การโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูงมีความว่องไวอย่างมาก เพียงพริบตาก็ไปถึงแท่นหินแล้ว ทว่าเมื่อใกล้ถึงตัวเย่เฟิง กลับมีพลังประหลาดสายหนึ่งขัดขวางไว้ ตามมาด้วยเสียงหวีดหวิวของสายลมดังขึ้นสามครั้ง ทันใดนั้นพลังที่เกิดจากสามฝ่ามือถูกพลังไร้ลักษณ์สะท้อนกลับไป พลังจึงทวีคูณกว่าตอนแรกหลายเท่า
ทั้งสามคนต่างหน้าถอดสี พวกเขาอยากหลบหนีแต่กลับไม่ทันการณ์ พลังที่สะท้อนกลับมานั่นเร็วเกินไป มันมาถึงตัวพวกเขาในพริบตา ก่อนจะซัดพวกเขากระเด็นปลิว เืไหลออกมุมปาก สีหน้ายังดูย่ำแย่
“เกิดอะไรขึ้น? ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูงสามคนลงมือพร้อมกันก็ยังทำอะไรเย่เฟิงไม่ได้งั้นหรือ?” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ตื่นใ
“ดูเหมือนบนแท่นหินจะมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ ด้วยพลังของเราสามคนยังทำลายการป้องกันนั้นไม่ได้ ช่างแปลกมาก!” ตู๋กูหนานกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยียบ
“ข้าเดาว่าแท่นหินนี้จะต้องเป็ยอดฝีมือที่สร้างมันขึ้น พอเราโจมตีเด็กนั่น มันจึงไปกระตุ้นแล้วสะท้อนการโจมตีกลับมาทันที ดูท่าเด็กนั่นคงจะบำเพ็ญตบะอยู่ ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะอยู่บนแท่นหินนั่นตลอดไป เมื่อเขาออกจากแท่นหิน เราก็ค่อยลงมือฆ่าเขาซะ!” เฉินฉี่หัวกล่าวเสียงเย็น
“ท่านพูดถูก เราสามคนรอที่นี่ เมื่อเขาลงจากแท่นหิน เราก็ลงมือจัดการเขาทันที!” โจวเถี่ยหลินกล่าวเห็นด้วยกับเฉินฉี่หัว
“ดี! ในเมื่อทั้งสองพูดเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะรอกับพวกท่าน” ตู๋กูหนานกล่าว จากนั้นทั้งสามคนไขว้ขานั่งขัดสมาธิ
เมื่อเหล่าผู้คนเห็นทั้งสามคนรั้งอยู่ที่นี่ก็หยุดความคึกคักลงทันที หลังจากนั้นมีผู้คนจำนวนมากรั้งอยู่ที่ยอดเขาัคชสารเพื่อรอเย่เฟิงสิ้นสุดการบำเพ็ญ ซึ่งในหมู่คนเหล่านี้มีแต่คนที่้าฆ่าเย่เฟิง แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าลงมือตอนนี้ เพราะแม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูงทั้งสามยังทำอะไรเย่เฟิงไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับพวกเขา
พื้นดินที่ถูกยกขึ้นมาราวกับเป็พื้นแยกที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวโดยมีม่านแสงปกคลุมหนึ่งชั้น จูเชวี่ยเว่ยก็อยู่ในนั้นเช่นกัน นางอาศัยฤทธิ์ยาสองเม็ดที่เย่เฟิงป้อนให้เริ่มขั้นตอนการรักษา แม้นางจะได้รับาเ็ แต่ก็ไม่ถึงกับหนักหนาสาหัส ในขั้นตอนการรักษา ฤทธิ์ยาช่วยนางไว้ได้มากทีเดียว
เย่เฟิงถูกปกคลุมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ ไอมารรายล้อมร่าง ทั้งยังมีพลังมารแผ่ออกมา แต่ขณะเดียวกันภายในหัวของเย่เฟิง จิตของเขามายังห้วงมิติหนึ่ง ที่แห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว พอมองออกไปก็จะเห็นทางช้างเผือกที่สวยงดงาม
“ครืน!” ทันใดนั้นพื้นดินสั่นไหวอย่างแรง จากนั้นมีรูปปั้นสองรูปที่สูงอย่างน้อยร้อยจั้งโผล่ออกมาจากพื้นดิน ทั้งยังแฝงด้วยกลิ่นอายโบราณและความน่าเกรงขาม
เย่เฟิงที่ยืนอยู่ระหว่างกลางของสองรูปปั้นก็รู้สึกตัวเล็กลงถนัดตา จากนั้นมีพลังสองสายที่ต่างกันเข้ากดทับร่างเขาจนตัวงอ เย่เฟิงกัดฟันยืนหลังตรง เขาเงยหน้าขึ้นมองสองรูปปั้น รูปหนึ่งคือเทวกายาทองคำ ใบหน้างดงามหมดจด ดูมีเมตตาและมีอัธยาศัยดี ร่างกายถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองแห่งเทวะ และมีอิทธิฤทธิ์ไร้ที่สิ้นสุด ส่วนรูปปั้นอีกรูปเป็รูปปั้นมารนิรันดร์ ใบหน้าดูน่ากลัว โหดร้ายกระหายเื ทั้งยังมีพลังมารพวยพุ่งออกมา พร้อมกับไอมารรายล้อมร่างกายคล้ายสามารถทำลายสรรพชีวิตบนโลกนี้ได้
เทวะและมารแสดงถึงแสงสว่างและความมืดของโลกใบนี้ ซึ่งทั้งสองจะเป็ปฏิปักษ์ต่อกันชั่วนิจนิรันดร์
เย่เฟิงแหงนมองรูปปั้นทั้งสองที่มีเจตจำนงแตกต่างกัน จากนั้นมีอีกภาพฉากปรากฏที่ด้านหน้าเขา เป็ละครฉากหนึ่ง นักพรตสูงสุดรูปหนึ่งผู้ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์แก่กล้า เป็ที่เลื่อมใสศรัทธาของทุกคน แต่นักพรตสูงสุดรูปนี้ได้สังหารศิษย์พี่ของเขาในศึกชิงตำแหน่งเ้าอาวาส จากนั้นเขาดำรงตำแหน่งเ้าอาวาส แต่โลกภายนอกยังคงเลื่อมใสศรัทธานักพรตสูงสุด โดยไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาสังหารศิษย์พี่ผู้ซึ่งชี้แนะเื่ต่าง ๆ ให้เขากับมือตัวเอง
ภาพฉากหายไปอย่างฉับพลัน ก่อนจะปรากฏอีกภาพฉากหนึ่งขึ้นมา เป็ศึกระหว่างธรรมะและมาร แต่ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายธรรมะมีความได้เปรียบกว่า
ผู้ฝึกยุทธ์สายมารคนหนึ่งต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับศิษย์สองสามคนของเขา โดยมีผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายธรรมะหลายสิบคนล้อมกรอบ ทำให้พวกเขาได้รับาเ็สาหัสอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะตาย จู่ ๆ ผู้ฝึกยุทธ์สายมารคนนั้นลุกขึ้นสู้อย่างเด็ดเดี่ยว เขาคุ้มกันเหล่าศิษย์พี่ฝ่าวงล้อมศัตรู จนในที่สุดพวกศิษย์พี่ก็รอดพ้นจากอันตราย ทว่าผู้ฝึกยุทธ์สายมารคนนั้นกลับถูกฆ่าตายด้วยมีดของศัตรู ซึ่งเขาใช้ชีวิตแลกเปลี่ยนกับความปลอดภัยของพวกศิษย์พี่
ภาพฉากหายไปอีกครั้ง จากนั้นจิตของเย่เฟิงกลับไปที่ห้วงมิติแห่งนั้นอีกครั้ง พอเขาได้เห็นสองภาพฉากเมื่อครู่นี้ก็ทำอารมณ์ของเขาแปรปรวน
“กึก ๆ!” ขณะนั้นสองรูปปั้นตรงหน้าเย่เฟิงเกิดสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมกับปลดปล่อยแสงโชติ่
รูปปั้นเทวะสาดแสงเทวะไปทั่วฟ้าดิน ราวกับโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์โดยทั่วกัน ส่วนรูปปั้นมารมีแสงสีแดงปะทุออกจากดวงตา ไอมารรายล้อมร่างราวกับจะเข่นฆ่าทุกสรรพชีวิต
พลันเสียงประหลาดดังขึ้น นาทีต่อมาเย่เฟิงพบว่าหลังจากสองรูปปั้นสั่นไหว มันก็ได้เคลื่อนที่จากตำแหน่งเดิม ก่อนจะค่อย ๆ หลอมรวมเป็หนึ่ง ก่อเกิดรูปปั้นใหม่ รูปปั้นนี้คล้ายเทวะคล้ายมาร รอบกายเปล่งแสงจ้า พลังเทวะมารแพร่กระจายทั่วฟ้าดิน ความดีแห่งเทวะกับความชั่วแห่งมารราวกับหลอมเป็หนึ่งเดียวกัน!
“นี่มัน...” รูม่านตาของเย่เฟิงหดแคบลงเหมือนไม่กล้าเชื่อสายตาของตัวเอง เทวะมารเป็ปฏิปักษ์ที่มิอาจอยู่ร่วมกันได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ากลับล้มล้างความรู้ที่เย่เฟิงมีต่อทั้งสอง
“เทวะมารอยู่ร่วมกันได้ ไม่มีแบ่งแยกเทวะหรือมาร แต่แตกต่างกันที่สันดาน หากสันดานดี ไยต้องสนใจเล่า มันก็เป็เพียงเส้นทางคนละสายกันเท่านั้น!”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ปากเย่เฟิงพึมพำบางอย่าง ราวกับรู้แจ้งเห็นจริง ความคิดที่มีต่อเทวะและมารก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
จู่ ๆ ห้วงมิตินี้หายไปอย่างฉับพลัน จิตของเย่เฟิงกลับเข้าร่าง จากนั้นเขาพบว่าวิชากลมารของตนบรรลุในความคิดเดียว ซึ่งไม่ใช่ขั้นที่สองระดับต้น แต่เป็ขั้นที่สองระดับกลาง เพียงรู้แจ้งหนึ่งครั้งก็ทำให้เย่เฟิงบรรลุวิชากลมารถึงขั้นที่สองระดับกลาง ช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก
นอกจากนี้ตบะของเขายังทะลวงอีกครั้ง นั่นก็คือขั้นรวมชี่ที่ 7 เขาสามารถก้าวข้ามสองขั้นได้ภายในระยะเวลาสิบวัน ความเร็วเช่นนี้เรียกได้ว่าวิปริตผิดมนุษย์มนา
“ไอ้หนู ออกจากการบำเพ็ญก่อนเถอะ ที่ด้านนอกมีคนกำลังรบกวนเ้า!” พลันเสียงของราชันมารชื่อเทียนดังขึ้นในหัวของเย่เฟิง หลังจากทั้งสองคนทำพันธะโลหิตก็สามารถสื่อสารผ่านจิติญญาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งการสื่อสารเช่นนี้ดีกว่าการส่งเสียงผ่านจิตหลายเท่า
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ออกจากสภาวะบำเพ็ญ ก่อนจะเห็นผู้ฝึกยุทธ์นับร้อยบนยอดเขาัคชสาร ทำเย่เฟิงรู้สึกเกินคาดมาก แต่เมื่อเห็นคนของตระกูลตู๋กู ตระกูลเฉิน และตระกูลโจว พลันแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตา จะว่าไปแล้วเหมือนเย่เฟิงต้องขอบคุณพวกเขา หากพวกเขาไม่ส่งคนมาไล่ล่า เย่เฟิงคงไม่เจอยอดเขาัคชสาร และก็คงไม่ได้รู้จักราชันมารชื่อเทียน
“ในที่สุดเ้าก็ตื่นเสียที!” เมื่อตู๋กูหนานเห็นเย่เฟิงลุกขึ้นยืนก็กล่าวเสียงเย็นเช่นนั้น พร้อมกับแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตา
“รีบลงมารับความตายซะ!” เฉินฉี่หัวกล่าว พวกเขารอมานานหลายวันก็เพื่อที่จะฆ่าเย่เฟิงด้วยมือของตัวเอง และเพื่อแก้แค้นให้กับบุตรของพวกเขา
“ฆ่าบุตรของโจวเถี่ยหลิน วันนี้เ้าต้องตาย!” โจวเถี่ยหลินกล่าว
“เป็บุตรของพวกเ้าที่ไร้ความสามารถเอง ถึงได้ถูกข้าฆ่าตาย พวกเ้าสามตระกูลส่งผู้ฝึกยุทธ์มาลอบสังหารข้า แต่ไม่นึกว่าตอนนี้ผู้นำตระกูลจะออกโรงด้วยตัวเอง เอาชนะไม่ได้ก็ขอร้องสิ พวกหัวมังกุท้ายั!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น แม้ไม่เคยพบพาน แต่ดูจากเครื่องแต่งกายของผู้นำตระกูล เย่เฟิงก็ตัดสินตัวตนของทั้งสามคนได้ทันที
เมื่อผู้คนในที่แห่งนั้นได้ยินต่างก็ใ ตระกูลตู๋กู ตระกูลเฉิน และตระกูลโจวต่าง้าชีวิตเย่เฟิง แต่เย่เฟิงผู้นี้ที่จะตายอยู่รอมร่อแล้ว ไม่นึกว่าจะกล้าพูดจาเช่นนี้ พาตัวเองหาที่ตายแท้ ๆ
“ไร้สาระ!”
พวกตู๋กูหนานได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็เผยสีหน้าดูไม่ได้ แต่ไม่ได้พูดโต้กลับไป การที่ผู้นำของสามตระกูลออกโรงจัดการคนรุ่นเยาว์ที่อยู่เพียงขั้นรวมชี่คนเดียว ไม่ว่ามองอย่างไรก็ทำพวกเขาเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ความเกลียดที่พวกเขามีต่อเย่เฟิงมันมีมากเกินไป บัดนี้มีโอกาสแล้วพวกเขาก็ย่อมไม่พลาด ดังนั้นจึงยอมเสียหน้า
“ไอ้หนู เ้าจงทำลายอักขระบนแท่นหินที่ปรากฏตอนนี้เสีย บิดาจะช่วยเ้าสั่งสอนคนพวกนี้เอง!” พลันเสียงราชันมารชื่อเทียนดังขึ้นในหัว
“ท่านมีวิธีหรือ?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“มีแน่นอน บิดาคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นราชันมารเชียวนะ ต่อให้เหลือเพียงจิติญญา ก็ช่วยเ้ากำจัดเด็กพวกนี้ได้แล้วกัน” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว
“ข้าควรทำเช่นไร?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“ใช้หอกมารของบิดา เด็กพวกนี้ก็งั้นๆ แหละ ไม่นับว่าเป็สิ่งใด” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว อาวุธที่ราชันมารเคยใช้ พลังจะแค่ไหนกันนะ?
เย่เฟิงไม่ได้นึกถึงวิธีนี้ แต่ตบะของเขาในเวลานี้จะควบคุมหอกมารได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ว่าเย่เฟิงไม่มั่นใจ แต่อาวุธที่ราชันมารเคยใช้หาใช่สิ่งที่เขาในขั้นรวมชี่ที่ 7 จะควบคุมได้
แต่บัดนี้มีศัตรูอยู่เบื้องหน้า เย่เฟิงจำต้องลองสักตั้ง จากนั้นเขาโคจรวิชากลมาร พลันไอมารแผ่ปกคลุมร่างเขา พร้อมกับพลังมารอาละวาดไปทั่วฟ้าดิน เย่เฟิงในเวลานี้เริ่มมีลมปราณเข้าใกล้การเป็ผู้ฝึกยุทธ์สายมารแล้ว
“วูบ!” พลันมีลำแสงพุ่งออกจากดัชนีของเย่เฟิงไปเยือนแท่นหิน นาทีต่อมาอักขระบนแท่นหินก็เริ่มเกิดความแปรปรวน ก่อนอักขระทั้งหมดจะแตกสลายไป ผนึกก็ถูกทำลาย
“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดบิดาก็ออกไปเสียที ฮ่า ๆ ๆ ๆ” ทันทีที่ลวดลายอักขระแตกสลาย เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งของราชันมารชื่อเทียนก็ดังกึกก้องในหัวของเย่เฟิง เห็นชัดว่าเขารู้สึกอย่างไรหลังจากถูกผนึกมานานกว่าหกพันปี
“ไอ้หนู นับจากนี้ไปจงเชื่อฟังบิดา แล้วบิดาจะพาเ้าท่องยุทธภพนี้!” เสียงของราชันมารชื่อเทียนดังอีกครั้ง
“ท่านตื่นเต้นไปแล้ว สงบหน่อย จัดการปัญหาตรงหน้าข้านี่ก่อน” เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวพลางมองบน
“เ้าเด็กนี่ทำข้าหมดอารมณ์เลย ช่างเถอะ ใครใช้ให้บิดาทำพันธะโลหิตกับเ้าเล่า จัดการเื่ของเ้าก่อนก็ได้” ราชันมารชื่อเทียนได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็หมดอารมณ์ทันที
ทว่าเย่เฟิงไม่ว่างพอจะฟังราชันมารชื่อเทียน จากนั้นหอกัเงินประกายและปลายหอกมารลอยตระหง่านกลางอากาศ ก่อนจะเชื่อมต่อกันทันที
