ชุนเฉ่ากับต้าฮัวมองดูตู้ิเจวียน แค่ผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนของนางตนก็สามารถเลี้ยงดูครอบครัวตัวเองได้ทั้งชีวิต มีสาวรับใช้กับบ่าวคอยสั่งงาน มิน่าที่ครอบครัวชีเหนียงดีขึ้นมาได้ ที่แท้ก็รู้จักกับชนชั้นสูงนี่เอง
เมื่อเห็นว่าบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ชีเหนียงจึงไม่พูดให้มากความ จากนั้นเริ่มจดจ่อกับการทำอาหาร
วันนี้มีแขกมาก จึงจัดโต๊ะไว้สามโต๊ะ ก่อนอื่นนางทำอาหารประเภทเนื้อเช่นปลาต้มผักกาดดอง ไก่นึ่งสับ ขาหมูอบซีอิ๊ว หมูเค็ม จากนั้นก็แก้เลี่ยนด้วยการทำผัดผักและผัดเห็ดหูหนูผักรวมกับหมู รวมๆ กันแล้วเป็กับข้าวสิบห้าถึงสิบหกอย่างบนโต๊ะทุกตัว
คนในหมู่บ้านที่มานั้น ล้วนเคยช่วยเหลือสกุลลั่วมาก่อนและยินดีไปมาหาสู่กับบ้านสกุลลั่ว สำหรับพวกเขา ชีเหนียงยินดีควักเงิน กระทั่งข้าวขาวก็นึ่งไว้สองถังใหญ่ แม้จะเป็นักกินตัวยงอย่างจ้าวจือชิงก็รับรองว่าอิ่มแน่นอน
ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องจัดพิธีก่อน สมาชิกสกุลลั่วทั้งสี่คุกเข่าลง ฝูอันรับหน้าที่เป็ผู้ดำเนินพิธี
“์เบื้องบน ปฐีเบื้องล่าง วันนี้นายท่านหลิงชางไห่กับชีเหนียงแห่งสกุลลั่วพบกันด้วยวาสนา พร้อมทั้งมีบุญคุณต่อกัน สองครอบครัวจักกลายเป็ครอบครัวเดียวกันนับแต่นี้เป็ต้นไป
นายท่านหลิงชางไห่ขอรับชีเหนียงสกุลลั่วไว้เป็บุตรี ชีเหนียงสกุลลั่วจะเทิดทูนดั่งญาติผู้ใหญ่ ลั่วชีเหนียง เ้ายินดีหรือไม่?”
ชีเหนียงโน้มตัวคุกเข่าอย่างศรัทธา “ข้า ลั่วชีเหนียง ขอนับถือหลิงชางไห่เป็บิดา ยินดีเลี้ยงดูจนแก่เฒ่าจนกว่าชีวิตท่านจะหาไม่”
เมื่อสิ้นเสียง หลิงชางไห่ที่อายุเลยครึ่งร้อยอดตื้นตันไม่ได้ ดวงตาคู่นั้นมีน้ำตาคลอเบ้า
ไหลไหลน้อยเห็นแล้วสงสาร จึงรีบลุกขึ้นจากพื้น “ท่านปู่หลิงไม่ร้องนะ ต่อไปไหลไหลจะเชื่อฟังท่านปู่หลิงอย่างดี”
ฝูอันได้ยินถึงกับยิ้มและช่วยแก้ไข “ต่อไปต้องเปลี่ยนเป็เรียกท่านตาแล้วนะ”
ไหลไหลเงยหน้าขึ้น เผยรอยยิ้มฟันน้ำนมแสนน่ารักและส่งเสียงใสแจ๋ว “ท่านตา! ท่านตา!”
“จ้า จ้า จ้า!” หลิงชางไห่ดีใจและตอบรับติดต่อกันสามครั้ง
ชีเหนียงดึงไหลไหลกลับมา สมาชิกทั้งสี่โค้งศีรษะคำนับหลิงชางไห่อย่างพร้อมเพรียงกัน ชีเหนียงเป็คนนำ
“ท่านพ่อ ชีเหนียงขอพาลูกๆ คำนับให้ท่าน!”
“ท่านตา ลั่วจิ่งเฉินขอคำนับท่าน!”
“ท่านตา ลั่วจิ่งซีขอคำนับท่าน!”
“ท่านตา! ลั่วจิ่งไหลขอคำนับท่าน!”
หลิงชางไห่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป เขาปาดน้ำตาและสะอื้นตอบรับ “ดี ดี ลุกขึ้นเร็ว ลุกขึ้นเร็ว”
ขณะพูดก็ล้วงค่าเปลี่ยนคำเรียกออกมาและแจกซองแดงหนาให้ทุกคนคนละซอง
“ขอบพระคุณท่านตา!”
เด็กๆ รับซองแดงและขอบคุณอย่างมีมารยาท หลังจากทุกคนนั่งลง งานเลี้ยงก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างคึกคัก
......
จางเฉียงที่จับตาดูความเคลื่อนไหวของสกุลลั่วมาตลอด ดวงตาหางตกชั้นเดียวคู่นั้นกลอกไปมา ฉับพลันก็วิ่งสาวเท้ากลับไปรายงานเฉินเจ๋อิในอำเภอ
เมื่อได้ยินว่าลั่วชีเหนียงถึงขั้นถูกหลิงชางไห่ หัวหน้าโรงแพทย์หลวงรับเป็ลูกสาวบุญธรรม เฉินเจ๋อิถึงกับเผยความไม่พอใจออกมา
คนที่ครอบครัวตนเองคอยประจบประแจงอยากคบหาด้วยกลับไปนับญาติกับสาวบ้านนอกคนหนึ่ง นี่ไม่เห็นตระกูลเฉินของพวกเขาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นเฉินเจ๋อิก็นึกถึงข่าวที่จางเฉียงสืบมา “ใครก็ได้!”
เขายกมือขึ้นและกระซิบข้างหูบ่าวไม่กี่คำ
หึ เขาไม่เชื่อว่าครอบครัวเล็กๆ ในบ้านนอกจะพลิกแพลงทำอะไรได้! มีตระกูลตู้เป็ที่พึ่งพิงแล้วอย่างไร? ตอนนี้ตระกูลตู้เองก็แค่ดิ้นรนกระเสือกกระสนเท่านั้นเอง
......
ลั่วชีเหนียงมิได้รู้เลยแม้แต่น้อยว่าครอบครัวของตนถูกเฉินเจ๋อิจับตาอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้นางเพียงแค่ยุ่งกับการหาเงินและจัดแจงเื่การเรียนให้แก่ลั่วจิ่งเฉินและน้องๆ
“ข้าโตเพียงนี้แล้ว ยังต้องไปเรียนที่สถานศึกษาหรือ?” ลั่วจิ่งซีไม่มีความสนใจในการเรียนั้แ่เด็กแล้ว มิเช่นนั้นจากความสัมพันธ์ของเขากับลั่วจิ่งเฉิน จนถึงตอนนี้แล้วคงไม่ถึงขั้นรู้จักตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว
ดังนั้นเขาจึงเล่นตัวไม่ยอมไปเรียน
“นอกจากนี้ หากข้าไปเรียน ใครจะช่วยท่านทำงานในร้าน” ลั่วจิ่งซียิ้มแย้มและเกาะแกะข้างกายลั่วชีเหนียงเพื่อทุบบ่าให้นางอย่างประจบประแจง น้ำเสียงนั้นเอาอกเอาใจอย่างชัดเจน
“ที่บ้านก็มีแค่ท่านตาคนเดียว ไม่สะดวกจริงๆ แล้ว่นี้ในบ้านทำหลุมดิน คนเข้าออกขวักไขว่ ต้องมีคนดูแล ข้าเกิดมาพละกำลังเยอะ งานอื่นอาจช่วยไม่ได้ แต่เื่ขายแรงงานล่ะก็ ข้าทำได้”
นับั้แ่ชีเหนียงเผยความคิดอยากให้พวกเขาไปเรียน ไหลไหลน้อยก็ตื่นเต้นอย่างไม่ต้องสงสัย กระทั่งลั่วจิ่งเฉินที่ไม่ค่อยเผยความรู้สึกก็ประหม่าเช่นกัน มีเพียงลั่วจิ่งซีที่วันๆ เอาแต่คิดว่าจะโดดเรียนอย่างไร
ชีเหนียงมิใช่คนที่ไม่รู้เื่และไร้เหตุผล คนบางคนเกิดมามิได้มีศักยภาพในการเรียน แต่การไม่รู้หนังสือเลยก็ไม่ไหว
ดังนั้น ไม่ว่าลั่วจิ่งซีจะเอาใจนางอย่างไร นางก็ไม่หวั่นไหว
“เื่เรียนจำเป็ต้องไป ตัวหนังสือจำเป็ต้องรู้ หลักเหตุผลก็ต้องเข้าใจเช่นกัน ข้าไม่บังคับให้เ้าสอบจอหงวน เพียงแค่เรียนรู้หลักของการเป็คน” ่ที่ผ่านมาชีเหนียงดูออกว่าลั่วจิ่งซีค่อนข้างสนใจการทำมาค้าขาย เดิมคิดว่าจะเป็ไหลไหลน้อยที่ตระหนี่และเห็นแก่เงิน ต่อมาถึงค่อยๆ มองออก
ที่ไหลไหลน้อยใส่ใจเื่เงินเพราะสมัยก่อนที่บ้านยากจน ไม่ค่อยได้กินอิ่มอยู่บ่อยครั้ง เขาจึงเหลียวแลเื่ถุงเงินเป็พิเศษ แต่ความใส่ใจที่มีต่อเงินของลั่วจิ่งซีกลับไม่ใช่แบบนี้ นับั้แ่ตนเริ่มเปิดร้านค้าขนาดใหญ่ ลั่วจิ่งซีมักจะเข้าใกล้เพื่อฟังและคอยบอกกล่าวความคิดเห็นของตนอยู่บ่อยครั้ง
นางถึงตระหนักได้ว่า ลั่วจิ่งซีมีไหวพริบด้านการค้าขาย เพียงแต่แม้จะมีไหวพริบอย่างไร ก็จำเป็ต้องรู้หนังสือก่อน
“เอาเช่นนี้ สถานศึกษาอยู่ในอำเภอพอดี ร้านค้าก็อยู่ในอำเภอ เ้าต้องไปเรียน่ครึ่งเช้า ส่วนครึ่งบ่ายค่อยมาช่วยข้าที่ร้าน ดีหรือไม่?”
ลั่วจิ่งซีทำปากย่นและไตร่ตรอง ถึงอย่างไรก็อยู่ห้องเรียนไม่ถึงสองชั่วยาม อดทนหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไป
“เพียงแต่ เ้าห้ามทำเป็เล่นในห้องเรียน แม่จะให้จิ่งเฉินจับตาดูเ้าไว้”
ชีเหนียงอ่านความคิดเ้าเล่ห์ในใจเขาออกในปราดเดียว
ลั่วจิ่งซียิ้มทะเล้นและรับประกัน “ท่านแม่ ท่านไม่เชื่อใจข้าอีกหรือ! ข้ารับปากแล้ว ก็ต้องทำได้แน่นอน แม้ว่าข้าจะไม่มีความสามารถเป็จอหงวนได้เหมือนพี่ใหญ่ แต่แค่เรียนอักษรไม่กี่ตัว ล้มข้าไม่ได้หรอก”
หลังจากทั้งครอบครัวหารือกันเรียบร้อย ก็ตั้งใจไว้ว่าจะส่งลูกเข้าเรียนหลังปีใหม่
่เวลาก่อนปีใหม่ ลั่วจิ่งซีกับหลิงชางไห่ดูแลที่บ้าน จ้าวจือชิงกลายเป็ผู้อารักขาของชีเหนียง คอยรับส่งชีเหนียงไปอำเภอทุกเช้าเย็น
ทั้งครอบครัวมีชีวิตอบอุ่น แต่การที่ชีเหนียงมีชายหนุ่มคอยตามด้านหลังทุกวัน คงไม่เหมาะสมนัก
บังเอิญชีเหนียงเห็นว่าจ้าวจือชิงหายดีพอสมควร จึงอยากให้เขาเลิกทำเช่นนี้ ซึ่งประจวบเหมาะกับผู้ใหญ่บ้านฝูอันส่งข่าวคราวจากบ้านสกุลจ้าวมาพอดี
“คนสกุลจ้าวอยากให้จ้าวจือชิงกลับไป ก็ควรไปหาเ้าตัวเอง เหตุใดจึงมาหาข้า?” ชีเหนียงสับสนเล็กน้อย ตนเองมิใช่เ้าของจ้าวจือชิง ไม่มีเื่อะไรไยต้องมาหานางด้วย? หรือพวกเขาคิดว่านางจับจ้าวจือชิงมัดขาไม่ให้เขาไปหรือไร?
ตนเองแทบอยากให้เขารีบไปให้ได้ ตอนนี้คนสกุลจ้าวมาหาถึงที่ นางจะได้อาศัยโอกาสนี้ส่งคนกลับไป
ผู้ใหญ่บ้านมีหรือจะไม่ทราบเื่ที่จ้าวจือชิงตื๊อที่จะขออยู่บ้านสกุลลั่ว ยามปกติพี่หลิวกลับบ้านก็มักพร่ำบ่นเื่นี้ไม่น้อย โดยบอกว่าจ้าวจือชิงคิดไม่ซื่อ สายตาที่เ้าทึ่มมองชีเหนียงพราวระยับ ราวกับว่าจะกลืนกินชีเหนียงเข้าไปในท้องเสียให้ได้
-----