เมื่อหลิวเสี่ยวหลันนําลูกชิ้นปลาไปให้ซูจื่อเยี่ย หลิวเต้าเซียงก็ห่อลูกชิ้นปลาที่พักเย็นด้วยใบตอง และหากล่องไม้ไผ่สานที่มีฝาปิดสี่มุมมาใส่ลงไป หลิวซานกุ้ยเดินไปตรงหน้านาง แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “ลูกรัก ความคิดของอาเล็ก เ้ารู้ใช่หรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงที่กําลังหยิบตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นมาดูอย่างมีความสุขรู้สึกใกับใบหน้าดำคล้ำของผู้เป็พ่อ
“ท่านพ่อ ทำอะไรน่ะ เื่นี้ทุกคนก็รู้ไม่ใช่หรือ?”
หลิวเต้าเซียงไม่เข้าใจว่าเขาโกรธเพราะอะไร หลังจากคิดดู คงไม่ใช่ว่าพ่อรู้สึกว่าการกระทำของหลิวเสี่ยวหลันไม่เหมาะสมหรอกนะ?
เมื่อพินิจก็เข้าใจทันที นางยิ้มแล้วเอ่ย “ท่านพ่อ อาเล็กเพิ่งจะอายุไม่เกินเจ็ดขวบ เื่หมั้นหมายของนางก็ต้องให้ท่านปู่กับท่านย่าเป็คนจัดการ”
หลิวเต้าเซียงตั้งใจจะบอกพ่อของตนว่าอย่าได้เดือดเนื้อร้อนใจเื่นี้ แต่หลิวซานกุ้ยกลับนึกว่าหลิวเต้าเซียงกำลังบอกว่า เื่ของอาเล็กนั้นเป็ความตั้งใจของหลิวต้าฟู่กับหลิวฉีซื่อ
“ท่านพ่อกับท่านแม่กระทำการโง่เขลาเช่นนี้ เท่ากับเป็การทำลายน้องเล็กไม่ใช่หรือ?”
หลิวเต้าเซียงเบะปากอย่างดูแคลนไปยังทิศทางที่หลิวเสี่ยวหลันเดินไป ปู่กับย่าโง่เขลาหรือ? ทั้งที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยังปล่อยให้หลิวเสี่ยวหลันทำตามใจ หากไม่ใช่เพราะหมายใจคุณชายซูจื่อเยี่ยที่เป็คุณชายสูงศักดิ์และบ้านมีอำนาจหรอกหรือ!
“ท่านพ่อ ถึงอย่างไรอาเล็กก็ยังเด็กนัก คุณชายเตรียมตัวจะจากไปอยู่แล้ว ท่านพ่อจะเคืองไปด้วยเหตุใด?”
คำพูดของบุตรสาวทำเอาหลิวซานกุ้ยพูดไม่ออก
อีกด้านหนึ่ง ซูจื่อเยี่ยรับลูกชิ้นปลาที่หลิวเสี่ยวหลันนํามาให้แล้ว
ลูกชิ้นปลาสีขาว หัวหอมสีเขียวขจี กลิ่นหอมของซอสอ่อน มองไปที่ของในชาม ช่างทำให้นิ้วของเขาสั่นเทา
เขาหยิบช้อนตักหนึ่งลูกเข้าปากเพื่อลิ้มรส เนื้อปลาที่เด้งอยู่ในปาก กลิ่นหอมวนเวียนอยู่ในลิ้นและฟัน ทำให้เขาไม่สนใจภาพลักษณ์ แล้วกินอีกหลายลูก ถึงสูดหายใจลึก
อย่างน้อยแม่สาวน้อยก็ยังมีมโนธรรมอยู่บ้าง ไม่เสียแรงที่เขาทำดีกับนาง แล้วยังคิดเพื่อนางมากมาย
ขณะที่กินลูกชิ้นปลาชามนี้ หัวใจของซูจื่อเยี่ยรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ตอนนั้นควรกล่าวกับแม่นางตัวน้อยไปว่า ให้นางไปกับตนเอง ดูจากรสมือของนางไม่แน่ว่าอาจจะได้กินอิ่มสุขสบายกว่าอยู่ที่บ้านหลังนี้
จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ เกรงว่าแม่สาวน้อยคงไม่รับปาก เขาจำตอนที่นางคุยกับท้องฟ้าได้ว่า นาง้าจะเป็ชนสูงศักดิ์ และเป็เศรษฐินีที่สร้างตำนานกล่าวขาน
ในตอนนั้นเขาคิดว่าความคิดของนางไร้สาระ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทำให้เขาประหลาดใจ เด็กสาวที่ทั้งอ่อนแอและตัวเล็ก ไม่มีใครคิดว่าจะดื้อรั้นถึงเพียงนี้ นางคิดสิ่งใดได้ก็ลงมือทำ เขาได้มองดูนางค่อยๆ หลุดพ้นจากเงื้อมมือของยายเฒ่าหลิว แล้วยังทำให้คนในครอบครัวคล้อยตามความคิดของนางได้
จากนั้นก็นึกเื่เมื่อตอนเช้าได้ ตอนที่หลิวซานกุ้ยออกไปจับปลา ส่วนหลิวเสี่ยวหลันและครอบครัวยังไม่ตื่น
นางเหมือนลูกหนูตัวเล็กที่แอบวิ่งมาใต้หน้าต่างห้อง แกล้งทำเป็ซักผ้า แล้วก็แอบเคาะห้องของเขา จากนั้นก็รีบชักมือเล็กนั้นกลับไปอย่างรวดเร็ว
ซูจื่อเยี่ยเห็นท่าทีของนางก็นึกสนุก มองดูนางทำเช่นนั้นอยู่หลายรอบ หากไม่ใช่เพราะได้ยินเสียงหลิวต้าฟู่กับหลิวฉีซื่อตื่นขึ้น เขายังตั้งใจจะแกล้งนางต่ออีกสักพัก
หลังจากเปิดหน้าต่าง ก็เห็นนางแหงนมองขึ้นมา ดวงตากลมโตแวววาว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไรแผลงๆ อีกแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็มีความคิดบางอย่างปรากฏขึ้นในใจ และไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้ เขาซึ่งเป็คุณชายที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เพียงแค่ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ตัดสินใจดีดนิ้วบนหน้าผากของนาง “มีอะไร?”
หลิวเต้าเซียงร้องโอ๊ยเสียงเบา ยื่นมือไปลูบหน้าผาก น้ำตาคลอเบ้าและมองเขาด้วยสายตาโกรธเคือง “ข้ารู้ว่าเ้าต้องไป ที่ผ่านมาทำไม่ดีต่อเ้ามากมาย นี่เ้ากำลังเอาคืน”
เอ๋ แม่สาวน้อยก็รู้ดีอยู่แล้วนี่นา
ซูจื่อเยี่ยยิ้มร้าย งอนิ้วมือและดีดอีกครั้ง!
หลิวเต้าเซียงหมั่นเขี้ยว แต่ไม่กล้าส่งเสียงดัง วินาทีถัดมาก็มองเห็นรอยยิ้มพิฆาตของเขาที่ทำเอาดวงตาของนางถึงกับบอดไปชั่วขณะ
์ หล่อเกินไปแล้ว เทพบุตรสุดหล่อหน้าไหนก็สู้ไม่ได้
พ่อเนื้อหอม ไหนยิ้มอีกทีสิ วันนี้นางยินดีไม่กินข้าวก็ได้
ดวงตาของซูจื่อเยี่ยเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ทุกครั้งที่เห็นนางทำตัวไม่ถูกแล้วกัดฟันสู้จ้องตาโตไม่ยอม หัวใจของเขาก็เต้นตึกตักๆ
“นี่ให้เ้า เราสองคนไม่ติดค้างกันอีกต่อไป”
หลิวเต้าเซียงทั้งเขินและโกรธ ปัดมือปีศาจที่ยื่นมาหยิกแก้มของตนเอง แล้วก็ยัดกระเป๋าเงินสี่ตำลึงไว้ในอ้อมอกของเขา จากนั้นก็เดินจากไปด้วยท่าทีบึ้งตึง
ขณะเดินก็สาปแช่งเขาไปด้วยว่า กินข้าวขอให้สำลัก อยากผายลมก็ผายไม่ออก หิวน้ำก็ไม่มีน้ำให้ดื่ม…
ห่างออกไปไม่ไกลยังคงได้ยินนางบ่น “ขอให้อัดอั้นตาย…”
หลิวเสี่ยวหลันจ้องมองไปที่ซูจื่อเยี่ย เมื่อครู่นางไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่ นางกะพริบตาด้วยความไม่อยากเชื่อ แล้วมองไปที่เขาอย่างจริงจังอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มออกมาจริงด้วย นี่เป็เพราะรู้สึกดีกับการแสดงออกของนางวันนี้หรือ?
“คุณชายน้อย ลูกชิ้นปลาเป็เช่นไรบ้าง?”
“ดีมาก!” ซูจื่อเยี่ยซึ่งไม่ค่อยยกย่องผู้คน แต่ขณะนี้กล่าวชมด้วยความเบิกบานใจ
หลิวเสี่ยวหลันมีความคิดบางอย่างจึงเอ่ย “คุณชายน้อยชอบก็ดีแล้ว ไม่เสียแรงที่ลุกขึ้นมาทำแต่เช้า ลูกชิ้นปลานี่ทำไม่ง่ายเลย ทั้งเสียเวลาและใช้แรงมากนัก”
ซูจื่อเยี่ยนึกภาพเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่มัดผมสองจุก แล้ววิ่งวุ่นอยู่หน้าหินโม่อย่างยุ่งเหยิง จึงตอบรับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ต้องใช้ความตั้งใจมากจริงๆ”
หลิวเสี่ยวหลันตอบทันที “นั่นสิ ท่านแม่ข้าบอกว่ากลัวจะทำให้เ้าตื่น ข้าบอกว่าไม่เป็ไร ขอเพียงคุณชายน้อยได้ทานเป็พอ วันนี้พี่สามของข้าไปจับปลามา ลูกชิ้นปลานี้ทำมาจากปลาเฉา ในโรงครัวยังเหลืออีกมาก ตระเตรียมไว้เรียบร้อย ถึงเวลาจะได้ไว้ให้คุณชายน้อยกินระหว่างทาง”
“เป็ความคิดที่ดี” ซูจื่อเยี่ยพอใจมากที่หลิวเต้าเซียงใส่ใจอย่างละเอียดเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำชามที่สดใหม่อร่อยให้เขา แต่ยังเตรียมไว้ให้เขากินระหว่างทางอีกด้วย หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่สถานะของตนเอง เขายังอยากให้แม่สาวน้อยทำให้เขาอีกสองชาม
หลิวเสี่ยวหลันคิดเพียงว่าซูจื่อเยี่ยพอใจกับการทุ่มเทของตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงยิ้มมีความสุขกว่าเดิม
ขณะนั้นหลิวฉีซื่อเข้ามาถูกจังหวะ จึงยิ้มแล้วเอ่ย “คุณชายน้อย ทานอาหารเช้าแล้วหรือ”
สายตาของซูจื่อเยี่ยกวาดมองเบาๆ เหนือชามกระเบื้องที่ขณะนี้ไม่เหลือลูกชิ้นปลาแม้แต่ลูกเดียว
“ลูกชิ้นปลาชามนี้ไม่เลวทีเดียว”
ขณะกินก็ได้กลิ่นของเนื้อปลา แต่กลับไม่มีก้างปลา หัวใจของเขาถึงกับมีชีวิตชีวา เพียงแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองหลิวเสี่ยวหลันกับหลิวฉีซื่อนั้น ก็รีบหลุบตาลงเพื่อบดบังความรังเกียจในแววตา ภาพที่คิดไว้เมื่อครู่ก็หายไปหมดสิ้น
ถ้าไม่ใช่เพราะอาการาเ็ของตัวเอง หรือถ้าไม่ได้เจอแม่สาวน้อยที่น่าสนใจ เกรงว่าเขาคงจากไปแต่เนิ่นแล้ว ไม่มีทางอยู่เผชิญหน้ากับคู่แม่ลูกที่มีจิตใจต่ำช้าเช่นนี้
ถูกต้อง ขณะนี้หลิวฉีซื่อจ้องมองเขาราวกับมองดูบุตรเขยอย่างไรอย่างนั้น ส่วนหลิวเสี่ยวหลันก็มองดูเขาด้วยสายตาวิงวอนให้พานางไปด้วย
สิ่งที่แม่ลูกคู่นี้้า เขามองออกได้ในปราดเดียว เพียงแต่เขาไม่ได้เปิดเผยมันออกมา
ซูจื่อเยี่ยกินอาหารเช้าเสร็จ หลิวเสี่ยวหลันก็รีบทำความสะอาดโต๊ะแล้วถือลูกชิ้นปลาที่หลิวเต้าเซียงเตรียมไว้ก่อนหน้านี้
“คุณชายน้อย นี่คือน้ำใจเล็กน้อย ได้โปรดอย่ารังเกียจ”
หลิวเสี่ยวหลันคนนี้เดินวนเวียนอยู่รอบตัวเขาั้แ่เช้า พูดอย่างไรก็วกเข้าเื่ที่ลูกชิ้นปลาทำจากฝีมือนาง
ฮึ่ม! ช่างหน้าไม่อายเหลือเกิน ลูกชิ้นปลานี่ทำโดยแม่สาวน้อยแท้ๆ โชคดีที่ตนเองมีวิทยายุทธ์ในการฟังสูง แล้วคอยจับตาดูแม่สาวน้อยตลอด มิเช่นนั้นคงถูกหลิวเสี่ยวหลันขโมยผลงานไปอย่างแน่นอน
ซูจื่อเยี่ยไม่ได้ปริปาก เพียงแค่วางจอกน้ำชาในมือลงแล้วมองไปทางลานบ้าน ขณะนี้เป็่เจ็ดนาฬิกาเศษ ใกล้จะถึงเวลาที่นัดกับพ่อบ้านไว้ เพียงแต่ยังไม่เห็นใครมา จึงเริ่มเป็กังวล
หลิวเสี่ยวหลันเห็นว่าเขาเริ่มดูกังวลเมื่อไม่เห็นใครมา “คุณชายน้อยคงกังวลว่าคนของเ้าไม่รู้จักเส้นทางใช่หรือไม่ ข้าจะช่วยไปดูที่ประตูให้”
ซูจื่อเยี่ยฟังอย่างไร้ความรู้สึก จากนั้นหูกระดิกเล็กน้อย จึงตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “ไม่จำเป็”
เสียงนั้นฟังออกถึงการปฏิเสธอย่างชัดเจน หลิวฉีซื่อที่ยืนอยู่ข้างหลิวเสี่ยวหลันเองก็สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย คุณชายท่านนี้ปรนนิบัติยากเสียจริง เพียงแค่คำพูดเป็ห่วงเป็ใยของบุตรสาว กลับคิดมาก ฟังจากน้ำเสียงเดาว่าคงโกรธเคือง
หลิวฉีซื่อไม่เข้าใจว่าเหตุใดประโยคก่อนหน้าของซูจื่อเยี่ยก็ยังคุยดีอยู่ แต่ประโยคถัดมากลับเปลี่ยนเป็อีกอย่าง
ชั่วขณะนั้นในห้องไม่มีใครส่งเสียง ได้ยินเพียงเสียงของหลิวเต้าเซียงที่เรียกให้หมูที่อยู่ในคอกหลังบ้านมากินอาหาร
ใบหน้าเ็าของซูจื่อเยี่ยพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็ครุ่นคิด
แม่ตัวดี เขากำลังจะกลับเมืองหลวงแล้ว ยังมาเล่นลูกไม้นี้ ช่างเป็สาวน้อยที่น่าหมั่นเขี้ยวจริง ทำอย่างไรดี คันไม้คันมือ อยากจับแม่สาวน้อยคนนี้มาตีก้นสักที ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกชิงชังความรู้สึกนี้
ส่วนหลิวฉีซื่อที่อยู่ด้านข้างถึงกับใ คุณชายน้อยท่านนี้เหตุใดสีหน้าจึงยิ่งดูแย่? นางกับบุตรสาวทำอะไรให้เขาเคืองโกรธหรือ?
นางเห็นว่านี่ใกล้ถึงจังหวะที่คุณชายจะจากไปแล้ว อย่างไรก็ไม่ควรทิ้งภาพความทรงจำที่ไม่ดี
ดังนั้น นางจึงส่งสัญญาณให้หลิวเสี่ยวหลันไปเตรียมน้ำชาให้คุณชายเพิ่ม
“ไม่ต้อง!” ซูจื่อเยี่ยเห็นการเคลื่อนไหวของหลิวเสี่ยวหลัน จึงรีบโบกมือ ล้อกันเล่นน่า การแกล้งทำตัวสูงส่งก็เหนื่อยมากพอแล้ว ั้แ่นั่งอยู่ตรงนี้ หลิวเสี่ยวหลันผู้นี้ก็เติมน้ำชาให้เขาสองรอบ ถ้าเติมอีก เขาคงต้องวิ่งเข้าห้องน้ำ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขา้า
ขณะนั้นเอง ตรงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงล้อเกวียนดังขึ้น
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงม้าสีแดงพุทราสองตัวที่ขนเป็มันลื่นแวววาวบดบังประตู และจอดแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
“มาแล้วหรือ?” หลิวฉีซื่อจ้องมองออกไป เพียงปราดเดียวก็รู้ว่าม้าสองตัวนี้มีมูลค่า ไม่แน่ว่าอาจจะสูงถึงหนึ่งร้อยตำลึง
“อืม!” เสียงของซูจื่อเยี่ยฟังดูผ่อนคลายลงมาหน่อย
ตรงทางเข้าลานบ้านมีผู้อารักขาที่พกดาบยาวจำนวนหกคน บนร่างสวมเกราะทองแดง แรงสังหารนั้นทำเอาบรรยากาศภายในลานบ้านถึงกับแน่นิ่งไม่ไหวติง
หลิวซุนซื่อกับหลิวจูเอ๋อร์ที่ถูกหลิวฉีซื่อไล่ให้กลับไปอยู่ในห้องทิศตะวันออก ขณะนี้กำลังแอบดูจากหน้าต่าง
ทันทีที่ผู้อารักขาเหล่านี้เข้ามาในประตู รัศมีความน่าเกรงขามก็แผ่มาทางห้องทิศตะวันออกทำเอาทั้งสองคนถึงกับเข่าอ่อนสั่นไม่ไหยุด
จนกระทั่งชายร่างผอมเพรียวสวมชุดฉางเผา [1] สีคาราเมลปรากฏตัวขึ้นตรงทางเข้าลานบ้าน ตรงเอวมีหัวเข็มขัดเป็หยกน้ำดีหนึ่งชิ้น ท่วงท่ากินเดินมีมาดดี อายุราวสามสิบปี
เห็นเพียงว่าเขาเข้าไปในประตูลานบ้านและตรงดิ่งเข้าไปในห้องโถง ชัดเจนว่าเขารู้แล้วว่าผู้เป็นายของตนอยู่ที่แห่งใด
หลังจากที่เข้าไปในห้องโถง หลิวจูเอ๋อร์เอ่ยเสียงสั่น “ท่านแม่ อาเล็กเหมือนจะปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่เชียวล่ะ”
หัวใจของหลิวซุนซื่อก็เย็นเฉียบเช่นกัน หากรู้ว่าคุณชายน้อยมีที่มาเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็คงยอมแตกคอกับหลิวเสี่ยวหลัน
-----
เชิงอรรถ
[1] ฉางเผา 长袍 คือชุดโบราณของผู้ชาย เป็ชุดคล้ายกระโปรงยาวลงมาตัวเดียว ดังในรูป

