หั่วอี้เองก็จับจ้องหลิ่วจิ้งด้วยอาการตาค้างวันนี้หลิ่วจิ้งสร้างความประหลาดใจให้เขามากมายเหลือเกินเดิมทีจวนแม่ทัพก็มีห้องฉินอยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งภายในห้องมีทั้งฉินหลากหลายแบบพร้อมทั้งเครื่องใช้ต่างๆครบครัน แต่เขาก็ไม่เคยเห็นหลิ่วจิ้งไปที่ห้องฉินเลยสักหน จึงทึกทักเอาเองว่าฝีมือฉินของหลิ่วจิ้งคงไม่ค่อยดีนักซึ่งอันที่จริงเขาเองก็เป็คนที่ชื่นชอบฉิน จึงรู้สึกเสียดายกับเื่นี้เช่นกัน
หั่วอี้ยังเคยคิดว่าเขาจะมีวันได้ฉินเส้อสอดประสาน [1] กับหลิ่วจิ้งแต่กลับทึกทักเอาเองไปแล้วว่าหลิ่วจิ้งไม่รู้เื่ฉิน เกรงว่าหากเชิญให้หลิ่วจิ้งมาบรรเลงฉินร่วมกับเขากลับจะทำให้นางเสียหน้ายามเขาอยู่ในจวนจึงอดทนไม่ไปเล่นฉินเรื่อยมาก็เพราะคำนึงถึงหน้าตาของหลิ่วจิ้ง แต่ไม่คิดเลยว่าหลิ่วจิ้งไม่เพียงเล่นฉินเป็ยิ่งไปกว่านั้นั้แ่เขาเคยฟังฉินมาก็ยังไม่มีผู้ใดที่มีฝีมือทัดเทียมนางได้
“ข้าทำขายหน้าแล้ว ขอทุกท่านฟังพอผ่านเถิดเ้าค่ะ”หลิ่วจิ้งเอ่ยพลางหันไปคารวะเสนาบดีจ้าว ก่อนขยับตัวไปยืนประสานมืออยู่ข้างๆ
จ้าวอี้หรงมองบิดาของนาง แล้วหันมองหั่วอี้เห็นว่าทุกคนล้วนมีสีหน้าตะลึงพรึงเพริด ปากน้อยๆ ของนางก็ยู่เข้ามาเดิมทีนางอยากเห็นหลิ่วจิ้งขายหน้าต่อยอดฝีมือทุกคนในห้องนี้ แต่นึกไม่ถึงว่าเื่กลับตาลปัตรดังนี้หลิ่วจิ้งถึงกับได้รับความชื่นชมจากทั้งบิดาของนางและท่านน้าถิง หากรู้แต่แรกเมื่อครู่นางจะต้องคิดหาทางไม่ให้หลิ่วจิ้งดีดฉินให้จงได้
จ้าวเหยียนเฉิงยังคงดื่มด่ำอยู่ในเสียงฉินของหลิ่วจิ้งไม่ยอมสร่างเสียงฉินเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มกลับไปใน่เวลาที่เขาสบายใจเป็ที่สุดรู้สึกประหนึ่งว่าตัวเขาอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆนานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกสบายใจเช่นนี้เพราะเื้ัรอยยิ้มที่มีในยามปกตินั้นไม่มีผู้ใดเคยล่วงรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของเขา
“ขอบคุณเสียงฉินของฮูหยิน ทำให้ข้าน้อยได้ััถึงความรู้สึกในอดีตอย่างลึกซึ้งนักว่ากันว่าอดีตได้แค่ระลึกถึง แต่ก็ต้องระลึกถึงมันให้ได้เสียก่อนความรู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้ ต่อให้เคยคิดถึงแต่ก็ถูกเื่รำคาญใจมากมายขวางกั้นเอาไว้แค่จะนึกถึงก็ยังยากนัก หากสามารถได้ฟังเสียงฉินงามเลิศไร้ผู้เทียบเทียมนี้บ่อยๆทำให้ผ่อนคลายทั้งกายและใจจะดีเพียงใด”
จ้าวเหยียนเฉิงคำนับหลิ่วจิ้งจากใจจริงหนหนึ่งในแววตาแสนสดใสมีความจริงใจเพิ่มมาส่วนหนึ่ง พิธีรีตองกลับลดลงส่วนหนึ่ง
เฉินตานถิงเดินมาข้างหน้า ดึงมือหลิ่วจิ้งเข้ามาพลางกล่าวว่า“ฝีมือฉินของฮูหยินหั่วจะเรียกว่ารู้เพียงเล็กน้อยได้อย่างไรแม้แต่ข้าก็ยังต้องทอดถอนใจว่าไม่อาจเทียบได้ ยอมศิโรราบให้เ้า ผู้มีใจต้องกันเช่นนี้หายากยิ่งหากฮูหยินหั่วสามารถไปเป็แขกที่เรือนพักบนเขาของข้าได้บ่อยๆก็นับว่าเป็เื่ที่ยากจะขอได้จริงๆ”
เฉินตานถิงเอ่ยพลางถอดกำไลที่นางสวมที่มือซ้ายออกมาไม่สนใจว่าหลิ่วจิ้งสวมกำไลที่เพิ่งซื้อเมื่อตอนบ่ายอยู่ขืนสวมกำไลให้ที่มือซ้ายของอีกฝ่าย
นางไม่ให้โอกาสหลิ่วจิ้งปฏิเสธ ตบหลังมือหลิ่วจิ้งและกล่าวว่า“นี่เป็เครื่องหมายของข้า ไม่ว่าวันใดเวลาใด เมื่อเ้าไปที่หอฉินจืออิน [2] และแสดงเครื่องหมายนี้แก่คนที่ทำงานที่นั่นพวกเขาก็จะพาเ้ามาส่งยังที่พำนักของข้า”
“โธ่เอ๊ย หั่วอี้ เ้าดูสิ ข้าเห็นแล้วก็ยังรู้สึกอิจฉาองค์หญิงขึ้นมาเครื่องหมายนี้ข้าขอถิงถิงมาตั้งหลายปีก็ยังไม่ได้มาถึงมือนี่เพิ่งมีวาสนาได้พบกันเพียงครั้งถิงถิงก็มอบให้ฮูหยินหั่วเสียแล้ว เฮ้อๆๆ ข้าเสียใจจนหัวใจแทบสลายแล้ว”
เสนาบดีจ้าวมีท่าทีประหนึ่งเด็กสาวตัวน้อยกำลังคับแค้นใจทำเอาเฉินตานถิงต้องหัวเราะเหอๆ ออกมา
เมื่อเฉินตานถิงเอ่ยถึงหอฉินจืออินก็พิสูจน์ว่าสิ่งที่นางคาดไว้ก่อนหน้านี้เป็เื่จริง นึกไม่ถึงว่าเฉินตานถิงก็คือประมุขบัวมรกตจริงๆ
ประมุขบัวมรกตมีความลับมากมายแม้แต่หอฉินจืออินก็ไม่รู้ว่าทำได้เช่นใด ไม่มีคนรู้ว่าผู้ดูแลที่แห่งนั้นเป็ชายหรือหญิงและไม่มีคนล่วงรู้ว่าหอฉินจืออินทำเช่นใดจึงมีสาขาอยู่ทั่วแคว้นร้านค้าอื่นอย่างมากก็เพียงเปิดสาขามากมายภายในแคว้น แต่จนทุกวันนี้นอกจากหอฉินจืออินแล้ว ก็ไม่มีคนที่สองที่สามารถไปเปิดสาขาที่แคว้นอื่น ซ้ำยังยืนหยัดได้อย่างมั่นคงเป็ปลาได้น้ำที่ต่างแคว้นเสียด้วย
ทุกคนรู้เพียงว่าเ้าของหอฉินจืออินมีฉายาว่าประมุขบัวมรกต ข้อมูลอื่นก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีก
หลิ่วจิ้งจะรู้ได้อย่างไรว่านางแค่ตั้งใจจะแสดงฝีมือเพียงครั้งและเดิมทีก็แค่อยากเป็ที่สังเกตของเสนาบดีจ้าววันหน้าจะได้ติดตามหั่วอี้เข้าไปััใกล้ชิดในอาณาเขตของเขา ผู้ใดจะคิดว่าไม่จงใจปักกิ่งหลิวกลับงอกงามจับพลัดจับผลูกลับไปเข้าตาประมุขบัวมรกตได้
“ข้ากลัวว่าหากรับสิ่งของสำคัญล้ำค่าเช่นนี้ก็จะไม่สมค่าของมันเ้าค่ะ” หลิ่วจิ้งเองก็รู้สึกจริงๆว่าของกำนัลชิ้นนี้ล้ำค่าเกินไป แม้ว่าใจนางอยากได้มันเสียอย่างยิ่งแต่ปากกลับไม่อาจไม่เอ่ยคำปฏิเสธออกไป
“ฮูหยินหั่วอย่าได้เกรงใจแต่ไรมาถิงถิงไม่เคยมอบของกำนัลให้ผู้ใดง่ายๆของกำนัลนี้จะว่าล้ำค่าก็ล้ำค่าสักหน่อย แต่คุ้มค่านัก เ้ารับไว้เถิดหากยังคงผลักไสของนี้ก็จะล้าสมัยเกินไปแล้ว”
หลิ่วจิ้งยิ่งไม่คิดว่าเมื่อนางบอกปัดกลับทำให้เสนาบดีจ้าวออกปากให้นางรับเอาไว้เมื่อเสนาบดีจ้าวเห็นชอบ นางจึงรับเอาไว้เสียแม้ว่าใจนางอยากรับเอาไว้นานแล้วก็ตาม
“เช่นนั้นข้าก็ขอหน้าหนารับเอาไว้นะเ้าคะวันหน้าต้องขอให้ท่านเสนาบดีจ้าวและน้าถิงชี้แนะให้มากด้วยเ้าค่ะ”หลิ่วจิ้งรับของกำนัลมาด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น
เฉินตานถิงเห็นเช่นนั้นก็ทั้งปรบมือและหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจ“ดีจริง ดีจริง มาครานี้ข้าก็ไม่ต้องอยู่อย่างเบื่อหน่ายอีกแล้วเมื่อมีฮูหยินหั่วที่มีใจเดียวกันอยู่ด้วยเห็นทีว่าข้าคงต้องอยู่ฉลองปีใหม่ในเมืองต้าอี้เสียแล้ว”
“ท่านไม่กลับแล้วหรือ?” ครานี้กลายเป็เสนาบดีจ้าวตื่นเต้นยินดียกใหญ่บ้าง เขาหัวเราะ“ฮ่าๆๆ” ดังลั่น
จ้าวเหยียนเฉิงเองก็มีท่าทีดีใจเช่นกัน มีแต่จ้าวอี้หรงที่เบ้ปากอีกหนด้วยท่าทีไม่ยินดียินร้าย
หลิ่วจิ้งไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาก่อนหน้านี้จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสนาบดีจ้าวจึงดีใจนัก นางรู้เพียงว่าทั้งเสนาบดีจ้าวกับเฉินตานถิงซึ่งเป็บุคคลสำคัญทั้งสองท่านล้วนหัวเราะอย่างเบิกบานใจนางก็รู้สึกว่าที่ตนออกมาคืนนี้และได้รู้จักกับพวกเขา คนเหล่านี้จะต้องช่วยสนับสนุนแผนการในภายภาคหน้าของนางได้เป็แน่
หลิ่วจิ้งคิดไม่ถึงว่านางจะมีชื่อขึ้นมาเพราะเพลงเพียงบทเดียวไปเข้าตาทั้งเสนาบดีจ้าวกับประมุขบัวมรกต ทว่านางก็ยังคงมีท่าทีสง่างามไม่ตื่นเต้นทั้งไม่ได้ลำพองตัวว่าได้รับคำชมและไม่ได้จงใจประจบประแจง
เสนาบดีจ้าวพยักหน้าแอบชื่นชมอยู่ในใจ เขารู้สึกประทับใจในตัวหลิ่วจิ้งสลัดความคิดก่อนที่จะรู้จักนางและนึกว่านางเป็เหมือนสตรีทั่วไปในเมืองทิ้งไปรวมทั้งเปลี่ยนความคิดที่เคยนึกว่าองค์หญิงต้าเว่ยจะมีเื่ใดเหนือกว่าผู้อื่นแม้แต่กษัตริย์แห่งชางอี้ก็ยังไม่ต้องพระเนตร จึงมอบให้แก่เหล่าขุนนางใหญ่ไปเสีย
วันแรกที่หลิ่วจิ้งเข้าวังเดิมทีเสนาบดีจ้าวก็ไม่พอใจกับความเหลวแหลกของกษัตริย์แห่งชางอี้อยู่นานแล้วจึงใช้ข้ออ้างว่าไม่สบายและไม่ได้ไปร่วมงานภายหลังจึงค่อยมาได้ยินเื่ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น แต่เขาก็ฟังเพียงผ่านๆเหมือนเป็เื่ตลกเื่หนึ่งเท่านั้น
ไม่นึกว่าเมื่อได้มาพบองค์หญิงในวันนี้ ทำให้เขาได้มีโอกาสทำความรู้จักนิสัยใจคอขององค์หญิงใหม่อีกครั้ง
เสนาบดีจ้าวมองจ้าวอี้หรงด้วยความรู้สึกจนใจนักเมื่อเห็นท่าทีเบื่อหน่ายของนางเขาก็ต้องแอบถอนใจ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าบุตรีที่รักของเขาชอบหั่วอี้มาั้แ่เล็กหากมิใช่เพราะนางมีร่างกายอ่อนแอตลอดมาและไม่เหมาะจะตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรทั้งตัดใจให้นางแต่งไปเป็อนุไม่ได้ จึงตัดสินใจจะไม่ให้นางแต่งเข้าจวนสกุลหั่ว
เสนาบดีจ้าวลอบมองหลิ่วจิ้งอยู่เงียบๆเห็นว่านางเป็ผู้มีการศึกษาทั้งรู้จักวางตัว ไม่มีท่าทีหยิ่งผยองแม้แต่น้อยหากนางยอมรับอี้หรงได้ และมีการตั้งฮูหยินซ้ายขวาก็มิใช่ว่าจะลองดูไม่ได้
อนิจจา หัวใจรักของพ่อแม่ทั่วหล้าช่างน่าสงสารนักเพื่อจ้าวอี้หรงสมหวัง เสนาบดีจ้าวจึงเริ่มวางแผนให้บุตรีของเขาผูกมิตรกับองค์หญิงต้าเว่ยเอาไว้เขา้าปูทางสู่ตำแหน่งฮูหยินเอกให้แก่นาง แต่กลับต้องเป็กังวลเพราะหมอเคยสั่งความไว้ว่าเพื่อรักษาชีวิตของจ้าวอี้หรง อย่าให้นางตั้งครรภ์เป็อันขาด
แต่เมื่อวันนี้เสนาบดีจ้าวได้พบกับหลิ่วจิ้ง ก็คล้ายว่าเขาจะมองเห็นแสงสว่างแล้ว
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ฉินเส้อสอดประสานเป็การเปรียบเปรยว่าการบรรเลงฉินและเส้อเหมือนกับความรักของสามีภรรยาที่ประคับประคองกันเป็อย่างดี
[2] จืออิน แปลว่า รู้ใจ
