคว้นเซี่ยกัน เ้าคิดว่าเมื่อไปถึงที่นั่นพวกเขาจะยิ้มต้อนรับพวกเ้าราวกับคนสำคัญของแผ่นดินอย่างนั้นหรือ”
“แล้วมิใช่หรืออย่างไร”
สตรีร่างสูงตอบสวนออกไปทันควัน หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ คนโง่เขลาก็ยังเป็เพียงคนโง่เขลา
“ข้าและพวกเ้าทุกคนที่ถูกฮ่องเต้สั่งให้เดินทางไปที่แคว้นเซี่ย ล้วนแต่ถูกทิ้งแล้ว ไม่มีใครมาสนใจหรอกว่าหลังจากที่พวกเราก้าวเท้าออกไปจากเมืองหลวงจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกเราบ้าง”
“ชีวิตของพวกเ้าทุกคนตอนนี้อยู่ในกำมือของแคว้นเซี่ยแล้ว เลิกฝันหวานเสียเถอะ เมื่อไปถึงที่นั่นพวกเ้าจะถูกรุมฉีกทึ้ง เหมือนชิ้นเนื้อ หากดวงดีหน่อยอาจได้เป็อนุเล็กๆ ของขุนนาง แต่ไม่มีทางที่พวกเขายกย่องพวกเ้าออกหน้าออกตา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเื่ที่พวกเ้ากลายเป็หนึ่งในพวกเขา”
“เลวร้ายหน่อย อาจต้องไปทำหน้าที่บำเรอให้ความสุขแก่ทหารในกองทัพ ตื่นเสียที พวกเ้าไม่เอะใจบ้างหรือว่าเหตุใดสตรีที่ถูกส่งไปที่แคว้นเซี่ยถึงมีเพียงบุตรอนุเท่านั้น เพราะพวกเ้าล้วนไม่มีความสำคัญในใจของพวกเขาอย่างไรเล่า เป็แค่เพียงเบี้ยที่ถูกใช้แล้วทิ้งก็เท่านั้น”
เป็อย่างที่หยวนชิงหลิงคิด ฮ่องเต้ฉินได้ปรึกษาเื่นี้กับเหล่าขุนนางแล้ว ต่อให้ต้องสูญเสียหญิงสาวเหล่านี้ไป ก็ไม่มีผลใดใดต่อตระกูลใหญ่เ่าั้อยู่แล้ว สตรีที่ถูกแต่งออกไปแล้วก็ไม่ต่างจากน้ำที่สาดทิ้ง
“ท่านกำลังพูดเื่อันใดกัน มันต้องไม่มีทางเป็เช่นนั้นแน่ ข้าไม่มีทางเชื่อ!! เราหาใช่หญิงคณิกาพวกเขาจะทำอย่างนั้นกับเราไม่ได้”
นางคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าพวกนางจะต้องไม่เชื่อในสิ่งที่ตนพูด แต่เื่นั้นหาใช่ปัญหาของนาง เพราะถึงอย่างไรเมื่อไปถึงเมืองหลวงแคว้นเซี่ย บางทีโอกาสที่จะได้พบกันอาจจะไม่มีอีกเลยก็เป็ได้ เป้าหมายของนางมิใช่การปักหลักอยู่ที่แคว้นเซี่ยโดยถาวร
แต่เป็การตามหาความจริงเื้ัผู้ที่สังหารบิดา หากนางได้พบกับแม่ทัพแคว้นเซี่ยผู้นั้นนางก็อาจจะได้รู้ความจริงจากปากเขา แต่ตอนนี้นางยังไม่มีวิธีที่จะได้เข้าใกล้เขาเลย ได้ยินมาว่าแม่ทัพอายุน้อยผู้นี้นั้นลึกลับยิ่งนัก สักวันนางหวังว่าจะได้พบกับเขาตัวเป็ๆ
สตรีบรรณาการเ่าั้ที่รายล้อมหยวนชิงหลิง หลังจากที่ได้ยินความจริงจากปากนาง บ้างก็ร้องไห้ บ้างก็ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ให้พวกนางรู้เสียั้แ่ตอนนี้จะได้ปรับตัวทัน ดีกว่าไปรู้ทีหลังแล้วต้องมานั่งเสียใจและแตกสลายด้วยความจริงที่ว่าพวกนางถูกคนทั้งครอบครัวทอดทิ้ง
“หยุดร้องไห้เสียเถิด ตอนนี้ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือพวกเราได้แล้ว ทุกอย่างมันเป็เพียงเื่ของการเมืองเท่านั้น พวกเราก็เป็แค่เพียงตัวหมากเล็กๆ ของพวกเขา จากนี้ไปก็จงพยายามปรับตัวให้ได้ เผื่อว่าวันหน้าต้องอยู่ใน่ชีวิตที่ลำบากจะได้ไม่ต้องมานั่งนึกเสียใจทีหลัง”
หยวนชิงหลิงเอ่ยปลอบพวกนางเสียงอ่อนโยน นางเพียงหวังว่าสตรีเหล่านี้จะเข้มแข็งขึ้นในไม่ช้า และยืนได้ด้วยขาของตนเอง
ทุกคำพูดของนางกระทบจิตใจของใครหลายคน รวมถึงบุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังต้นไม้ที่ใช้กางกระโจม เขามองใบหน้าเล็กที่มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาที่หน้าผากเพราะความร้อนของกองไฟที่นางใช้ทำอาหาร เขาอยากจะเอื้อมมือไปเช็ดให้นางแต่แล้วก็ต้องหยุดการกระทำของตนเอาไว้
“คิดบ้าอันใดของข้าอยู่กันแน่ นางก็เป็แค่เพียงตัวยุ่งเท่านั้น เลิกสนใจนางไปเสีย”
เซี่ยวหวายอีรีบเดินออกไปจากตรงนั้น ก่อนที่เขาจะทำอะไรบ้าๆ ลงไปโดยไม่รู้ตัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้