หลังจากที่แม่ชีไท่เฉินตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายก็รู้สึกเ็ปไปทั้งตัว ทันใดนั้นนางก็ร้องแหกปากออกมาเหมือนหมูโดนเชือด เจี่ยงพีจึงโยนแอปเปิลผลหนึ่งไปอุดปากนางไว้ได้อย่างพอดิบพอดี
นางมองทุกคนรอบตัวด้วยอาการตื่นกลัว มีทั้งใต้เท้าเกิ่งและผู้สมรู้ร่วมคิดของนางหลายคน รวมถึงแม่ชีไท่ซั่นและแม่ชีไท่ซี! แม่ชีไท่เฉินเหมือนได้รับฟางสุดท้าย นางส่งสายตาขอร้องไปยังแม่ชีไท่ซีให้ช่วยเหลือ นางไม่อยากเข้าคุก นางไม่อยากตาย! ยี่สิบหกปีก่อน นางและท่านลุงผ่านมาที่เมืองหยางโจว ท่านลุงก็ติดคุกหัวโตเพราะคดียาเสพติดเช่นนี้ ต่อมาก็ตายลงในคุก นางจึงไม่อยากติดคุก!
แม่ชีไท่ซีกล่าวอมิตตาพุทธแล้วหลบสายตาขอร้องของแม่ชีไท่เฉิน จากนั้นก็มองไปที่ใต้เท้าเกิ่ง
ใต้เท้าเกิ่งพยักหน้า “ในเมื่อพบสมุดบัญชีที่โรงยาแล้ว เช่นนั้นทุกคนจึงไม่ตกเป็ผู้ต้องสงสัย” แม่ชีไท่ซั่นและแม่ชีไท่ซีเผยแววดีใจขึ้นบนใบหน้า หลังจากนั้นใต้เท้าเกิ่งก็เปลี่ยนเื่ทันที “แต่ในวัดของพวกท่านมีหญิงที่โสมมเช่นนี้ ทว่าพวกท่านไม่เพียงแต่ไม่รู้อะไรเลย ทั้งยังยกที่กลั่นยาและโรงเก็บยาให้นางดูแลอีก ไท่เฉินผู้นี้แสร้งออกบวชจุดธูปไหว้พระ แต่ลับหลังกลับทำเื่เลวร้ายต่อผู้อื่น พวกท่านรู้ความผิดหรือไม่?” แม่ชีไท่ซั่นและแม่ชีไท่ซีจึงคุกเข่าก้มหัวลงคำนับยอมรับความผิดพลาด
เจี่ยงอี้เปิดหน้าสมุดบัญชีพลางกล่าว “ใต้เท้า นอกจากไท่เฉินแล้ว ยังมีแม่ชีอีกสองคนคือเจินเหวยและเจินผิงที่รับเงินสกปรก คนหนึ่งได้หนึ่งตำลึงห้าอีแปะ อีกคนได้หนึ่งตำลึงสองอีแปะ” เลี่ยวจือหย่วนหัวเราะเย้ยหยัน เจี่ยงอี้ส่ายหัวแล้วพูดต่อ “ถึงแม้พวกนางจะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับสิ่งที่แม่ชีไท่เฉินทำ เพียงช่วยไท่เฉินวิ่งส่งสารเท่านั้น แต่จำนวนของยาต้องห้ามมีมากจนน่าใ นอกจากจะขายให้แก่หอนางโลมกว่าสิบแห่งแล้ว ยังมีขุนนางระดับสามในราชสำนักเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้จะต้องถูกจับกุมไว้ทั้งหมด ที่สุดแล้วจะผิดจริงหรือไม่ ต้องรอให้ศาลไต่สวนคดีแล้วค่อยว่ากัน”
เจี่ยงพียิ้มขำ “แม่ชีพวกนั้นช่างขี้ขลาดกันเสียจริง เมื่อครู่ข้าออกไปเรียกชื่อของเจินเหวยกับเจินิแล้วนำพวกนางมามัดไว้ข้างหน้า ทันใดนั้นแม่ชีในเรือนก็เป็ลมล้มพับไปตั้งเจ็ดแปดคน”
ใต้เท้าเกิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เจี่ยงอี้ เจี่ยงพี พวกเ้าทั้งสองนำตัวแม่ชีและแม่ชีที่เกี่ยวข้องกับคดีสองคนนั้นไปขังไว้ที่ห้องเก็บฟืนทางปีกตะวันตก ผลัดเวรกันเฝ้ายาม ห้ามให้หนีและห้ามตายด้วย รอให้ถึงเวลาลงจากเขาแล้วค่อยจัดการลงโทษ”
เมื่อได้รับคำสั่ง เจี่ยงอี้และเจียงพีก็พาแม่ชีทั้งห้าคนที่ถูกมัดรวมกันออกไปข้างนอก ไท่เฉินจ้องไปยังแม่ชีไท่ซีด้วยความสิ้นหวัง นางยังหวังว่าแม่ชีไท่ซีจะขอร้องแทนตน ไท่เฉินรู้ว่าผู้ที่ละทางโลกนั้นมีอภิสิทธิ์มากมาย แม้แต่ฮ่องเต้ยังเคารพนับถือลัทธิเต๋า ขอเพียงรักษาชีวิตตนไว้ได้ แม้จะต้องนำยาต้องห้ามและเงินทั้งหมดที่มีมาแลก นางก็ยอม!
อย่างไรก็ตาม แม่ชีไท่ซีเพียงกล่าวอมิตตาพุทธและไม่พูดอันใดอีก แม่ชีไท่เฉินผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ นางนอนราบไปกับพื้นพลางถูกเจี่ยงอี้ลากถูออกไปดังเช่นกระสอบป่าน เมื่อเหล่าแม่ชีที่ถูกกักตัวไว้ในเรือนฝูเหมียนเห็นเหตุการณ์ก็มีแม่ชีขี้กลัวอีกหลายคนถึงกับเป็ลมล้มพับไป
ใต้เท้าเกิ่งมองไปที่แม่ชีไท่ซีพลางกล่าวเสียงขรึม “แม้ท่านจะรอดพ้นจากความผิดของยาต้องห้าม แต่ท่านปกปิดอำพรางแม่ชีผู้โสมมไว้ถึงยี่สิบกว่าปี โทษตายหลีกเลี่ยงได้แต่โทษเป็ยากที่จะหลีกเลี่ยง วัดสุ่ยซังทำให้วัดเต๋ามีความอัปยศ ข้าผู้เป็ขุนนางขอสั่งกักบริเวณท่านเพื่อให้ท่านคำนึงถึงความผิดพลาดที่เคยทำ ภายในเวลาครึ่งปีไม่อนุญาตให้ทำการติดต่อซื้อขายกับโลกภายนอก หากฝ่าฝืนจะลงโทษขั้นรุนแรง!” แม่ชีไท่ซั่นและแม่ชีไท่ซีรีบคุกเข่าก้มหัวคำนับขอบคุณทันที
ต้วนเสี่ยวโหลวกล่าวเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงเย็น “พวกเ้ารู้หรือไม่ หากไม่ใช่เพราะคุณหนูเหอยอมตากลมหนาวในตอนกลางคืนออกมาเพื่อขอร้องแทนพวกเ้า ทั้งยังช่วยหาหลักฐานจนเจออีกด้วยแล้วละก็ พวกเ้าทั้งหมดคงต้องเข้าไปอยู่ในคุกเมืองหางโจวสักครึ่งชีวิตเป็แน่!” แม่ชีไท่ซั่นและแม่ชีไท่ซีตกอกใจนรีบก้มหัวลงไปแนบพื้นอีกครั้ง พลางกล่าวรำพึงรำพัน “อู๋เลี่ยงเทียนจวิน ฝูโซ่วเทียนฉี่”
ณ เรือนปีกตะวันออก เจินจิ้งยกชาน้ำตาลขิงมาให้เหอตังกุยพลางกล่าวโน้มน้าว “ท่านตากลมมาก็เข้าไปพักในห้องสักหน่อยเถิด เหตุใดต้องนั่งเหม่อลอยที่นี่ด้วยเล่า ในเรือนของเราเป็พื้นที่โล่ง แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่มี แล้วท่านนั่งดูอะไร? ไปกัน กลับเข้าห้องเรากันเถอะ!”
เหอตังกุยหลับตาลงพลางถอนหายใจหนัก ๆ แล้วกล่าวว่า “อากาศเริ่มเย็นลง ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้ว” หลังจากนั้นนางก็เดินเข้าห้องไป ทิ้งให้เจินจิ้งยืนงงเป็ไก่ตาแตกอยู่ที่เดิม
วันต่อมา แม่ชีไท่เฉินก็ถูกจับ แม่ชีไท่ซีก็ล้มป่วย แม่ชีไท่ซั่นจึงกุมอำนาจทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว หลังจากที่นางได้รับอำนาจการจัดการ เื่แรกที่นางทำคือนำลูกศิษย์ทั้งเจ็ดคนของแม่ชีไท่เฉิน เช่น เจินซู่ เจินกง เจินเจวี๋ย มาฟาดด้วยไม้หน้าสามจนสลบแล้วมัดตัวไว้ ก่อนจะเรียกให้ยายเฉิงและยายอู่นำรถเข็นมาลากนางลงไปขายที่ตีนเขา
เจินจูรีบห้ามยายเฉิงไว้ทันที จากนั้นจึงโน้มน้าวแม่ชีไท่ซั่นว่าตอนนี้ในโรงยาเละเทะมาก วัตถุดิบยากองรวมกันที่พื้นมั่วไปหมด หนังสือวิชาแพทย์ก็เปิดไว้ยุ่งเหยิง ในวัดแห่งนี้มีเพียงลูกศิษย์ของแม่ชีไท่เฉินเท่านั้นที่เข้าใจเื่ยาสมุนไพรอยู่บ้าง สู้ให้พวกนางเก็บกวาดห้องตานฝางและโรงยาเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยจัดการ
สายตาของแม่ชีไท่ซั่นเปรียบเสมือนงูพิษสองตัวที่ออกจากถ้ำ นางกัดฟันพูดว่าพวกลูกศิษย์ของไท่เฉินและท่านอาจารย์ของพวกนางเป็พวกเดียวกัน พวกมันไม่เห็นนางอยู่ในสายตาและมักจะสอดแนมทุกการเคลื่อนไหวของนางเป็ประจำ ตอนนี้ไท่เฉินก่อกรรมทำเข็ญอย่างไม่น่าให้อภัย เช่นนั้นพวกตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่กับนางก็อย่าได้คิดว่าจะมีจุดจบที่ดีเลย! นางจะขายพวกนั้นไปที่ซ่องที่โสมมที่สุด ให้พวกนางออกจากขุมนรกไม่ได้ตลอดกาลจนกว่าจะตายไป! นี่คือจุดจบของคนที่เป็ศัตรูกับนาง!
เจินจูถอนหายใจอยู่ในใจแล้วหาข้ออ้างปลีกตัวออกไป นางเดินวนอยู่ในวัดรอบหนึ่งแล้วค่อย ๆ ลักลอบออกไปจากวัด นางรออยู่ที่กลางูเาได้สักพักก็เห็นยายเฉิงและยายอู่ร่างอ้วนท้วมรีบเร่งลากรถเข็นสองล้อลงเขามาแต่ไกลด้วยความเหนื่อยหอบ
เจินจูจึงรีบไปหยุดรถของพวกนางไว้พลางยิ้ม “ยายเฉิง ยายอู่ พวกท่านพักเหนื่อยเสียก่อนเถิด เมื่อครู่ข้าเดินผ่านถ้ำมาจึงตักน้ำที่ลำธารมาด้วย พวกท่านทั้งสองดื่มเสียหน่อยแล้วค่อยรีบออกเดินทางดีหรือไม่?”
ยายเฉิงวางรถลง นางเช็ดเหงื่อพลางมองไปที่เจินจูแล้วกล่าวเสียงเย็น “หึ ท่านอาจารย์ของท่านบอกว่าตอนที่ท่านออกมานั้นดูผิดปกตินัก กลัวว่าท่านจะมาทำให้พวกข้าเสียเื่ เป็ดังที่นางว่า ท่านมาจริง ๆ ! ท่านรออยู่ที่นี่เป็ครึ่งวันแล้วล่ะสิ?”
เจินจูได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มแข็งค้าง ยายอู่มองไปที่นางพลางกล่าวอย่างรำคาญ “เจินจู พวกข้าต้องรีบไปก่อนตะวันจะตกดิน ท่านหลีกไปเถอะ! ท่านเป็คนมองการณ์ไกล ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะได้เป็หัวหน้าคนใหม่ อีกไม่นานเ้าพวกนี้ก็คงอยู่ร่วมกับท่านไม่ได้แล้ว แล้วท่านจะมายุ่งเื่ยิบย่อยเช่นนี้เพื่อสิ่งใด?”
เจินจูยิ้มฝืน ๆ พลางกล่าวขอร้อง “จะดีจะเลวอย่างไร พวกเราทุกคนก็เคยอาศัยอยู่ที่วัดสุ่ยซังด้วยกัน เห็นคนล้มแล้วอย่าข้าม ยายทั้งสองเหลือทางรอดให้พวกนางหน่อยเถิด อย่าขายนางให้หอนางโลมเลย เอานางไปขายจวนที่ร่ำรวยให้เป็บ่าวรับใช้เถิด!”
ยายเฉิงยิ้มหยัน “ไอโยว เจินจู ท่านเป็คนจิตใจดี แล้วพวกข้าจะเป็คนแล้งน้ำใจบ้างไม่ได้หรือ? หากเอาพวกนางไปขายเป็บ่าวรับใช้ รวมเงินทั้งหมดก็ได้เพียงสิบห้าก้วน[2]เท่านั้น หากขายให้หอนางโลม อย่างน้อยคนหนึ่งก็ขายได้เจ็ดตำลึง เจ็ดคนก็เป็เงินห้าสิบกว่าตำลึง! แตกต่างกันถึงเพียงนี้ ใครจะมาอัดรูให้? พวกข้าเป็เพียงคนส่งของ กลับไปก็ต้องส่งเงินให้แก่อาจารย์ของท่าน! ความคิดที่จะขายให้เป็นางโลมนี้ก็ไม่ใช่ความคิดพวกข้า ท่านมาหาข้าก็ไร้ประโยชน์”
เจินจูพยักหน้าด้วยความดีใจ “เื่นี้จัดการได้ ข้าจะออกเงินเอง! ข้ามีเงินออมอยู่เล็กน้อยและมีเพียงพอห้าสิบตำลึง เงินอยู่ที่เฉียนจวน[1]ตำบลทู่เอ๋อร์ สามารถรับเงินสดได้เลย ทว่าตอนนี้ข้าแอบออกมาจากวัด ต้องรีบกลับไปเปลี่ยนเวรทำงานก่อน เช่นนั้นพวกท่านสองคนนำพวกนางไปขายให้จวนตระกูลใหญ่ ๆ เสีย จากนั้นก็เข้าพักที่โรงเตี๊ยมเยวี่ยไหลรอข้า ช้าสุดคือเช้ามืดพรุ่งนี้ ข้าจะต้องนำเงินไปให้พวกท่านแน่!”
ยายเฉิงหัวเราะหยัน “ท่านคิดว่าพวกข้าสองคนหลอกง่ายนักรึ? หากตอนนั้นท่านไม่มา พวกข้าก็ไม่กล้ากลับไปรายงานผลที่วัดสุ่ยซัง แต่ท่านกลับได้ในสิ่งที่ท่าน้า อีกทั้งท่านอาจารย์ของท่านยังจะให้โทษ ‘ลักเงินหลบหนี’ แล้วให้ทางการมาจับพวกข้า ช่างเป็แผนที่ดีจริง ๆ ”
ยายอู่มองไปยังเสื้อคลุมเก่า ๆ ของเจินจูอย่างดูแคลนพลางถามกลับ “ท่านบอกว่าถูกสามีและแม่สามีไล่ออกมา หิวมาตลอดทางจนถึงวัดสุ่ยซังไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงได้มีเงินออมติดตัวมาตั้งห้าสิบตำลึง?”
เจินจูไม่มีคำใดจะพูดตอบ นางเพียงกางแขนทั้งสองข้างกันทางลงเขาไว้พลางกล่าวอย่างแน่วแน่ “ข้าเจินจูพูดคำไหนคำนั้น ไม่เบี้ยวแน่นอน ห้าสิบตำลึงสำหรับข้าไม่นับว่ามากมายอะไร ข้ามีให้อยู่แล้ว! ท่านทั้งสองเชื่อข้าสักครั้ง ทำดีได้ดี ถือว่าทำบุญให้ตัวเองอายุยืนยาว ยายเฉิง ท่านเองก็มีหลานสาว ลองมองพวกเขาแล้วคิดถึงหลานสาวท่านบ้าง ท่านกลับใจให้มีเมตตาเถอะนะ!”
ยายเฉิงถ่มน้ำลายใส่ปกเสื้อของเจินจูพลางด่าเสียงดัง “ถุย! พวกเกิดมาจากที่ต่ำตม อย่างไรก็ยังต่ำตม แม้แต่จะถือรองเท้าให้หลานสาวข้าก็ไม่คู่ควร นึกไม่ถึงว่าท่านจะกล้าเอาพวกนางมาเปรียบกับหลานข้า ท่านเบื่อชีวิตแล้วกระนั้นหรือ?” เมื่อหลายปีก่อน ลูกสาวของยายเฉิงได้เป็บ่าวรับใช้ให้ตระกูลผู้ดีตระกูลหนึ่ง ต่อมาเป็เพราะมีเืเนื้อเชื้อไขของคุณชายจึงกลายเป็เมียทาส หลังจากคลอดลูกสาวที่ฉลาดหลักแหลม รูปโฉมงดงามดังดอกไม้ จึงได้รับความเอ็นดูจากตระกูลผู้ดีนั้นเป็อย่างมาก ดังนั้นหลานสาวคนนี้จึงเป็ที่น่าภาคภูมิใจของครอบครัวยายเฉิง นางหวังไว้ทั้งใจว่าหลานจะแต่งออกไปยังตระกูลดี ๆ และฉุดดึงให้ครอบครัวได้อยู่บนกองเงินกองทองด้วย
ยายอู่ผลักเจินจูแล้วพูดเสียงเย็น “หากท่านมีเงินก็เอามาเดี๋ยวนี้ ไม่มีก็หลบไปเสีย มิเช่นนั้นกลับไปข้าจะฟ้องอาจารย์ของท่านแล้วท่านก็จะถูกลงโทษ!” เจินจูกัดริมฝีปากแน่นและยังคงไม่ยอมหลีกทางให้
“เอ้า นี่เงินของพวกท่าน” ด้านหลังของยายทั้งสองมีเสียงที่เ็ากว่าพูดสวนมา
ยายเฉิงและยายอู่หันกลับไปมองพร้อมกัน พวกนางเห็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่สวมชุดชิวไจ๋ทับด้วยชุดเอ่าฉวินสีอ่อนและคลุมเสื้อคลุมสีรากบัวยืนอยู่ด้านหลังของพวกนาง ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งนั้นงดงามหมดจด ดวงตาทั้งสองมองมาทางนี้อย่างสงบ สายลมในป่าพัดชายกระโปรงและผมของนางโบกสะบัดไปมาไม่หยุด ราวกับร่างของนางจะปลิดปลิวไปตามลม ยายเฉิงแก่เกินครึ่งชีวิตมาแล้ว แต่เมื่อได้มองความงามเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตาค้าง หากบอกว่าหลานสาวของนางเป็ดังดอกไม้งามดอกหนึ่ง เช่นนั้นคนที่อยู่ตรงหน้านี้คงจะเป็ถึงนางฟ้าแห่งดอกไม้แล้วกระมัง!
คนตรงหน้าทำให้นางเอาหลานสุดที่รักของนางมาเปรียบเทียบเสียแล้ว ทันใดนั้น ยายเฉิงก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ไว้หน้า “โอ้ ที่แท้ก็เป็คุณหนูเหอนี่เอง ท่านเป็ผู้ดีมีเงินไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงไร้มารยาทเยี่ยงนี้? เื่ภายในวัดสุ่ยซังของพวกข้าคงไม่ต้องลำบากให้ท่านเข้ามายุ่ง!” เมื่อวานตอนที่ถูกกักขังไว้ในเรือนฝูเหมียน นางได้ยินแม่ชีไท่ซั่นบอกว่าบางทีเหอตังกุยอาจจะช่วยขอร้องแทนพวกนางได้ ดังนั้นจึงนับว่าเหอตังกุยเป็ดั่งนางฟ้ามาโปรดจึงเชิดชูนางอยู่ตั้งนานนม
แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ยายเฉิงเองก็เปลี่ยนท่าที นางกลบเกลื่อนสายตาดูถูกไว้พลางมองประเมินเหอตังกุย ถุย! คุณหนูผู้สูงส่งอะไรกัน ก็แค่เด็กดื้อที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ วันนี้อาศัยอยู่ที่วัดสุ่ยซังของพวกเรา ต่อให้นางจะสวยสักเพียงไหน อนาคตหากแต่งออกไปก็เป็ได้เพียงอนุภรรยาเท่านั้น!
เหอตังกุยโดนขัดจังหวะการพูดทว่านางกลับไม่โกรธเคือง ั์ตาของนางมองไปยังยายเฉิงเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ในนี้มีเงินอยู่ห้าสิบตำลึง ไม่รู้ว่าพอจะยืดหยุ่นให้นำคนบนรถเข็นไปขายแก่ตระกูลดี ๆ ได้หรือไม่?”
ยายเฉิงรับถุงเงินมาด้วยความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เมื่อเปิดออกดู ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เบิกโพลง เงินห้าสิบตำลึง ห้าสิบตำลึงจริง ๆ ยายเฉิงเปลี่ยนท่าทีอีกครั้ง ผิวหน้าของนางมีสีแดงสว่างไสว ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบานปานดอกเบญจมาศ นางรีบพยักหน้ารับพลางตอบว่า “ได้ ๆ ๆ ฮ่า ๆ สมแล้วที่เป็คุณหนูตระกูลหลัว ยื่นมือเข้ามาช่วยได้สมศักดิ์ศรีนัก! คุณหนูเหอรูปร่างสะสวย จิตใจเมตตา อนาคตจะต้องได้แต่งกับสามีที่ดีเป็แน่!”
เหอตังกุยยิ้มน้อย ๆ “เช่นนั้นเื่นี้ก็รบกวนพวกท่านทั้งสองด้วย ขอให้เดินทางปลอดภัย”
เชิงอรรถ
[1] เฉียนจวน คือธนาคารจีนในสมัยโบราณ
[2] ก้วน คือหน่วยเงินที่เป็พวงเงิน โดย 两 (เหลี่ยง = ตำลึง) 1 两金 (ตำลึงทอง) = 10 两银 (ตำลึงเงิน) = 10 贯 (พวงเงิน)