ได้ยินคำพูดของหนานกงฉู่แล้ว ผู้คนด้านล่างเวทีหัวเราะแล้วหัวเราะเล่าอย่างดูแคลน คนที่หัวเราะคือเถี่ยมู่เหอ ยามที่ทะลวงด่านบรรลุปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาว หลังจากพลังยุทธ์รุดหน้ากว่าเดิมนับสิบเท่า เขาจึงได้ตระหนักอย่างลึกซึ้งถึงความน่าสะพรึงกลัวของจ้านอู๋มิ่ง ซึ่งมิสามารถใช้ระดับขอบเขตของปรมาจารย์นักยุทธ์มาชี้วัดพลังได้เลย พลังของคนผู้นี้ดุจดั่งมาจากส่วนลึกของจิติญญาเลยทีเดียว คล้ายดั่งมีสัตว์เทพในตำนานตัวหนึ่งหลับใหลอยู่ภายในจิติญญา ต่อให้ลืมตาขึ้นข้างหนึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้ใต้หล้าสั่นะเื เขาไม่คิดว่าตนจะสามารถเอาชนะหนานกงฉู่ได้ แต่หนานกงฉู่ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะกล่าวคำพูดเช่นนี้กับจ้านอู๋มิ่ง ต่อให้เวลานี้ร่างกายจ้านอู๋มิ่งได้รับาเ็อยู่ก็ตาม
คำพูดของหนานกงฉู่ทำให้สีหน้าของคนในสำนักบริบาลเดรัจฉานแปรเปลี่ยนและโกรธเคืองแล้ว แต่นี่คือสมรภูมิของจ้านอู๋มิ่ง พวกตนมิอาจสอดมือ เหมือนเช่นเดียวกับเจิงฉู่ไฉเมื่อสักครู่ หนานกงฉู่มีชื่อเสียงเลื่องลือต่อภายนอก บุรุษอ้วนเตี้ยของสำนักบริบาลเดรัจฉานกล่าวขึ้นอย่างกังวลใจอยู่บ้างว่า “ศิษย์พี่สาม ให้จ้านอู๋มิ่งลงมาเถอะ มีเื่ราวใดพวกเราล้วนรับไว้ก็แล้วกัน ตอนนี้เขาได้รับาเ็อยู่ จะส่งผลอย่างมากต่อการต่อสู้ แบบนี้ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง”
เลวี่ยเหวินซิวค้อนมองคนผู้นั้นคราหนึ่ง พูดอย่างอารมณ์มิค่อยดีนักว่า “เมื่อคืนเสียงคัดค้านของผู้ใดดังที่สุดเล่า พูดว่ากระไรนะ อัจฉริยะใดกันจึงคู่ควรให้สำนักนิกายเปิดประตูรับเข้าเป็ศิษย์อย่างเป็ทางการ…เป็อย่างไร ตอนนี้รู้จักห่วงใยขึ้นมาแล้ว”
“นี่มันคนละสถานการณ์กัน ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ข้ายอมรับผิดแล้วไม่ได้หรือ? คนที่ประเสริฐเช่นนี้ได้มาเป็ศิษย์หลานก็ไม่เลวอยู่ ท่านดูการแสดงออกของเขาในวันนี้ ต่อให้เป็ท่านอาจารย์ปู่ผู้เฒ่าทราบแล้วก็คงยินดีเปิดประตูสำนักรับเข้าเป็ศิษย์อย่างเป็ทางการมิใช่หรือ” คนอ้วนเตี้ยก็เปิดเผย ยอมรับผิดตรงๆ
“ข้าดูศิษย์หลานน้อยก็มิใช่ว่าจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน” ชายชราชุดเขียวครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น
“เื่ราวบนเวที พวกเราสอดมือยุ่งเกี่ยวไม่ได้ นี่คือข้อตกลงของเขากับสำนักกระบี่ิญญา แต่ว่าก็เหมือนอย่างที่ศิษย์พี่รองพูด เ้าหนูนี่มีลูกเล่นแพรวพราวอยู่ไม่น้อย ไม่เห็นว่าจะต้องพ่ายแพ้เสมอไป” เลวี่ยเหวินซิวครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น
“สหายน้อย เ้ามาผิดที่แล้ว ที่นี่คือเวทีการต่อสู้ เ้าดูสีหน้าของเ้าขาวผ่อง หน้ายังเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำนม กล่าววาจาก็ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม พูดอะไรตายเอย ศพเอย ไม่ดีเลย กลับไปหาแม่นมแล้วกินนมอีกสักหลายปีก่อนค่อยออกมาเดินเล่น เ้าดูพี่ใหญ่อย่างข้ามีกล้ามเนื้อ…ร่างเล็กๆ ผอมแห้งแรงน้อยคล้ายดั่งถั่วงอกของเ้า น้ำนมจะต้องดื่มให้เพียงพอจึงจะใช้ได้…” พูดพลางจ้านอู๋มิ่งเหยียดแขนออกจัดการม้วนแขนเสื้อขึ้นมา อวดกล้ามแขนให้ดู สีหน้าแสดงถึงการยียวน ไม่แยแสการท้าทายของหนานกงฉู่โดยสิ้นเชิง
จ้านอู๋มิ่งพูดจบ เยี่ยนซานตั้งคล้ายดั่งมีเสียงคางล่างร่วงหล่นพื้นดังตึง นี่ช่างเป็ยอดฝีมือแห่งการทะเลาะวิวาทจริงๆ ถ้าการด่าคนสามารถทำให้คนเสียชีวิตได้ละก็ คงไม่มีผู้ใดสงสัยอย่างแน่นอนว่าภายในหนึ่งวัน เขาสามารถทำให้บรรพบุรุษเฒ่า ผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่ิญญา ลงไปจนถึงสาวใช้และคนรับใช้ทั้งหมดล้วนถูกด่าจนเสียชีวิตหมดสิ้น
หนานกงฉู่ถือกำเนิดในตระกูลใหญ่ ดำเนินชีวิตอย่างสูงส่งั้แ่ยังเยาว์ ผิวละเอียดอ่อนเหมือนเด็ก รูปร่างผอม ทั้งสูงโปร่งอยู่บ้างจริงๆ เล่าลือกันว่าตระกูลหนานกงเริ่มฝึกปรือั้แ่เด็ก ตระกูลมีชุดทักษะการต่อสู้ระดับฟ้าชุดหนึ่ง พวกเขาฝึกฝนร่างกายให้มีความกะทัดรัดอย่างยิ่ง เช่นนี้จึงสามารถลดน้ำหนักของร่างกายได้อย่างเต็มที่ เพิ่มพูนความคล่องแคล่วว่องไวของร่างกาย เวลานี้ด้วยฝีปากของจ้านอุ๋มิ่ง กลับกลายเป็เด็กที่ดื่มน้ำนมไม่เพียงพอ ขาดสารอาหาร สมควรกลับบ้านไปดื่มนม นี่คือการตบหน้าและสร้างความอัปยศอดสูตรงๆ แต่การตบและสร้างความอัปยศเช่นนี้ จ้านอู๋มิ่งกลับพูดอย่างจริงจัง เป็เื่เป็ราว อวดเบ่งให้ดูรอบหนึ่ง…ความกล้านี้ยิ่งใหญ่เพียงไร กล้าเหยียดหยามสร้างความอัปยศให้บุคคลอันดับหนึ่งของการคัดเลือกใหญ่บนป้ายทอง
ใบหน้าที่ขาวและนวลเนียนของหนานกงฉู่เปลี่ยนเป็แดงก่ำทันที เป็ความโกรธเคือง คำพูดของจ้านอู๋มิ่ง ทำให้สิ่งที่ตนภาคภูมิใจมาตลอดกลายเป็ข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุด เขาพบว่าหากเกี่ยวกับการโต้คารม ตนยังห่างชั้นกับจ้านอู๋มิ่งสุดกู่ จ้านอู๋มิ่งก็คืออันธพาล เป็คนพาลดีๆ นี่เอง ตนที่เป็คนในตระกูลใหญ่จะทะเลาะวิวาทชนะได้อย่างไร
“เ้ารนหาที่ตาย!” หนานกงฉู่พูดสามคำนี้ขึ้นอย่างดุดัน
จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้ว มองหนานกงฉู่ด้วยรอยยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริพูดว่า “น้องชายน้อย เ้าเขินอายแล้ว ใบหน้าล้วนแดงหมดแล้ว อย่าได้เขินอายเช่นนี้ อย่าทำให้คนอื่นคิดว่าเ้ามิใช่เด็กผู้ชาย แต่เป็คนที่ไม่ชื่นชอบสตรี ถึงพี่ชายจะค่อนข้างมักมากก็จริง แต่สำหรับคนที่จิตใจไม่ใช่บุรุษ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ชื่นชอบ เ้าอย่าได้หน้าแดงต่อหน้าพี่ชายเลยจะประเสริฐกว่า”
รอยยิ้มที่ทำให้เลวี่ยเหวินซิวปวดฟันกลายเป็ชนวนจุดะเิไปเสียแล้ว หนานกงฉู่หมดความอดทน ลงมือด้วยความโกรธเคือง เขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มและการแสดงออกแสนกักขฬะหยาบคายเช่นนี้มาก่อน สายตานั่นและรอยยิ้มนั่น เหมือนกำลังมองดูลูกแกะเปลือยเปล่าตัวหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกว่าในสายตาของจ้านอู๋มิ่ง ตนเองก็คือคนที่มีรสนิยมชมชอบการตัดแขนเสื้อ[1] และถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่าคนหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้เขาหมดความอดทน
บรรดาอัจฉริยะบนเยี่ยนซานตั้งพบว่าการฟังคนด่ากันก็เป็เื่ราวที่น่าสนใจยิ่งเื่หนึ่ง ความหยิ่งผยองและหยาบคายของจ้านอู๋มิ่ง ความไร้ยางอายและแปลกประหลาดจนผิดปกตินี้ ถึงกับใกล้เคียงกันยิ่งนัก คนผู้หนึ่งต้องดำรงชีพอย่างตรงไปตรงมาก็สมควรเป็เช่นนี้ คำพูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้นก็สามารถทำให้บุคคลอันดับหนึ่งบนรายชื่อป้ายทองสูญเสียความสุขุมและมีเหตุผลไปแล้ว ลงมืออย่างบันดาลโทสะ ชนะไปก่อนแล้วในระดับหนึ่ง
“เฮ้อ เ้าก็คือศิษย์ของสำนักกระบี่ิญญาหรือ? รับเด็กที่ชอบการตัดแขนเสื้อเข้าสำนัก บาปกรรมจริงๆ!” เสียงถอนใจของจ้านอู๋มิ่งดังขึ้นพร้อมกับจังหวะที่หนานกงฉู่ลงมือ เหมือนกระบี่คมกริบเล่มหนึ่งแทงเข้าในใจของศิษย์สำนักกระบี่ิญญาทุกคน เจิงฉู่ไฉแทบจะกระอักออกมาเป็โลหิต บรรดาอัจฉริยะที่กำลังเข้าแถวมองดูศิษย์สำนักกระบี่ิญญาด้วยสายตาแปลกๆ มองจนรู้สึกขนลุกขนพอง พวกเขา้าจะเถียงว่าหนานกงฉู่มิใช่คนที่มีชื่นชอบบุรุษเพศ แต่สมควรจะเอ่ยปากพูดอย่างไรเล่า ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกคับแค้นใจยิ่งนัก
“เพียะ!” จ้านอู๋มิ่งเพิ่งพูดจบ หนานกงฉู่ก็โจมตีใส่บนร่างเขาแล้ว ยามนี้เขาจึงพบว่า ความเร็วของหนานกงฉู่เหมือนประกายสายฟ้าจริงๆ เขาแทบจะมิสามารถตอบสนองเร็วพอ ความเร็วนั้นเหมือนดั่งว่าจะสามารถผ่านห้วงเวลาและอากาศเลยทีเดียว
จ้านอู๋มิ่งถลาออกไปหลายก้าว ขณะเดียวกันก็ชกใส่หนานกงฉู่เป็การตอบโต้กว่าสิบหมัด แต่ชกถูกจริงๆ แค่สามหมัด หนานกงฉู่ถอยออกไปตอนที่จ้านอู๋มิ่งโจมตีตอบโต้ ยืนเว้นระยะห่างกับจ้านอู๋มิ่งอยู่สามวา
ทุกสิ่งเกิดขึ้นในชั่วพริบตา คนที่อยู่ด้านล่างเวทีมองดูจนตาลาย หนานกงฉู่ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนไม่ได้เคลื่อนไหวมาก่อนก็มิปาน จ้านอู๋มิ่งได้ถอยไปหลายก้าว ใบหน้าเป็สีแดง เห็นได้ชัดอย่างยิ่งว่าการโจมตีรอบนี้ จ้านอู๋มิ่งเสียเปรียบเล็กน้อย แต่ก็ไม่นับเป็อะไรมาก
“ความเร็วนับว่าไวจริงๆ เพียงแต่กินนมไม่เพียงพอ ขาดพลังไปบ้าง” จ้านอู๋มิ่งถอนหายใจคราหนึ่งพูดขึ้นอีก พูดจบยื่นมือปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าออกพูดอีกว่า “เด็กดื้อที่มิเชื่อฟังต้องถูกฟาดก้นนะ บอกชื่อของเ้าให้ข้าทราบ ดูว่าคู่ควรให้พี่ชายฟาดก้นของเ้าหรือไม่”
“หวังว่าเ้าจะสามารถหัวเราะถึงตอนท้ายสุด ข้ารู้สึกว่าหญิงสาวที่มาพร้อมกับเ้าหน้าตางดงามนัก หากเ้าตายแล้ว ข้าจะช่วยดูแลนางแทนเ้าเป็อย่างดี” หนานกงฉู่ตอบอย่างดุดัน
คำพูดเพิ่งกล่าวจบ ก็พบว่ารอยยิ้มบนหน้าจ้านอู๋มิ่งหายไปหมดสิ้น เป็ใบหน้าที่เย็นเยียบแทน
“เ้าทำให้ข้าโกรธสำเร็จแล้ว!” จ้านอู๋มิ่งพูดอย่างเฉยชา ในน้ำเสียงที่สงบราบเรียบ แต่แฝงรังสีการฆ่าฟันและความน่าสะพรึงกลัว
“ข้าชอบดูคนเวลาคนโกรธ ยิ่งชื่นชอบฟังเสียงร้องน่าอนาถมากกว่า ร้องโหยหวนน่าสมเพชจวบจนโลหิตหลั่งไหลจนหมดสิ้น…” หนานกงฉู่แลบปลายลิ้น คล้ายดั่งหวนคำนึงถึงรสชาติของกลิ่นคาวเื
“เ้าต้องได้ยินเสียงร้องอย่างน่าอนาถแน่นอน…” จ้านอู๋มิ่งพูดพลางลุกขึ้นยืน พลันดูเหมือนเก็บงำประกาย ซุกซ่อนพลังชีวิตทั้งมวล กลายเป็ต้นไม้ที่ตายซากต้นหนึ่ง เงียบสงัดและลึกล้ำยิ่ง
เลวี่ยเหวินซิวถอนหายใจยาวคราหนึ่ง ความเร็วของหนานกงฉู่บรรลุขั้นสุดยอดแล้วจริงๆ ต่อให้เป็เขาเอง ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถรับมือกับกระบวนท่าของอีกฝ่าย จะเห็นได้ว่ากระบวนท่าของตระกูลหนานกงเป็หนึ่งในใต้หล้าจริงๆ เขาเริ่มกังวลว่าจ้านอู๋มิ่งจะคลี่คลายท่าร่างที่รวดเร็วยิ่งของหนานกงฉู่อย่างไร เวลานี้จ้านอู๋มิ่งเก็บงำลมหายใจ ใช้ความสงบสยบการเคลื่อนไหว ถึงแม้วิธีนี้ไม่เลวก็จริงแต่ก็สูญเสียการเป็ฝ่ายรุกไป
บางเวลาการเป็ฝ่ายรุกสำคัญยิ่ง ทันทีที่สูญเสียการเป็ฝ่ายรุก อาจต้องจ่ายค่าตอบแทนนับสิบเท่าเพื่อให้ได้กลับคืนมา ยามนี้จ้านอู๋มิ่งกลับละทิ้งการเป็ฝ่ายนำไป ทำให้คนจำนวนมากไม่เข้าใจ สายตาหนานกงฉู่กลับมีแววชมเชยขึ้นวูบหนึ่ง
หนานกงฉู่เคลื่อนไหวแล้ว ลากยาวเป็ภาพเงามายาสายหนึ่ง ห่อหุ้มร่างกายจ้านอู๋มิ่งไว้ภายในอย่างแ่า บรรดาคนของสำนักนิกายและอัจฉริยะในกลุ่มผู้ชมรู้สึกถึงแรงกดดันที่ทำให้หายใจไม่ออกชนิดหนึ่ง ความเร็วเช่นนี้จะให้ผู้คนรับมือเช่นไร จากล่างขึ้นบน จ้านอู๋มิ่งเหมือนอยู่ในป่าเงามนุษย์ผืนหนึ่ง เขาสงบนิ่งมิมีการเคลื่อนไหวใดๆ และเงาร่างรอบตัวก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย จากหนึ่งเปลี่ยนเป็สิบ สิบเปลี่ยนเป็ร้อย ร้อยเปลี่ยนเป็พัน พันเปลี่ยนหมื่นและสุดท้ายก็กลายเป็ลมพายุสายหนึ่ง
ถูกต้อง ลมพายุ เงาร่างของหนานกงฉู่ขับเคลื่อนอากาศทุกตารางนิ้ว ยามที่ร่างกายขยับหมุนอย่างรวดเร็ว พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ก็หมุนตามรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงแตกเพียะพะดังขึ้นกลางอากาศอันเกิดจากการเสียดสีอย่างรุนแรง เศษหินดินทรายทั่วทั้งสี่ทิศแปดทาง ตลอดจนเศษกิ่งไม้หักและใบไม้แห้ง ค่อยๆ ถูกพลังพายุหมุนนี้ชักนำขึ้นมา…
“นี่ก็คือฤทธิ์เดชของมหาวาตะฟ้าของตระกูลหนานกงหรือ?” สายตาเจิงฉู่ไฉเปล่งประกายความโลภขึ้นชั่ววูบ นี่เป็เพียงการต่อสู้ระหว่างปรมาจารย์นักยุทธ์ผู้หนึ่งกับปรมาจารย์นักยุทธ์อีกผู้หนึ่ง หากตนสามารถฝึกมหาวาตะฟ้าสำเร็จ ในหมู่บรรดาจักรพรรดิายังจะมีคนสามารถชนะตนเองได้สักกี่คน ตำแหน่งในสำนักของตนต้องพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน สายตาเจิงฉู่ไฉที่มองหนานกงฉู่ยิ่งนานยิ่งซับซ้อนมากขึ้น คนผู้นี้คือลูกศิษย์ที่ตนรับเข้ามาใหม่ นี่ก็คือโอกาสที่ดีมากโอกาสหนึ่ง…
ใจกลางลมพายุคลั่งเงียบสงบ จ้านอู๋มิ่งดุจดั่งหลวงจีนเฒ่าก็มิปาน ยืนอยู่อย่างนิ่งสงบ ยามเขามองหนานกงฉู่ที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มีอาการวิงเวียนศีรษะชนิดหนึ่ง แต่เขาก็มิอาจไม่ใส่ใจหนานกงฉู่ เนื่องเพราะเขาไม่ทราบว่าหนานกงฉู่จะลงมือเมื่อไร ดังนั้นอารมณ์ของจ้านอู๋มิ่งรู้สึกตึงเครียด แต่ไม่ใส่ใจมิได้ เขาทราบว่าขืนเป็เช่นนี้ต่อไปต้องไม่ได้การแน่
“วิทยายุทธ์ของตระกูลหนานกงพิเศษจริงๆ เหมือนเช่นลาแก่ลากโม่หินนั่นเอง หมุนไปรอบๆ อยู่ตลอดเวลา เ้าวิ่งแล้วไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรืออย่างไร? พี่ชายยืนอยู่ตรงนี้แทบจะหลับแล้ว…” เสียงของจ้านอู๋มิ่งดังลอดมาจากใจกลางลมพายุคลั่ง ยังคงกระฉับกระเฉงและสงบเยือกเย็น ทำให้ทุกคนประหลาดใจยิ่งนัก หนานกงฉู่ผู้นั้นยังไม่เปิดฉากโจมตีอีกหรือ? ไฉนจ้านอู๋มิ่งจึงได้รู้สึกสบายๆ เช่นนี้? ทุกคนนึกถึงภาพของลาแก่ลากโม่หิน กลับมีส่วนคล้ายกับสภาพในเวลานี้ของหนานกงฉู่อยู่บ้างจริงๆ ด้วย หมุนวนจนคนเวียนศีรษะมีประโยชน์อันใด มิสามารถทำอะไรผู้อื่นได้
คำพูดของจ้านอู๋มิ่งเพิ่งจบลง ลมพายุคลั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทันใด ฝ่ามือนับไม่ถ้วนยื่นออกมาจากกลางลมพายุคลั่ง โจมตีใส่ใจกลางแกน ทันใดนั้นถึงกับมีหนานกงฉู่จำนวนมากมายนับมิถ้วนลงมือพร้อมกัน มือแต่ละข้างจริงแท้แน่นอนกระไรปานนั้น
“ตูมมม…” ท่ามกลางลมพายุคลั่งเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นนับมิถ้วนพร้อมเสียงแค่นขึ้นเบาๆ ของจ้านอู๋มิ่ง หลังจากนั้นแล้ว พลันลมพายุคลั่งก็ควบแน่นขึ้นมา ร่างของจ้านอู๋มิ่งคล้ายดาวตกดวงหนึ่ง ร่วงหล่นบนพื้นอย่างหนักหน่วง
ร่างที่เป็ไอเป็เืของจ้านอู๋มิ่งยังมิทันลุกขึ้น ลมพายุควบแน่นก็หมุนวนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความเร็วสุดเปรียบปาน ครอบคลุมร่างจ้านอู๋มิ่งไว้ภายในลมพายุอีกครั้ง
ขณะที่จ้านอู๋มิ่งหายลับไปต่อหน้าต่อตาทุกคนอีกครั้ง ทุกคนล้วนสูดหายใจอย่างหนาวเหน็บคราหนึ่ง นี่ยังใช่จ้านอู๋มิ่งที่หยิ่งผยองคนนั้นอีกหรือ เสื้อผ้าบนร่างของเขาฉีกขาดยาวเป็ชิ้นๆ ริ้วรอยาแเต็มไปหมดบนร่างกายที่แต่เดิมแข็งแรงและเพรียวบาง
การโจมตีของหนานกงฉู่รวดเร็วเพียงใด? ระหว่างหนานกงฉู่และจ้านอู๋มิ่งเกิดเื่ใดขึ้น? ถึงกับโจมตีจนจ้านอู๋มิ่งอเนจอนาถถึงเพียงนี้ ควรทราบว่าความแข็งแกร่งของกายเนื้อจ้านอู๋มิ่ง ประเสริฐกว่าอาหนานที่ใช้พลังชีพจรสายเืบรรพบุรุษค่างคิงคองมหาปฐีเสียอีก นี่ก็คือผู้ที่อยู่ในอันดับหนึ่งของรายชื่อคัดเลือกใหญ่บนแผ่นป้ายทอง แค่เฉพาะความเร็ว ในขอบเขตระดับเดียวกัน ผู้ใดสามารถเป็คู่มือของเขาได้อีก?
เล็บของเลวี่ยเหวินซิวจิกลงในฝ่ามือ แต่เขากลับไม่รู้สึกเ็ปเลยแม้แต่น้อย จิตสมาธิของเขาอยู่ที่การต่อสู้ของจ้านอู๋มิ่งและหนานกงฉู่จนหมดสิ้น ตลอดจนไม่ได้สังเกตว่าเวลาที่เจิงฉู่ไฉมองมาทางเขา สีหน้าแสดงออกถึงความพึงพอใจ
[1] สื่อถึงการชมชอบเพศเดียวกัน มาจากเื่เล่าในยุคสมัยโบราณของฮ่องเต้ผู้หนึ่งกับคนสนิทของเขา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้