แท่นหินกว้างครึ่งเมตร สูงหนึ่งเมตร คล้ายกันกับที่โหยวเสี่ยวโม่เห็นในห้องหิน
แต่แท่นหินนี้จะสูงกว่าหน่อย แท่นหินเก้าอันก็คือทดสอบรอบละเก้าคน สามทัพรวมกันได้เจ็บสิบสองคน แบ่งเป็แปดรอบพอดี ไม่มากไปหรือน้อยไป
จากนั้นต่อด้วย ผู้เฒ่าเริ่มขานเรียกหมายเลขถัดไป เลขที่ถูกขานต้องไปยืนอยู่หน้าแท่นหิน เพราะมีเพียงเก้าแท่น รอบละสามคนจากสามทัพ
กลุ่มแรกถูกเรียกขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ทัพพิภพยืนแท่นฝั่งขวาสามอัน อีกหกคนโหยวเสี่ยวโม่ไม่รู้จัก แต่คนของทัพ์ดูออกง่ายมาก เพราะพวกเขาจะเชิดหน้าตลอดเวลา ท่าทีปนไปด้วยความจองหอง
จากนั้น หนุ่มคนหนึ่งก็วางตั้งนาฬิกาทรายต่อหน้าทุกคน
ในนาฬิกามีทรายจุอยู่ครึ่งหนึ่ง จากนั้นถูกวางบนโต๊ะ เม็ดทรายค่อยๆ ไหลลงมาด้านล่าง นี่คือวิธีจับเวลาของสำนักเทียนซิน หากทรายไหลลงมาจนครบ นั่นหมายถึงการทดสอบได้จบลงแล้ว
โหยวเสี่ยวโม่พึ่งรู้ตอนนี้เองว่า การทดสอบนั้นมีจับเวลาด้วย โชคดีที่เขาเตรียมตัวมาดี ไม่งั้นคงระแวงกับนาฬิกาทรายนี่แน่นอน เขาเห็นศิษย์บางคนเริ่มจดจ้องนาฬิกาทรายด้วยความตื่นเต้น
การทดสอบเริ่มขึ้นแล้ว ศิษย์ทั้งเก้าคนต่างก็หยิบหญ้าเซียนที่ถูกเตรียมไว้อยู่แล้วบนแท่นหิน
่ระหว่างการหลอมยานั้นค่อนข้างน่าเบื่อหน่าย ทว่าการหลอมยาเซียนตันขั้นสองไม่ได้ใช้เวลามากนัก
เมื่อทรายเม็ดสุดท้ายตกลงไปก็เป็อันหมดเวลาทดสอบกลุ่มแรก ยาเซียนตันเก้าเม็ดถูกหยิบขึ้นมาตรวจสอบ เพราะไม่ใช่ว่ายาทุกเม็ดล้วนสภาพดี มีบางเม็ดที่เกิดข้อผิดพลาดระหว่างการนวดผสมเม็ดยา ทำให้เม็ดยาใช้งานไม่ได้ ดังนั้นต้องตรวจสอบอย่างละเอียดว่ายาเซียนตันได้ผลลัพธ์ที่ดีรึเปล่า
โหยวเสี่ยวโม่ยืนอยู่ด้านหลัง เื่ราวก่อนหน้าเขาเห็นไม่ชัดเจน จึงต้องเขย่งเท้าชะเง้อมอง
แต่พอเห็นชัดการตรวจสอบก็เสร็จสิ้นแล้ว เพื่อนร่วมสำนักบางคนก็ดีใจ บางคนก็ผิดหวัง บางคนถึงขั้นจะร้องไห้ออกมา และคนที่เกือบร้องไห้นั่นก็คือศิษย์ทัพพิภพนั่นเอง
ศิษย์ทั้งสามคนกลับมา ขงเหวินเพียงเอ่ยปลอบใจน้ำเสียงราบเรียบ จากนั้นเริ่มกลุ่มสองต่อ
ดูคนอื่นหลอมยาก็เป็เื่น่าเบื่อ แต่ก็มีข้อดี สามารถสังเกตท่าทางขั้นตอนการหลอมของคนอื่นได้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ถือเป็เื่ดีอย่างหนึ่ง อย่างน้อยก็มีโหยวเสี่ยวโม่ที่คอยชะเง้อคอดูอย่างได้อารมณ์
เสร็จจากกลุ่มสองก็เริ่มกลุ่มสาม นั่นก็คือหมายเลขเจ็ดถึงหมายเลขเก้า
โหยวเสี่ยวโม่แน่ใจว่าเป็หมายเลขตัวเอง จากนั้นผู้เฒ่าก็ประกาศเรียกหมายเลขเจ็ด ตั้งจิตแน่วแน่จากนั้นเดินขึ้นไปพร้อมกับศิษย์อีกสองคนและไปยืนอยู่หน้าแท่นหินที่เจ็ด เมื่อเข้าใกล้ถึงเห็นของที่อยู่บนแท่นหินอย่างชัดเจน
บนแท่นหินนั้นมีเตาหลอมสีดำวางอยู่หนึ่งอัน ด้านหน้าเตาหลอมมีหญ้าเซียนสองชุด ชุดละสามต้นวางอยู่ เป็ส่วนผสมชนิดเดียวกันทั้งสองชุด ความหมายก็คือ หากใช้ไปทั้งสองชุดแต่ไม่สามารถหลอมยาออกมาได้แม้แต่เม็ดเดียว นั่นหมายถึงล้มเหลว
โหยวเสี่ยวโม่หยิบหญ้าเซียนขึ้นมาต้นหนึ่งแล้วดู พบว่าเป็ส่วนผสมที่ใช้หลอมยาห่อหุ้มพลัง
เก็บตัวไปสามเดือน เขาเคยหลอมยาหลายชนิด ยาห่อหุ้มพลังนี่ก็เป็หนึ่งในนั้น แต่ไม่เยอะเท่าไหร่ นอกจากนี้ สามวันก่อนหญ้าเซียนที่ได้จากอาจารย์ลุงจ้าวก็มีส่วนผสมของยาห่อหุ้มพลังด้วย ดังนั้นจึงรู้สึกคุ้นเคย
ยาห่อหุ้มพลังเป็ยาชนิดที่พิเศษสุดในบรรดายาเซียนตันขั้นสอง มันช่วยในการบรรลุขั้นของนักฝึกตนชั้นล่าง มีนักฝึกตนบางคนล้มเหลวในการบรรลุขั้นเพียงเพราะว่าพลังปราณไม่เพียงพอ ตอนนี้เองที่้ายาห่อหุ้มพลัง เพราะยาเซียนตันนี้จะแปรเปลี่ยนเป็พลังปราณแล้วช่วยนักฝึกตนบรรลุขั้นได้ดี
แต่นี่ยังไม่ใช่จุดที่พิเศษของมัน
สิ่งที่พิเศษคือมันท้าทายความสามารถของนักหลอมโอสถมากกว่ายาเซียนตันขั้นสองทั่วๆ ไป การหลอมร้อนนั้นต้องมากห้ามน้อย พลังของยาต้องบริสุทธิ์ หากสิ่งแปลกปลอมเยอะ ถ้างั้นยาเม็ดนั้นก็เท่ากับศูนย์เปล่า
แน่นอนว่า ความยากระดับนี้สำหรับโหยวเสี่ยวโม่นับว่าไม่เท่าไหร่ เขานั้นชำนาญการหลอมร้อนอยู่แล้ว ยาเซียนตันทุกเม็ดต้องผ่านการหลอมร้อนอย่างน้อยสองรอบถึงจะยอมวางมือ เว้นเสียแต่การหลอมเม็ดแรก
ทว่าเขามองไปยังส่วนผสมของศิษย์อีกสองคน กลับพบว่าเป็ยาเซียนตันขั้นสองแบบง่ายๆ ก่อนหน้านี้เขาเห็นผู้เฒ่าให้คนแบ่งสัดส่วนหญ้าเซียน ก็เห็นว่าแบ่งหน้างาน ดูเช่นนี้แล้ว คงเพราะดวงเขาไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นจึงได้ส่วนผสมยาที่ค่อนข้างยากหน่อย
โหยวเสี่ยวโม่มองไปยังนาฬิกาทราย พึ่งจะเริ่ม จึงโยนหญ้าเซียนลงเตาหลอมอย่างไม่ตระหนก
ผ่านการทดสอบไปสองรอบ เขาคำนวณเวลาคร่าวๆ ของนาฬิกาทรายได้แล้ว เวลาราวครึ่งชั่วโมง ยาเม็ดเดียวให้เวลาครึ่งชั่วโมง สำหรับเขาแล้วช่างเหลือเฟือ จากความเร็วของเขาในตอนนี้ เวลาครึ่งชั่วโมงเขาสามารถหลอมได้สิบเม็ดแล้ว
คนดูค่อนข้างเยอะ เยอะจนพูดได้ว่าครึ่งหนึ่งในนั้นกำลังจดจ้องโหยวเสี่ยวโม่อยู่
แต่จุดสนใจของโหยวเสี่ยวโม่อยู่บนแท่นหิน ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตว่าคนดูเขาเยอะแค่ไหน บางส่วนในนั้นรอดูเพื่อหัวเราะเยาะเขา เขาไม่มีทางรู้แน่นอนว่าตัวเองมีชื่อเสียงแค่ไหน
……
ในกลุ่มคน สาวงามผู้หนึ่งยืนยิ้มเยาะมองดูโหยวเสี่ยวโม่อยู่
สาวงามผู้นี้ก็คือทังอวิ๋นฉีนั่นเอง นางเป็นักหลอมโอสถขั้นสาม อันที่จริงไม่ควรปรากฏตัวอยู่ที่นี่ แต่ใครใช้ให้นางเป็ลูกสาวเ้าสำนักกันล่ะ ดังนั้นคนเฝ้าประตูจึงไม่ได้ห้ามนาง ปล่อยให้นางเข้ามา
“ศิษย์น้องทัง ข้าว่าโหยวเสี่ยวโม่คราวนี้แย่แน่”
“เขาพึ่งเข้าสำนักมาได้แค่ครึ่งปี ไม่มีทางหลอมยาห่อหุ้มพลังได้แน่นอน หรือถ้าหลอมออกมาได้ ยาเม็ดนั้นก็คงใช้การไม่ได้ เพราะยาห่อหุ้มพลังนั้นมีเงื่อนไขต่อนักหลอมโอสถค่อนข้างเยอะ”
ยาใช้การไม่ได้ก็เท่ากับเปล่าประโยชน์
ทังอวิ๋นฉีขยับปากแดงเรื่อ ยิ้มเยือกเย็นแล้วเอ่ย “ที่ข้า้าไม่ใช่ว่ามันหลอมยาไม่ได้ แต่ให้มันขายขี้หน้าต่อหน้าคนเยอะแยะต่างหาก แบบนี้ถึงจะสาแก่ใจข้า”
“ถูกต้อง กล้าทำให้ศิษย์น้องทังถูกผู้าุโเบื้อง…”
ศิษย์พี่ที่ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกทังอวิ๋นฉีถลึงตาใส่ ทันใดก็ไม่กล้าพูดต่อ
คนอื่นๆ เมื่อเห็นทังอวิ๋นฉีสีหน้าถมึงทึง จึงไม่กล้าออกเสียง แม้จะไม่พูด แต่ทุกคนต่างรู้อยู่เต็มอก นั่นก็คือเื่ที่ทังอวิ๋นฉีถูกผู้าุโเบื้องบนตบหน้านั่นเอง
ตอนนั้นคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างเห็นว่าพวงแก้มทังอวิ๋นฉีบวมเป่งทันใด ท่าทางตอนนั้นช่างน่าเกลียด คนที่สะใจคงมีไม่น้อย แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยต่อหน้านาง
เพราะก่อนหน้านี้มีศิษยน้องคนหนึ่งเผลอหลุดปากเื่นี้ ทังอวิ๋นฉีถึงขั้นเล่นงานจนเสียโฉม
เื่ราวไม่ได้ใหญ่โต เพราะศิษย์น้องคนนั้นกลัวว่าทังอวิ๋นฉีจะเอาคืนอีก ดังนั้นจึงไม่กล้าฟ้องอาจารย์ แต่คนที่รู้เื่นี้ก็ค่อนข้างเยอะ คนเ่าั้เริ่มเกรงกลัวนาง เพราะต่างรู้สึกว่าหลังจากเื่ราวครั้งนั้น ทังอวิ๋นฉีเปลี่ยนเป็คนโเี้อำมหิตมากขึ้น
……
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าดูแล้ว ศิษย์น้องเล็กของท่านท่าทีไม่ค่อยจะดีเลย”
นอกวงล้อมของผู้ชมมีชายหนุ่มหล่อเหลาองอาจพึ่งละสายตาจากกลุ่มทังอวิ๋นฉี จากนั้นหันกลับมามองชายหนุ่มหน้าตาดีที่มาด้วยกันแล้วเอ่ยเสียงเบา
“โจวเผิง เ้าไปหัดการวิจารณ์ั้แ่เมื่อไหร่กัน?” หลิงเซียวมองค้อนเขาทีหนึ่ง
ชายหนุ่มนั้นก็คือคนที่พึ่งออกจากการบำเพ็ญตนได้สองเดือนกว่า หลังกลับมา ท่าทีแข็งแกร่งกว่าเดิม ท่าทีฉายแววหลักแหลม โดยเฉพาะสายตาของเขา บางคราวถึงกับส่องแสงประกาย
เมื่อได้ยินที่หลิงเซียวพูด โจวเผิงส่ายหัว ใบหน้าเผยรอยยิ้มกว้างอย่างปิดไม่อยู่ หาได้มีความหลักแหลมหลงเหลืออยู่ “ศิษย์พี่ใหญ่ นี่ก็เพราะข้าเป็ห่วงศิษย์น้องเล็กนี่นา ข้าดูท่าทางศิษย์น้องทังแล้ว จากนิสัยนาง เหมือนว่าจะเล่นกลโกงอะไรอยู่”
“เล่นกลโกง? หึ!” หลิงเซียวขำอย่างเย็นะเื สายตาจดจ่อกับอยู่บนตัวโหยวเสี่ยวโม่ พลันเปลี่ยนเป็อ่อนโยนขึ้น “ข้าเชื่อมั่นฝีมือของศิษย์น้องเล็ก เขาไม่ทำให้ข้าผิดหวังหรอก”
ความเชื่อมั่นนี้ใช่ว่าจะไม่มีที่มา เขานั้นเห็นพัฒนาการของโหยวเสี่ยวโม่มาตลอด จากความสามารถเขาในตอนนี้ ยาเซียนตันขั้นสองไม่ยากเกินไปสำหรับเขา นอกเสียจากว่าทังอวิ๋นฉีจะปลอมยาเซียนตันขั้นสองเป็ขั้นสาม แต่พนันได้ว่านางไม่กล้าทำแบบนั้น เพราะถ้าถูกจับได้ คนที่ขายหน้าไม่ใช่เพียงแค่นาง แต่เป็ทัพ์และพ่อของนางด้วย
โจวเผิงอยากบอกว่า ‘ท่านก็เชื่อมั่นเขาเกินไป’ แต่พอเห็นท่าทีมั่นอกมั่นใจของศิษย์พี่ใหญ่ จึงอั้นไว้ไม่ได้พูดออกมา
โหยวเสี่ยวโม่ขณะนี้ กำลังรับมือกับงานยากอยู่
เหตุผลคือขณะที่เขาหลอมยาได้ครึ่งทางนั้น จู่ๆ ก็พบว่าเตาหลอมนั้นมีรอยร้าวอยู่
รอยร้าวไม่ใหญ่นัก แต่ถ้าวัดจากพลังปราณที่ส่งเข้าไป รอยร้าวจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตรงก้นเตาหลอมนั้นเริ่มมีรอยแยกออก เขาเองก็พึ่งสังเกตเห็นตอนก่อนที่จะนวดผสมยา เหตุการณ์เช่นนี้เขาไม่ได้พึ่งพบเจอครั้งแรก แต่รอยร้าวนี้ใหญ่เกินไป หากเขาเผลอทำแรง เตาหลอมก็อาจะเิออกได้
โหยวเสี่ยวโม่ลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นตัดสินใจเอามือออกมา
การกระทำนี้ดึงดูดความสนใจของคนมากมายทันที
เดิมทีเห็นเขากำลังจะเริ่มนวดผสมยา ผู้คนต่างเอะใจ เพราะเขาทำได้รวดเร็ว ในขณะที่คนอื่นกำลังหลอมร้อนอยู่ แต่เขากำลังจะนวดเม็ดยาเข้าด้วยกันแล้ว ทีนี้กลับวางมือ คนที่เอะใจบ้างก็รู้สึกว่ามันปกติ ทุกคนต่างนึกว่าเขารีบร้อนเกินไปจึงล้มเหลว
โหยวเสี่ยวโม่ยกมือขึ้นหันไปทางผู้เฒ่า “ท่านผู้เฒ่า เตาหลอมของข้าพังขอรับ”
