จู่ๆ ชิงอีที่นอนอยู่บนพื้นก็ลืมตาขึ้นในทันที
ทุกคนรอบๆ ต่างใจนกรีดร้องออกมา
“กรี๊ด พระศพกระตุก!”
“พระศพองค์หญิงกระตุก!!!”
ั์ตาคู่สวยมีความเ็าพาดผ่านมา ชิงอีจ้องไปยังใบหน้าที่หล่อเหลาที่อยู่ใกล้ๆ “ท่าน้าฝังใคร”
ในดวงตาของเซียวเจวี๋ยก็มีความเยาะเย้ยพาดผ่านเช่นกัน ทั้งยังแสร้งทำเป็ประหลาดใจ “เหตุใดองค์หญิงถึงมีชีวิตอีกครั้งล่ะ?”
“ท่านนั่นแหละที่ตาย” ชิงอีผลักเขาออกไป และะโใส่ฝูงชนที่หวาดกลัวว่า “ข้าแค่งีบหลับไปเท่านั้น ไยถึงมีข่าวลือว่าข้าตายแล้ว มีเจตนาอันใดกัน?!”
ความเย่อหยิ่งและก้าวร้าวเช่นนี้ ทรงเป็องค์หญิงคนเดิมไม่มีผิด!
เมื่อเห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่ นางกำนัลทั้งสองก็วิ่งเข้ามากอดขาของนางพร้อมกับร้องไห้ ชิงอีกระตุกมุมปาก อยากจะเตะคนจริงๆ จะเป็เช่นไร หากข้าผู้นี้ที่สง่างามดั่งดอกไม้เตะออกไป?
สองสาวน้อยเองก็รู้ว่าตนเองกำลังจะหาเื่ใส่ตัว จึงรีบคุกเข่าลงข้างๆ ทว่า ก็อดไม่ได้ที่จะตั้งสงสัยกับตัวเอง
เมื่อครู่องค์หญิงทรงพระวรกายเย็นไปทั้งร่าง ไม่มีแม้แต่ลมหายใจ นางเหมือนกับคนตายจริงๆ หรือว่าพวกนางแค่คิดกันไปเองงั้นหรือ?
ชิงอีส่งเสียงฮึออกมา ถูกสายตาของฝูงชนจ้องมองมาด้วยความสงสัย ทว่า นางก็ไม่ได้ตื่นตระหนกใดๆ เลย “ข้าแค่เพียงฝึกปราณ พวกเ้ามันโง่เง่า!”
เหล่าคนที่ถูกองค์หญิงตำหนิก็ก้มหน้าลง สืบเนื่องมาจากความไม่ปกติของการแสดงออกขององค์หญิงเมื่อครู่ ต่อให้บอกว่านางไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา เกรงว่าก็คงจะไม่มีใครเชื่อ
ฝึกลมปราณงั้นหรือ ก็ดูมีเหตุผลอยู่
มีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่แอบกระตุกมุมปาก
หากการปฏิบัติธรรมของท่านคือฝึกลมปราณ เ้าแมวอ้วนตัวก็ตามท่านไปฝึกด้วยสินะ?
เมื่อนางลุกขึ้นจากพื้น เถาเซียงและต้านเสวี่ยก็ช่วยนางปัดฝุ่นบนร่างกาย ดวงตาที่สวยงามของชิงอีจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้าม
“ช่างเป็โชคร้ายของเซ่อเจิ้งอ๋องเลยล่ะสิที่ข้าไม่ตาย ท่านผิดหวังหรือไม่?”
เซียวเจวี๋ยมองนางด้วยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม “องค์หญิงเองก็ชอบที่จะถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว”
ประโยคนี้ช่างแทงใจดำเสียจริง
ทุกคนต่างก้มหน้าลงเงียบๆ แล้วถอยออกมา กังวลว่าตนเองจะโดนลูกหลง
ชิงอียิ้มอย่างไม่โกรธเคือง จับมือทั้งสองของเขา เสียใจจริงๆ ที่เมื่อวานไม่ได้กลืนพลังกลับมาจนให้หมด
ไม่รอให้นางได้จู่โจม ดวงตาของเซ่อเจิ้งอ๋องก็มองลงมาบนมือของนาง
“แหวนบนนิ้วองค์หญิง ช่างดูคุ้นตานัก”
ชิงอีเลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็ขโมยเลยแม้แต่น้อย กลับกันยังถอดแหวนจื่อจินออกมา และชูขึ้นสูงอย่างเย่อหยิ่งด้วยมือขาวของนาง “งั้นหรือ? ข้าว่ามันก็งั้นๆ แหละ”
“ข้าทำของบางสิ่งหายไปเมื่อสองสามวันก่อน และมันก็ดูคล้ายกับสิ่งที่อยู่บนมือองค์หญิง”
“เซ่อเจิ้งอ๋องจะบอกว่านี่คือนิ้วที่หายไปของท่านหรือ?” ชิงอีหลุดขำออกมา และเริ่มกล่าวหาให้เขาเป็คนชั่ว “จวนเซ่อเจิ้งอ๋องยากจนมากขนาดนั้นเลยหรือไร? ท่านอ๋องถึงต้องมาขูดรีดเงินจากผู้อื่นเช่นนี้?”
“องค์หญิง!” ฉู่สือที่ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เฮอะ นางมารร้ายหน้าไม่อายผู้นี้ ช่างมีความสามารถล้นเหลือจริงๆ!
“หุบปาก! เ้าเป็ใคร ถึงได้มาขัดเวลาที่ข้าพูด?” ชิงอีตะคอกออกมา ฉู่สือผู้นี้ที่จ้องเขม็งนางอยู่ตลอดทั้งวัน จึงทำให้นางรู้สึกไม่พอใจอยู่นานแล้ว
ฉู่สือรู้สึกเกลียดชังจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
บรรยากาศในตอนนี้ตึงเครียดเป็อย่างมาก ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงที่เสแสร้งมากกว่าเสียงของชิงอีก็ดังขึ้นมา
“พี่เซียวล่ะ?”
“พี่เซียวอยู่ที่ไหน? ข้า้าพบเขา”
ร่างที่งดงามสะพรั่งราวกับดอกไม้วิ่งเข้ามาจากด้านนอกลานบ้าน ก้าวเล็กๆ ที่เขินอายวิ่งมา พร้อมกับเสียงกระดิ่งที่ดังอย่างไม่หยุดหย่อน
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง และรู้สึกว่าเหมือนเห็นบ้านสมบัติมนุษย์เคลื่อนที่ได้ บนตัวนางเต็มไปด้วยกิ๊บติดผมสีทอง อัญมณีและแหวนเพชรพลอย หากถอดชุดนั้นออก เดาว่ามันคงสามารถสร้างบ้านได้หลายหลังให้ผู้คนกำบังความหนาวเย็นได้!
นางมาที่นี่ได้อย่างไรกัน?
คนของเซียวเจวี๋ยที่อยู่ข้างๆ ต่างรับรู้ได้ถึงความปวดหัว ทว่า ในทางกลับกัน ท่านอ๋องของพวกเขายังคงสงบอยู่
พี่สาวโง่เง่านี่เป็ใครกัน?
เมื่อชิงอีนึกไปนึกมา ก็คิดถึงขึ้นมาหนึ่งคน
องค์หญิงใหญ่จุนหนิง บุตรสาวของไท่เฮา
หากนับอายุแล้ว องค์หญิงใหญ่ท่านนี้ดูแก่กว่าเซียวเจวี๋ยอยู่มากเลยใช่หรือไม่?
“พี่ชายเซียว ข้าว่าแล้วว่าต้องพบท่าน ลูกน้องของท่านกลุ่มนี้ช่างน่ารำคาญเสียจริง พวกเขากล้าที่จะมาขัดขวางข้าไม่ให้พบท่าน” จุนหนิงที่เดินฝ่าฝูงชนไปหาเซียวเจวี๋ย และไม่ลืมที่จะผลักชิงอีกออกไป ด้วยร่างกายที่แข็งแรงของนางเปรียบได้กับชายหนุ่ม นางจึงประสบความสำเร็จในการสายตาของเซ่อเจิ้งอ๋อง
ชิงอีที่ถูกผลักไปด้านข้าง แทนที่นางจะรู้สึกไม่พอใจ นางกลับรู้สึกตื่นเต้นที่ยากจะพูดออกมา
อุ๊ย นี่คือแฟนคลับสาวอันดับหนึ่งของหนุ่มน้อยผู้นี้หรือ?
กิริยาแปลกประหลาด และร่างกายที่แข็งแรงเช่นนี้ ช่างเข้ากับเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
เซียวเจวี๋ยเองก็รู้สึกแอบปวดหัวเช่นกัน หญิงสาวคนนี้มาที่นี่ได้อย่างไรกัน?
“ถวายบังคมองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
“โอ๊ย พี่เซียวท่านทำอะไรกัน ท่านกับข้าไม่จำเป็ต้องมีพิธีรีตองกันเช่นนี้หรอก” จุนหนิงที่เห็นเช่นนี้ สิบนิ้วของนางก็ที่กำลังจะคว้าแขนของชายหนุ่มเอาไว้
ทว่า เซียวเจวี๋ยกลับเอามือลงพอดี แล้วก้าวถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวอย่างระมัดระวังฝีเท้า และในขณะที่กำลังถอยหลัง ก็เผยสีหน้าปฏิเสธออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจนเช่นกัน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ จุนหนิงก็มองมายังเขาพร้อมกับน้ำตาที่คลอเบ้า รวมไปถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความน้อยใจ ใบหน้าเดิมที่เล็กอยู่แล้วจึงยิ่งดูหดเกร็งเข้าไปใหญ่
ทว่า ใบหน้าที่ดูหดเกร็งนั้นหาใช่ความจริงทั้งหมดเช่นเดียวกัน
“องค์หญิงใหญ่จุนหนิงทรงเดินทางมาอย่างยากลำบาก เสด็จไปพักผ่อนก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเจวี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จากนั้นก็หันกลับและกำลังจะเดินออกไป
ร่างกายที่แข็งแรงของจุนหนิงนั้นว่องไวอย่างมาก นางตรงเข้าไปยืนขวางทางเอาไว้ “ไม่เหนื่อย ข้าไม่เหนื่อยเลย! พอข้าเห็นพี่เซียว ข้าก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเลยล่ะ”
ทุกคนที่เมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างกลั้นขำจนตัวสั่น
“พรูด” จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะที่กลั้นไว้ไม่ได้ดังขึ้น เป็ใครบางคนที่กำลังดูฉากนี้อยู่
จุนหนิงเลิกคิ้วเมื่อได้เสียงนั้น ดวงตาของนางฉายแววดุร้ายราวกับนางแม่มด เมื่อเห็นชิงอีที่ยืนบิดตัวอยู่ข้างๆ ด้วยผ้าคลุมสีขาวนวลและชุดที่สีแดงราวกับเื พร้อมกับคิ้วและรอยยิ้มของนางที่มีเสน่ห์ไม่มีที่สิ้นสุด
ในใจของจุนหนิงก็เกิดคลื่นั์โกรธเคืองขึ้นมาทันใด ยิ่งเห็นสายของเซียวเจวี๋ยที่มองข้ามไป เห็นได้ชัดว่าตอนที่เขามองมาที่ตนเอง นางยังรู้สึกได้ถึงการถูกปฏิเสธอย่างเ็าั้แ่ไกลๆ ทว่า เวลาที่เขามองไปยังผู้หญิงคนนั้น ความรู้สึกกลับแตกต่างออกไปเล็กน้อย
“ฉู่ชิงอี เ้าบังอาจนัก! เจอข้าแล้วก็ยังไม่คุกเข่าลงอีก!” จุนหนิงะโใส่ชิงอีด้วยความอิจฉาริษยา
“คุกเข่าให้เ้า? เพื่ออะไรกัน?” ชิงอีกลอกตามองนาง “ข้าเป็องค์หญิงใหญ่จากวังหลวง ถึงแม้ว่าเ้าจะมีตำแหน่งเป็องค์หญิงใหญ่เช่นกัน ทว่า ในตอนนั้นไท่เฮาก็เป็แค่เพียงนางสนมเท่านั้น เป็เพราะฝ่าาทรงเลี้ยงดูเ้ามานานหลายปี ถึงได้แต่งตั้งตำแหน่งองค์หญิงใหญ่ให้เ้า สรุปง่ายๆ ก็คือข้าเป็ลูกเมียหลวง ส่วนเ้าเป็ลูกเมียน้อย ถ้าจะคุกเข่า ก็ต้องเป็เ้าสิที่ต้องคุกเข่าให้ข้า!”
ดวงตาของจุนหนิงเบิกกว้าง ราวกับว่าเพิ่งได้พบกับนางเป็ครั้งแรก
“แต่ข้าก็เป็กูกูของเ้า!”
ชิงอีส่งเสียงฮึออกมา “แล้วไงล่ะ?”
ใบหน้าของจุนหนิงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “ตอนที่ข้าอยู่ที่วังนอกเมืองหลวง ข้าก็ได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เ้าทำในวังหลวง ไม่เคยคิดเลยว่าเ้าเปลี่ยนเป็คนละคนจริงๆ ฉู่ชิงอี เ้าคิดว่าเ้าเป็ใครกัน อยู่ในวังหลวงเ้าก็ไร้ประโยชน์ คิดจริงๆ หรือว่าในสายพระเนตรของฝ่าาจะมีองค์หญิงอย่างเ้าอยู่? เ้ามันก็แค่นางสารเลว”
“องค์หญิงใหญ่!” เสียงเ็าของเซียวเจวี๋ยดังขึ้นมา
จุนหนิงที่ราวกับเป็ห่านตัวหนึ่งที่ถูกบีบคอ มองขึ้นไปยังคนที่กำลังเดินมา และดึงชิงอีไปข้างหลังเขา
ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเ็า และความรังเกียจอย่างไม่ปิดบังที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
“คนที่ท่านกำลังดูถูกคือว่าที่หวังเฟยของข้า!”
ใบหน้าของจุนหนิงที่กลายเป็แดงก่ำทันที ราวกับว่านางถูกตบนับครั้งไม่ถ้วนอย่างบ้าคลั่ง
“ฉู่ชิงอีไม่คู่ควรที่จะเป็หวังเฟยของท่าน!!”
ใบหน้าของเซียวเจวี๋ยหล่อเหลาราวกับรูปวาด จึงเป็เื่ง่ายที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจผิด หากมองแค่รูปลักษณ์ภายนอกของเขา เขาควรจะเป็คนประเภทที่สุภาพเป็อย่างมาก ถ่อมตัวเหมือนกับหยก และอ่อนโยนราวกับน้ำ
มันจึงเป็เื่ง่ายที่ทำให้คนลืมไปว่า มือทั้งสองข้างนั้นของเขาเปื้อนเืมากเพียงใด และตัดศีรษะไปมากเท่าไรแล้ว
โอ๊ะ ทั้งยังมักจะพูดคำพูดที่แทงใจดำด้วย
“นางไม่คู่ควร แล้วท่านคู่ควรงั้นหรือ?”