ตอนที่ 3
ั้แ่กลับมาอยู่ที่ประเทศไทยก็มีหลายอย่างที่อาไฉนึกอยากจะทำ ระหว่างนั่งเครื่องบินข้ามฟ้ามาถึงที่นี่เขานั่งคิดนั่งจินตนาการมาตลอดทาง เห็นภาพตัวเองใส่ชุดคลุมอาบน้ำนั่งจิบไวน์อยู่ริมหน้าต่างพลางทอดมองทิวทัศน์สวย ๆ สักแห่งในประเทศไทย ทว่าในความเป็จริงแล้วอาจจะมีอะไรบางอย่างผิดพลาดไปสักหน่อย
“อ๊ะ ไม่อยู่ในห้องกับเพื่อนเหรอ ชิงช้าข้าง ๆ เรายังว่างอยู่นะ มานั่งสิ”
“...”
เด็กนักเรียนชั้นอนุบาลเงยหน้าขึ้นมองเ้าของร่างเล็กที่เอาแต่ชวนให้มานั่งด้วยกันอย่างไม่ไว้ใจ เมื่อถูกคะยั้นคะยอหนักเข้าก็วิ่งน้ำตาคลอกลับไปหาผู้ปกครองตัวจริงของตนที่อีกฟากหนึ่งของสนามเด็กเล่น ทำเอาคนที่เพิ่งจะทำเด็กร้องไห้ไปได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับตัวเอง
“เราหน้าตาดีขนาดนี้ เด็ก ๆ กลัวได้ยังไง” ไหวไหล่พูดอย่างไม่ใส่ใจแล้วไกวชิงช้าไปมาด้วยดวงตาเหม่อลอย
หลังจากถูกคุณเขมแก้เผ็ดกันด้วยการจูบสะโพก ตัวเขาที่หมายมั่นมายั่วยวนกันในคราวแรกก็เริ่มทำตัวไม่ถูก สุดท้ายจึงตัดสินใจหนีออกมาจากอู่เพื่อมาตั้งหลักกับตัวเอง แต่ต่อให้ผ่านไปกี่วันก็ลืมัันั้นไม่ได้เสียทีจนต้องออกมาขับรถเล่นให้หายฟุ้งซ่าน...โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาจบด้วยการมานั่งอยู่ในสนามเด็กเล่นโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ได้อย่างไร
“หรือว่ามีใครมาแอบอยู่ด้านหลังเราแล้วคอยทำให้เด็ก ๆ กลัว...”
หรี่ตาลงแล้วพึมพำกับตัวเองเสียงเบา เมื่อเกิดการตั้งขอสันนิษฐานดังกล่าวขึ้น ตัวเขาหน้าตาดีถึงขนาดนี้จะทำให้เด็กกลัวได้อย่างไร หนักสุดก็แค่ไล่เด็กที่นั่งชิงช้าอยู่ให้วิ่งออกไปเพื่อให้เขาได้แย่งนั่งชิงช้าตัวนี้เล่นสมใจ ซึ่งก็ไม่เห็นจะเป็การกระทำที่ดูใจั์ใจมารเลยสักนิด
“ใครแอบอยู่ข้างหลังเรา ออกมานะ!!!”
คิดได้ดังนั้นก็หันขวับกลับไปมองด้านหลังของตนด้วยใบหน้าถมึงทึง ทว่านอกจากพุ่มไม้ขนาดใหญ่แล้วก็ไม่พบอะไรอีก บรรดาผู้ปกครองที่มารับลูกหลานของตัวเองกลับบ้านได้แต่มองมาทางนี่อย่างฉงน นึกในใจว่าเด็กคนนี้ก็แปลกเกินคน แต่งตัวแปลก ๆ สีจัดจ้านในเขตโรงเรียนแบบนี้ เด็กไม่เคยเห็นก็ต้องรู้สึกไม่คุ้นชินจนไม่กล้าเข้าใกล้เป็ธรรมดา
อาไฉละความสนใจไปมองอีกทางซึ่งเป็ตึกเรียนของเหล่าเด็ก ๆ เห็นเด็กนักเรียนชั้นอนุบาลถักเปียสองข้างชะโงกหน้าจากหน้าต่างมาแอบดูเขาอยู่นาน เห็นดังนั้นก็โบกมือยิ้มทักทายอย่างเป็มิตร เขามีนิสัยรักเด็ก เห็นเด็กตัวเล็ก ๆ ก็อยากจะทักทายเสมอ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจเสียทีว่าทำไมเด็ก ๆ ถึงได้ไม่ถูกกับเขานัก
“...”
ทว่าเด็กคนดังกล่าวกลับไม่กล้าพูดกับเขาเสียอย่างนั้น ซ้ำยังแอบมุดหน้าลงแอบกับขอบหน้าต่างไปครึ่งหน้า อาไฉได้แต่ยกมือขึ้นกาหัวแกรก ๆ ก่อนจะเริ่มคิดพิเรนทร์ เปลี่ยนเป็ทำหน้าบูดแล้วแยกเขี้ยวใส่ ทั้งที่ไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด ทว่าผลที่ได้รับกลับเป็ไปในทิศทางตรงกันข้าม เมื่อเด็กคนดังกล่าวชะงักไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเริ่มเบะปากน้อย ๆ ทำท่าคล้ายอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“หงึ...”
“มะ ไม่ได้ตั้งใจ---”
“แงงงง!!!!”
เสียงร้องไห้ดังจ้าละหวั่นทันทีหลังจากนั้น กระทั่งครู่พี่เลี้ยงที่อยู่บริเวณนั้นต้องรีบวิ่งเข้ามาโอ๋กันยกใหญ่ สถานการณ์ในห้องเรียนขนาดเล็กเริ่มวุ่นวาย ในขณะที่อาไฉได้แต่ยืนหันซ้ายหันขวาอย่างทำตัวไม่ถูก ตีดสินใจก้าวเท้าถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อแผ่นหลังชนเข้ากับแผงอกของใครบางคน
“อ๊ะ! คะ คุณเขม…”
“มาทำอะไรที่นี่?”
ไม่ใช่แค่อาไฉที่ใ ทว่าเขมนัษฐ์ก็ดูจะใอยู่ไม่น้อย ซ้ำยังถามคำถามเดียวกันที่อยู่ในใจของเขาออกมาอีก ร่างเล็กหันซ้ายหันขวาอย่างเงอะงะ เมื่อหาคำตอบให้ได้ก็ทำท่าจะถามกลับ ก่อนเสียงเรียกของเด็กที่ดังอยู่ไม่ไกลจะดึงความสนใจจากคนทั้งสองไปได้จนหมด
“คุงพ่อ! ฮือ คุงพ่อเขม!”
เป็เด็กคนเดียวกับที่เขาเพิ่งจะแกล้งจนร้องไห้ไปเมื่อครู่นี้ นอกจากจะร้องไห้เสียงดังเสียจนห้องเรียนแทบแตกแล้ว สิ่งที่น่าใยิ่งกว่านั้นคือการที่เ้าตัวทำท่าจะปีนหน้าต่างออกมาแล้วะโเรียกเขมนัษฐ์ว่าพ่อ คราวนี้อาไฉเบิกตากว้าง หันหน้ามาเลิกคิ้วมองสบกันคนอายุมากกว่าทันทีอย่างตั้งคำถาม
“คุงพ่อเขม ฮือ คุงพ่อจ๋า...”
ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อ เด็กอนุบาลคนดังกล่าวก็รีบสะพายกระเป๋าเป้สีชมพูลายเ้าหญิงวิ่งหน้าตั้งออกจากห้องมาหาผู้เป็พ่อของตนทันทีทั้งน้ำตาอาบท่วมใบหน้า คราวนี้อาไฉที่ไม่ทันอะไรอยู่ก่อนแล้วก็ยิ่ง งงเป็ไก่ตาแตกเมื่อเห็นคุณเขมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กคนดังกล่าวเข้ามาไว้ในอ้อมอก แล้วลูบหัวปลอบโยนเสียงเบา
“ชู่ว...คุณพ่ออยู่นี่นะ”
“ฮึก ฮือ...”
เ้าเด็กน้อยครั้นเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของผู้ปกครองแล้วก็ร้องไห้โฮไม่หยุด ซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง สะอื้นฮึกฮักจมูกแดงเสียจนน่าสงสาร อาไฉกลอกตาไปมาอย่างมีพิรุธ ก่อนจะชะงักไปทันทีเมื่อดวงตากลมโตคลอเอ่อด้วยหยาดน้ำตาช้อนขึ้นมองสบกัน
ครั้งหนึ่งระหว่างที่เรียนอยู่ที่อเมริกา อาไฉเคยพอได้ยินคำบอกเล่าจากเพื่อนที่ไทยคนหนึ่ง บอกว่าคุณเขมมีเหตุให้ต้องรับเด็กคนหนึ่งมาเป็ลูกบุญธรรม ทว่าตัวเขาในตอนนั้นกลับไม่เชื่อเลยสักนิด แค่คิดว่าคุณเขมเคยพูดมาตลอดว่าไม่อยากเป็พ่อคนเพราะยังไม่พร้อมดูแลใคร ก็ดูสวนทางกับข่าวลือที่ได้ฟังจนเขาคิดว่าต้องเป็เพียงเื่อำเล่นกันอย่างแน่นอน จึงไม่คิดสงสัยและไม่คิดที่จะถามเลยสักนิด
ทว่าสิ่งที่ได้รู้มาดันเป็เื่จริงเสียอย่างนั้น...และที่น่าตลกร้ายเข้าไปอีกก็ตรงที่เขาดันเป็ต้นเหตุทำให้เด็กคนนี้ร้องไห้ขี้มูกโป่งกอดพ่ออยู่นี่สิ
“ใครทำหมูนุ่มร้องไห้คะ บอกพ่อเร็ว”
“ฮึก ฮือ...”
พอได้ยินคำถามดังกล่าว คนตัวเล็กที่ดูมีพิรุธอยู่แล้วก็ยิ่งมีพิรุธเข้าไปอีก ดวงตาสบเข้ากับเด็กตัวน้อยที่ยังคงร้องไห้สะอื้นฮึกฮักกอดผู้เป็พ่อไว้แน่น พลันความรู้สึกเสียวสันหลังจนขนลุกชูชันั้แ่หัวจรดเท้าเกิดขึ้นทันที เมื่อมือน้อย ๆ ค่อย ๆ ยกขึ้นแล้วชี้มาทางเขา พร้อมกับประโยคที่ทำเอาอาไฉรีบชิงวิ่งสับเท้าหนีไป ก่อนที่คุณเขมจะหันมาสอบสวนกันได้ทัน
“คนนี้...ฮึก พิคนนี้ทำหน้าน่าจัวใส่หมูนุ่ม ฮืออ!!”
...
คิงบาร์
“น้ำผลไม้”
กล่องน้ำผลไม้รวมถูกนำมาวางไว้ให้ตรงหน้า พร้อมกับร่างสูงของชาวิน ซึ่งเป็รุ่นน้องคนสนิทของคุณเขมที่ตัวเขาพลอยรู้จักไปด้วย และสนิทสนมกันพอสมควร อาไฉเบ้ปากเล็กน้อย ทอดมองกล่องน้ำผลไม้รวมครู่หนึ่งก่อนจะตวัดสายตาช้อนขึ้นมองอีกฝ่ายที่หย่อยกายลงนั่งตรงข้ามกัน
“เราจะดื่มเบียร์”
คราวนี้ชายหนุ่มโคลงศีรษะเล็กน้อย ยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบอีกหนึ่งครั้งให้พอชื่นใจ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ
“เป็เด็กก็ดื่มน้ำผลไม้ไปก่อน”
คราวนี้อาไฉขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้นกว่าเก่า มองกล่องน้ำผลไม้รวมที่ถูกวางไว้ตรงหน้าอย่างไม่ชอบใจพลางนึกสงสัยกับตัวเอง ว่าเพราะเหตุใดคนถึงได้ชอบมองว่าเขาเป็เด็กนัก ทั้ง ๆ ที่เขาอายุยี่สิบสามปีเข้าไปแล้วด้วยซ้ำ กระนั้นก็ยังไม่วายหยิบกล่องน้ำผลไม้รวมมาดูดหลายอึกใหญ่ทั้งใบหน้าเคร่งเครียด
“เสียใจถึงขนาดนั้นเลยหรือไง”
ชายหนุ่มลูกครึ่งอดจะถามออกมาไม่ได้อย่างนึกสงสัย ในขณะที่อาไฉดูดน้ำผลไม้จากกล่องไปอีกหลายอึกใหญ่จนเหลืออยู่เพียงไม่กี่หยดที่ก้นกล่อง ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปในทันที
“เป็ใครก็ต้องเสียใจ”
“ก็บอกแล้วว่าลูกบุญธรรม”
เอ่ยพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ พลางเว้น่ไปสักระยะหนึ่งเพื่อรินเบียร์ใส่แก้วให้เต็มอีกครั้ง พลางเอ่ยพูดต่อ
“ส่วนที่มาที่ไป ไปถามเ้าตัวเอาเอง”
“บอกเขาไปตรง ๆ สิว่ามึงอยากเป็หม่าม้าเด็ก”
คราวนี้เป็เสียงของผู้มาใหม่ที่เพิ่งจะเปิดประตูเข้ามา เป็าา เ้าของผับบาร์แห่งนี้ เพราะอาไฉเป็คู่หมั้นของเขมนัษฐ์ ทั้งยังตามเทียวไล้เทียวขื่อเ้าตัวมาตลอดจึงพลอยรู้จักกับกลุ่มเพื่อนของคุณเขมอยู่บ้าง จนมีความสนิทสนมมากพอสมควร เพิ่งจะห่างกันไปก็ตอนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ
ถึงอย่างไร ทั้งาาและอาไฉก็ถูกใครหลาย ๆ คนลงความเห็นว่าไม่ควรพบเจอกันมากที่สุด เนื่องจากจะพากันมีความคิดและนิสัยแปลกประหลาดเกินกว่าที่คนอื่นจะเข้าใจ
“น้องมันไม่ได้เสียใจเื่นั้น---”
“ใช่!!!”
ชาวินขมวดคิ้วพูดยังไม่ทันจบประโยค จู่ ๆ คนที่นั่งตัวเหลวจนแทบจะจมไปกับโซฟาตัวใหญ่ก็กระเด้งตัวขึ้นมาตะเบ็งเสียงดังอย่างกะทันหัน อาไฉอ้าปากดูดน้ำผลไม้อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับดูดขึ้นมาได้แต่ลมเนื่องจากหมดไปแล้ว วางกระแทกกล่องน้ำผลไม้ลงกับโต๊ะกระจกแล้วเอ่ยพูด
“เด็กที่เราไปทำเขาร้องไห้ดันเป็ลูกคุณเขม ในสายตาเด็กคนนั้น คะแนนเราต้องติดลบร้อยล้านคะแนนแล้วแน่ ๆ เลย”
ว่าจบก็ล้มตึงลงไปนอนแผ่กับโซฟาอีกครั้ง ทั้งเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหากันแน่นอย่างงุ่นง่านใจ
“แล้วอย่างนี้จะเป็หม่าม้าได้ยังไง!!!”
สิ้นคำพูดดังกล่าว พลันภายในห้องวีไอพีทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบทันที มีเพียงเสียงเพลงจากภายนอกที่ดังเข้ามาพอให้ได้ยิน ชายหนุ่มลูกครึ่งได้แต่ทอดสายตามองคนตัวเล็กที่นอนแผ่อยู่บนโซฟาอย่างงุนงง ไม่ได้เสียใจที่รู้ว่าคู่หมั้นของตนมีลูก ทว่าเสียใจที่ตนน่าจะคะแนนคิดลบในสายตาของเด็กอายุสามขวบ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
อย่างว่า...อะไรก็เป็ไปได้ทั้งนั้น ดูอย่างไอ้สองคนตรงหน้าตอนนี้ก็ได้
‘อาไฉอยู่คิงบาร์กับพวกผม เผื่อพี่อยากจะมารับน้องมันกลับ’
คิดได้ดังนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดข้อความพิมพ์ส่งไปหาเขมนัษฐ์ซึ่งน่าจะมาแบกร่างเด็กจอมป่วนอย่างอาไฉกลับไปในคืนนี้ ทันทีที่ข้อความถูกส่งไปก็ถูกเปิดอ่านในทันที ยังไม่วายได้ยินเสียงบทสนทนาระหว่างาาและคนอายุน้อยกว่าที่มีความคิดความอ่านยากจะเข้าใจพอกันดังมาให้ได้ยินอยู่เป็ระยะ
“กูแนะนำวิธีให้เอาปะ มึงบอกเฮียเขมไปเลยว่ามึงี้เีจีบแล้ว ไหน ๆ ก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว ยอมให้มึงรวบหัวรวบหางซะก็สิ้นเื่...แต่ขออนุญาตก่อนด้วยนะ”
“บอกคุณเขมว่าขออนุญาตรวบหัวรวบหางเหรอ...ทำไมอะ?”
“มารยาทไง มึงเป็คนไม่มีมารยาทเหรอ”
ได้ยินดังนั้นจากที่จะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าก็เป็อันต้องหยิงมันออกมาอีกครั้ง เพื่อพิมพ์ข้อความเพิ่มเติมไปให้
‘ถ้าจะมา เร็วหน่อยก็ดี...สองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วความคิดประหลาด’
“แต่เราก็แอบน้อยใจคุณเขมนิด ๆ”
อาไฉที่เหนื่อยจะต่อความยาวสาวความยืดกับรุ่นพี่อย่างาาแล้วล้มตัวลงนอนตะแคงกับโซฟาอีกครั้ง ยิ่งได้รู้ว่าเ้าตัวกำลังจะไปรับคนรักของตัวเองซึ่งเป็ดาราดังที่กองถ่ายก็นึกอิจฉาในความรักที่สมหวัง จนต้องพลิกตัวนอนคว่ำซบหน้าลงกับแขนทั้งดวงตาสีสวยที่ทอแสงอ่อนลง เอ่ยพูดเสียงอู้อี้
“แต่เขาคงไม่มาสนใจเราหรอก”
บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้นเมื่อไม่มีใครคิดจะพูดอะไรต่อ กระทั่งเวลาผ่านไปนานเกือบครบชั่วโมง เหลือเพียงชาวินที่ยังคงนั่งไขว่ห้างมองออกไปนอกกระจกห้องวีไอพีเพื่อดูทิวทัศน์รอบ ๆ ภายในคิงบาร์ ในขณะที่อาไฉนอนคว่ำหลับปุ๋ยคาโซฟาไปเสียแล้ว
“ไฉ มีคนมารับแล้ว---”
น้ำเสียงถูกกลืนหายไป เมื่อเขมนัษฐ์ที่เพิ่งจะเข้ามาภายในห้องยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปาก เป็เชิงบอกไม่ให้ส่งเสียงพูดอะไรให้คนที่นอนหลับอยู่ตื่นขึ้นมา ร่างสูงหลุบสายตาลงมองคู่หมั้นของตนที่ยังคงนอนหลับสบาย ก่อนจะใช้ผ้าห่มผืนเล็กที่ถือติดมือมาด้วยคลุมร่างน้อย ๆ แล้วค่อย ๆ ช้อนประคองอุ้มขึ้นมาในท่าเ้าสาว ฝ่ายอาไฉที่กำลังเพลิดเพลินอยู่ในห้วงนิทราซุกหน้าเข้าหาแผงอกกว้างทันทีอย่างเคยชิน
“เดี๋ยวพาเขากลับบ้านเอง”
เอ่ยพูดเพียงเท่านั้นพลางอุ้มประคอมคนที่อยู่ในอ้อมแขนจะพาเดินออกไป เหลือเพียงชาวินที่ยังคงนั่งแกว่งแก้วไปมาให้น้ำแข็งที่ก้นแก้วกระทบกัน เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ รีบชะโงกหน้าไปเอ่ยคำพูดทิ้งท้ายทันทีก่อนจะไม่ทัน
“ระวังตัวเองให้ดีด้วยนะเฮีย าามันเพิ่งยัดความคิดแปลก ๆ ใส่หัวคู่หมั้นเฮียไป”
…
00.30 น.
อาไฉนอนหลับตาพริ้มพลางซุกใบหน้าเข้าหาความอบอุ่นอย่างเคยชิน ริมฝีปากยกขึ้นน้อย ๆ เมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยซึ่งจำได้ดีว่าเป็กลิ่นน้ำหอมของคุณเขม ทำท่าจะดึงตัวเองกลับลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ก่อนจะต้องชะงักในทันใดเมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่ได้นอนอยู่บนเตียง ทั้งยังได้ยินน้ำเสียงทุ้มนุ่มของใครดังอยู่ในระยะใกล้
“ถ้าตื่นแล้วก็ลืมตาขึ้นมา พี่จะได้ปล่อยให้เธอเดินเอง”
ดวงตาสีสวยค่อย ๆ ลืมขึ้นข้างหนึ่งเพียงเล็กน้อย ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าหล่อเหลาของคุณเขมที่ก้มลงมามองกันอยู่ก่อนแล้ว ครั้นเมื่อหันมองไปรอบ ๆ จึงเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังอุ้มตนเข้ามาภายในบ้านหลังใหญ่ของตัวเอง บ้านหลังนี้แม้จะมีพื้นที่กว้างขวาง แต่ก็มีคนอยู่เพียงแค่อาไฉและเหล่าแม่บ้านเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
คนอายุน้อยกว่าหันหน้ากวาดสายตามองไปรอบตัวอย่างสำรวจและตั้งสติ เนื่องจากเพิ่งจะตื่นขึ้นมา ทว่าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินมาถึงบริเวณโซฟากลางห้องโถงใหญ่แล้วทำท่าจะปล่อยกันลง อาไฉที่เพิ่งจะถูกอุ้มในท่าเ้าสาวอย่างที่ใฝ่ฝันเพียงไม่นานก็รีบโผล่มือออกจากผ้าห่มที่พันตัวเองอยู่ แล้วโอบวงแขนคล้องรอบลำคอของผู้เป็คู่หมั้นทันที พลางส่ายหน้าพรืด
“ไม่เอาเราไม่ลง”
“อาไฉ”
“ระ เราหลับอยู่ต่างหาก---อ๊ะ!!”
ถึงจะรีบหลับตาลง แอบซบหน้าลงกับแผงอกกว้างแข็งแรงทำท่าคล้ายจะหลับไปจริง ๆ แต่ก็คงจะช้าไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเขมนัษฐ์ที่รู้ทันกันได้หมดแล้วตัดสินใจวางร่างเล็กให้นอนกลิ้งอยู่บนโซฟาทันทีทั้งที่มีผ้าห่มพันรอบตัวอยู่อย่างนั้น ฝั่งอาไฉที่ถูกทุกคนตามใจจนเคยตัว เมื่อเริ่มขัดใจก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น พยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล
“นั่งลงก่อน”
ฝ่ายคนอายุมากกว่าเอ่ยบอกกันอย่างใจเย็น ทว่ากลับยิ่งทำให้ผู้ฟังเริ่มแอบรู้สึกไม่พอใจเข้าไปใหญ่ คุณเขมไม่เคยตามใจเขาสักอย่าง และนั่นเป็เหตุผลหลักที่ทำให้คนตัวเล็กเริ่มแอบน้อยใจและหงุดหงิดใจ สะบัดผ้าห่มที่พันตัวเองออกไปอย่างนึกรำคาญและลุกขึ้นยืนต่อหน้าโดยไม่เชื่อฟัง กระทั่งเขมนัษฐ์เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ
“นั่งลงเป็ไหมไฉ”
“...ไม่เห็นต้องดุกันเลยนี่...”
เพียงเท่านั้นคู่หมั้นตัวแสบที่เตรียมตัวจะแผลงฤทธิ์หู่ลู่หางตกทันที เอ่ยพึมพำเสียงอู้อี้ทั้งใบหน้าที่ดูหงอยลงเสียจนน่าสงสาร ก่อนจะยอมนั่งลงอีกครั้งแต่โดยดี เป็จังหวะเดียวกันที่เขมนัษฐ์นั่งขัดสมาธิลงบนพื้น จับเรียวขาของคนที่นั่งอยู่ในระดับสูงกว่ามาวางบนหน้าตักของตัวเอง คราวนี้อาไฉสะดุ้งสุดตัวทันที
“ไปโดนอะไรมา”
คำถามดังกล่าวส่งผลให้ผู้ฟังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างนึกสงสัย เมื่อถูกคุณเขมเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือที่ข้างหัวเข่าเบา ๆ จึงชะโงกหน้าลงไปมอง เพื่อพบว่าตนมีแผลถลอกอยู่ที่บริเวณหัวเข่า นึกสงสัยกับตัวเองว่าคุณเขมเห็นแผลก่อนตัวเขาที่เป็คนเจ็บเองเสียอีกได้อย่างไร นึกย้อนหาสาเหตุของรอยแผลดังกล่าวครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงอุบอิบ
“สะดุดบันไดที่คิงบาร์แล้วล้ม”
เขมนัษฐ์เพียงพยักหน้ารับอย่างรับรู้ กระนั้นก็ไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใดอีก เพียงหันไปเอ่ยขอให้แม่บ้านนำกล่องปฐมพยาบาลมาให้ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำแผลให้เงียบ ๆ เท่านั้น ในขณะที่อาไฉก็ยังเอาแต่ทอดมองเสี้ยวใบหน้าคู่หมั้นของตนอยู่อย่างนั้น
“คุณเขมจะไม่เป่าแผลให้เราหน่อยเหรอ”
“เธอซุ่มซ่ามไม่ระวังเอง”
ชายหนุ่มเอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางทำแผลต่อให้อย่างเบามือ คราวนี้ร่างขาวเริ่มใบหน้างอง้ำ ไม่อยากจะนับเลยด้วยซ้ำว่าั้แ่กลับไทยมาถูกคุณเขมดุไปแล้วกี่รอบ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ เอ่ยโพล่งออกไปทันทีตามใจคิด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เรียกคำพูดชวนทะเลาะคืนกลับมาไม่ได้เสียแล้ว
“คุณเขมชอบดุเราตลอดเลย ไม่เห็นใจดีเหมือนที่ใจดีกับคนอื่นเลยสักนิด”
คราวนี้มือที่กำลังใส่สำลีเช็ดไปรอบ ๆ แผลหยุดชะงักไปทันทีครู่หนึ่ง คนที่เอาแต่ก้มหน้าสนใจแต่แผลในคราวแรก เงยหน้าขึ้นมองสบกัน ภายในดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นเรียบเฉย ไม่สามารถคาดเดาได้เลยสักนิดว่าเขมนัษฐ์กำลังมีความรู้สึกเป็อย่างไร ยามที่เอ่ยพูดประโยคต่อมา
“เคยเห็นพี่ปฏิบัติกับคนอื่นแล้วจริง ๆ เหรอ ทำไมถึงได้กล้าพูดว่าพี่เอาแต่ใจร้ายใส่เธอ?”
อาไฉพอได้ฟังก็ยิ่งหงอยลง ก็เพราะว่าเอาแต่เข้มงวดใส่กัน ซ้ำยังไม่ยอมรับรักเสียที ทั้ง ๆ ที่เขาอุตส่าห์วิ่งตามจีบมาครึ่งชีวิตนี่ไงถึงได้บอกว่าใจร้าย...กระนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ เอ่ยพูดต่อไปอีก
“โอ๋เราบ้างไม่ได้เลยเหรอ...เราก็แค่อยากให้คุณเขมโอ๋บ้าง”
“พี่ไม่ชอบโอ๋เด็กดื้อ”
บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น ห้องทั้งห้องกลับมาตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เขมนัษฐ์ยังคงค่อย ๆ ทำแผลให้อย่างถนอมพลางกวาดสายตาสำรวจร่างกายของคนอายุน้อยกว่าว่าไปได้แผลที่จุดอื่นมาอีกหรือไม่ ในขณะที่อาไฉนั่งกอดหมอนอิงทั้งใบหน้างอง้ำ ไม่ยอมหันไปมองกันหรือต่อบทสนทนาด้วยอีกแล้ว
กระทั่งเวลาผ่านไปอีกไม่นาน การจับคู่หมั้นตัวแสบมาทำแผลให้ก็เสร็จสิ้นลงเสียที อาไฉดวงตาปรือปรอยแทบจะเอาหน้าจุ่มหมอนอิงหลับไปเสียเดี๋ยวนั้น ทว่าเมื่อจะดึงเท้าออกกลับต้องชะงักไปเล็กน้อย เมื่อยังถูกคนอายุมากกว่าจับข้อเท้าเอาไว้แบบนั้น เป็การบ่งบอกว่ายังไม่อนุญาตให้ลุกไป
“คุณเขมปล่อยเราสิ เราจะได้ไปนอน...”
เอ่ยพูดยานคางด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ก่อนน้ำเสียงในท้ายประโยคจะค่อย ๆ แ่เบาลงแล้วถูกกลืนหายไป เมื่อเ้าของใบหน้าหล่อเหลาโน้มใบหน้าลงเล็กน้อย ค่อย ๆ เป่าลมใส่ผิวเนื้อที่ข้างรอยแผลแ่เบา พอให้รับรู้ได้ถึงััอุ่นของการเป่าเบา ๆ ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยลูบผิวเนื้อบริเวณนั้นไปมา ทั้งน้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกระซิบพูดเบาบางมากเสียจนแทบไม่ได้ยิน
“โอ๋...”
“...”
“หายไว ๆ นะตัวน้อย”
อาไฉยังคงนิ่งอึ้งกับสิ่งที่ตนได้ยินอยู่นานทั้งเสียงหัวใจที่เต้นดังกระหน่ำอยู่ในอก ได้แต่นั่งอยู่อย่างนั้น ทอดสายตามองคุณเขมซึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมองสบสายตากับตนอยู่เช่นกัน วินาทีนั้นตัวเขาคิดว่าสติของตนหลุดออกจากร่างลอยเคว้งออกไปไกล กว่าจะได้สติกลับคืนมา ร่างสูงก็ลุกขึ้นเต็มความสูง หันหลังเตรียมจะกลับบ้านของตนบ้างเสียแล้ว เพียงเท่านั้นสมองก็สั่งการให้ต้องพาร่างน้อย ๆ วิ่งตามเป้าหมายไปในทันที
“คุณเขม!! แฮ่ก...”
“...”
เสียงเรียกจากทางด้านหลังดึงความสนใจจากคนที่กำลังเดินออกไปให้หยุดชะงักไปก่อน เมื่อคนอายุมากกว่าหันหลังกลับมา อาไฉที่ยืนหอบหายใจอยู่ก็เอ่ยโพล่งออกไปทันทีเสียงดังฟังชัด กระทั่งเหล่าแม่บ้านที่แอบดูสถานการณ์อยู่ไม่ไกลต้องรีบเอามือทาบอก แทบจะเป็ลมล้มพับไปตรงนั้น
“เรา...เราขออนุญาตรวบหัวรวบหางคุณเขมได้ไหม!”
สิ้นประโยคดังกล่าว พลันบรรยากาศระหว่างกันตกอยู่ในความเงียบทันที เขมนัษฐ์ชักจะเริ่มเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ให้ระวังตัว’ ตามที่ชาวินเอ่ยเตือนกันมาบ้างแล้ว ร่างสูงกระตุกแย้มรอยยิ้มร้ายเ้าเล่ห์ สายตาคมกริบทอดมองใบหน้าคู่หมั้นตัวน้อยที่ตอนนี้ทั้งข้างแก้มและใบหูแดงปลั่งไปหมด น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามกลับไปบ้าง
“สมมติว่าเธอเอาแต่ยั่วจนวันหนึ่งพี่รู้สึกเหนื่อยจะทน จับเธอทำเมียขึ้นมา”
“...”
“ถึงเวลานั้นพี่ต้องขออนุญาตให้พอเป็พิธี เหมือนที่เธอทำบ้างไหม?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้