หลังจากทุกคนเดินทางมาถึง พวกเขาพบว่าที่นี่เต็มไปด้วยซากต้นไม้เก่ามากมาย
ชายหนุ่มทั้งสามคนเดินไปที่ต้นไม้คนละต้น ก่อนจะลงมือใช้ขวานจาม
ส่วนเซี่ยโม่นั้นครุ่นคิดอยู่สักครู่ ตั้งใจจะไปหาจุดเหมาะๆ สักที่เพื่อฝึกใช้ระบบจัดเก็บของโกดังสินค้า
“พี่ซ่งคะ ฉันเห็นข้างหน้ามีเห็ดขึ้นอยู่เต็มไปหมด ฉันไปเก็บเห็ดตรงโน้นนะคะ จะได้เอากลับไปทำอาหารเที่ยงนี้” เธอหาข้ออ้างเพื่อไม่ให้คนอื่นระแคะระคาย
“ฉันจะรอเธออยู่ตรงนี้ อย่าไปไกลล่ะ” ซ่งมู่ไป๋ถอนหายใจ เขาทราบดีว่าเด็กสาวมักเถลไถล พอเห็นอะไรน่าสนใจก็เปลี่ยนความคิดไปตามสิ่งที่เจออยู่เรื่อย
“ทราบแล้วค่ะ” เด็กสาวพยักหน้ารับพร้อมแย้มยิ้ม คำพูดของอีกฝ่ายทำให้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
เซี่ยโม่สะพายตะกร้าเดินแยกไปอีกทาง พร้อมกับคิดคำว่า ‘เก็บ’ ในใจ
กิ่งไม้แห้งที่ตกอยู่บนพื้นในระยะห้าตารางเมตรเข้าไปอยู่ในโกดังสินค้าโดยพลัน
เธอเดินเรื่อยไปตามทาง ก่อนจะเห็นว่าข้างหน้าไม่ไกลมีเห็ดจีทุ่ย[1]ขึ้นเต็มไปหมด
เห็ดที่ขึ้นบนเขาส่วนใหญ่มักจะเป็เห็ดฟาง น้อยมากที่จะพบเจอเห็ดชนิดนี้ รสชาติของมันดีมากทีเดียว
ครั้งนี้ไม่คิดใช้ระบบจัดเก็บของโกดังสินค้า เธอตั้งอกตั้งใจขุดพวกมันอย่างระมัดระวัง
เธอเก็บไปได้เกือบครึ่งตะกร้า พอเห็นว่าแถวนี้ไม่เหลือเห็ดให้เก็บเพิ่มจึงลุกขึ้นยืนแล้วออกเดินต่ออย่างอารมณ์ดี
ทันใดนั้นเองสายตาพลันเหลือบไปเห็นพวงผลไม้สีเขียวที่อยู่แถวพุ่มไม้ด้านข้าง
เซี่ยโม่จำได้ทันทีว่านั่นคือผลของต้นฉื่ออู่เจีย[2]
นี่เป็ครั้งแรกที่เธอเจอสมุนไพรชนิดนี้บนเขา ทั้งตอนนี้ยังเป็ฤดูที่เหมาะต่อการเก็บเกี่ยวมันพอดี
ผลของฉื่ออู่เจียมีสรรพคุณช่วยขยายหลอดเื ลดความดันโลหิต และช่วยบำรุงร่างกายได้เป็อย่างดี ส่งผลดีต่อผู้ป่วยที่เป็โรคเกี่ยวกับม้ามและกระเพาะอาหาร ทั้งยังช่วยรักษาอาการปวดเอว ปวดเข่า เบื่ออาหาร และโรคนอนไม่หลับ
สมุนไพรตัวนี้ช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าของร่างกาย ช่วยรักษาภาวะซึมเศร้า ช่วยป้องกันเส้นเืในสมองตีบและภาวะไขมันในเืสูงได้ ยิ่งไปกว่านั้นสมุนไพรตัวนี้มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคหัวใจของคุณยายได้อีกด้วย
เธอรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะโชคดีขนาดนี้
ตอนเช้าแม่ของเสี่ยวเฮยไม่เพียงเอากวางยอง ซึ่งเป็อาหารชั้นดีมามอบให้ ่สายขึ้นเขามายังได้เจอต้นฉื่ออู่เจียอีก
หลังจากเด็ดเอาผลของต้นฉื่ออู่เจียมาได้เรียบร้อย จังหวะที่จะออกเดินต่อสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างในพุ่มไม้เสียก่อน สิ่งนั้นมีลักษณะยาวและเป็สีขาว
ใหญ่เหลือเกิน คืองูไม่ใช่หรือนั่น
แม้ทุกครั้งที่ขึ้นเขาเธอจะระมัดระวังตัวอย่างดี พกหรดาลที่ซื้อมาจากร้านยาติดตัวอยู่เสมอ แต่เธอก็ยังระแวงว่าพวกงูตัวใหญ่บางตัวจะไม่กลัวหรดาลอยู่เหมือนกัน
ที่พึ่งสุดท้ายของเธอก็คือยาพ่นฉีดไล่แมลงที่อยู่ในโกดังสินค้า
เซี่ยโม่หยิบออกมาเตรียมไว้ หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัวขณะเดินย่องออกจากตรงนี้
แต่เธอกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เหตุใดงูสีขาวตัวเมื่อครู่ถึงได้นอนนิ่งเช่นนั้น
เธอสืบเท้าเข้าไปใกล้พร้อมพ่นยาใส่มัน แต่มันก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
เด็กสาวมีความกล้ามากขึ้น มือหยิบเอากิ่งไม้แถวๆ นั้นมาลองจิ้มไปที่ตัวมัน ตอนนี้ถึงค่อยทราบว่า สิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่งูแต่เป็ซากจากการลอกคราบของงูต่างหาก
ขึ้นมาเก็บสมุนไพรบนเขาก็บ่อยครั้ง แต่ยังไม่เคยพบงูตัวใหญ่เท่านี้มาก่อน
เซี่ยโม่หยิบคราบงูขึ้นมาม้วนแล้วใช้เถาวัลย์มัดเอาไว้ ก่อนจะเดินกลับไปหาพวกพี่ซ่งอย่างเบิกบานใจ
ไปถึงพบว่าพวกพี่ซ่งตัดฟืนกันได้จำนวนไม่น้อย
“ทุกคนสุดยอดไปเลยค่ะ ถ้าเป็ฉันคงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะตัดได้เยอะเท่านี้” เห็นทุกคนตัดฟืนกันขันแข็งดีเลยอดเอ่ยชมไม่ได้
ซ่งมู่ไป๋คิดถึงนิสัยที่ชอบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเด็กสาวก็ไม่นึกแปลกใจ
“ใครใช้ให้เธอชอบเปลี่ยนใจไปเรื่อยล่ะ เก็บเห็ดมาได้เยอะเลยเหรอ แล้วลูกสีเขียวๆ นั่นคืออะไร” ชายหนุ่มเอ่ยแซว ก่อนจะถามถึงผลอะไรสักอย่างที่ไม่คุ้นตา
เธอพูดอย่างโอ้อวด “นี่คือผลของฉื่ออู่เจียค่ะ เป็สมุนไพรตัวหนึ่ง ฉันเพิ่งเคยเจอบนเขาเป็ครั้งแรก ฤดูนี้เหมาะจะเก็บมันพอดี แล้วฤดูร้อนปีหน้าฉันค่อยมาเด็ดใบอ่อนกับต้นของมันไปทำยา”
ต่อมาซ่งมู่ไป๋สังเกตเห็นว่าเด็กสาวถืออะไรติดมือมาด้วยจึงถามด้วยความสงสัย “แล้วนั่นล่ะคืออะไร”
“นี่คือคราบของงูค่ะ ใช้เป็ยาได้เหมือนกัน” เธอชูมือขึ้นพลางอธิบายอย่างภาคภูมิใจ
สีหน้าชายหนุ่มตึงเครียดและขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด พลันยื่นมือมาจับมือเธอก่อนจะจูงไปอีกด้าน แล้วเอ่ยอย่างเป็ห่วงเป็ใย “โม่โม่ ต่อไปอย่าขึ้นเขามาเก็บสมุนไพรอีกได้ไหม”
เซี่ยโม่มองสีหน้าเคร่งเครียดของคนตรงหน้าพลางถามอย่างไม่เข้าใจ “เพราะอะไรคะ”
ชายหนุ่มตอบกลับมาทันที “เด็กโง่ ระวังตัวหน่อยสิ มีคราบงูตัวใหญ่ขนาดนี้แปลว่าที่นี่มีงูตัวใหญ่อาศัยอยู่ เธอก็ตัวเล็กแค่นี้ เกิดไปเจอมันเข้าจะทำยังไง ได้ถูกมันจับกินพอดี”
เธอถึงได้เข้าใจ ที่แท้พี่ซ่งเป็ห่วงเธอนั่นเอง
หัวใจดวงน้อยๆ ของเธอทั้งรู้สึกหวานล้ำและอบอุ่น
เธออธิบายเพื่อให้อีกฝ่ายวางใจ “พี่ซ่ง ฉันพกหรดาลติดตัว พวกงูกลัวสิ่งนี้ มันไม่เข้ามาใกล้ฉันแน่นอนค่ะ”
แต่ชายหนุ่มตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะหงุดหงิด “ไม่กลัวหนึ่งหมื่นแต่กลัวหนึ่งในหมื่น[3] ถ้าเธอเกิดไปเจองูตัวที่จมูกไม่ดีจะทำยังไง ถ้าเธอขาดแคลนเงิน ฉันให้เธอก็ได้ ฉันมีเงิน มีเยอะด้วย ไม่เพียงเลี้ยงดูเธอได้ เลี้ยงดูครอบครัวเธอทั้งครอบครัวก็ยังได้”
อีกฝ่ายคิดจะเลี้ยงดูเธอ?
แม้เซี่ยโม่จะรู้สึกซาบซึ้ง แต่เธอไม่เคยนึกอยากได้เงินของอีกฝ่าย
อีกอย่างความสัมพันธ์ของพวกเธอก็แค่มีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน ยังไม่ถึงขั้นคู่หมั้นคู่หมาย ดังนั้นสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอออกจะมากเกินไปสักหน่อย
“พี่ซ่ง ฉันไม่มีทางเอาเงินของพี่เด็ดขาด ฉันมีแขนมีขา ไม่ได้้าให้พี่มาเลี้ยงดูฉันและครอบครัว อีกอย่างพวกเราก็ยังไม่ได้หมั้นกัน หรือต่อให้หมั้นกันฉันก็จะหาเงินด้วยตัวของฉันเอง” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง
ซ่งมู่ไป๋ถอนหายใจ คงเป็เพราะเด็กสาวมีความคิดเด็ดเดี่ยวแบบนี้กระมังถึงได้ดึงดูดเขา
เขามองแววตาใสกระจ่างของเด็กสาวก่อนจะพูดบ่นอย่างไม่จริงจังนัก “เธอมีเหตุผลเสมอ งั้นอย่างน้อยเธอรับปากฉันได้ไหมว่าจะระวังตัว”
เซี่ยโม่พยักหน้าก่อนจะเปลี่ยนเื่คุย “นี่ก็สายมากแล้ว ฉันกลับบ้านไปทำเนื้อกวางตุ๋นก่อนนะคะ พวกพี่กลับไปจะได้กินได้เลย”
เพื่อนสองคนของซ่งมู่ไป๋พอได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่อยู่บ้างเลยเอ่ยออกมา “น้องสาว รีบกลับไปทำอาหารเถอะ ตรงนี้เดี๋ยวพวกเราจัดการเอง”
“เดี๋ยวฉันไปส่งดีกว่า จะได้เอาฟืนบางส่วนกลับไปไว้ที่บ้านก่อนด้วย” ซ่งมู่ไป๋กล่าวอย่างไม่วางใจ
เซี่ยโม่กุมขมับ พี่ซ่งคงเห็นเธอเป็ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบกระมัง
เธอขึ้นเขาลงเขาทุกวันจนชินแล้ว แต่จะว่าไปความรู้สึกที่มีคนให้ความสำคัญมันก็ช่างดีเหลือเกิน
พี่ซ่งหน้าตาดี การงานมั่นคง น่าจะมีผู้หญิงมาชอบหลายคน ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีต่อเธอจะยาวนานสักแค่ไหน เธอไม่อยากผูกมัดเขา เป็แบบที่เป็อยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว
หากวันหนึ่งเขาปันใจไปชอบคนอื่น ก็แค่แยกจากกันไปแค่นั้น
ชาติที่แล้วถึงเธอจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่เธอก็ยังคงรู้สึกว่างเปล่า ไม่มั่นใจตัวเองในเรื่ิองพวกนี้เท่าใดนัก
เซี่ยโม่ก้าวเดินไปข้างหน้า ใบหน้าเล็กก้มลงตลอดทาง ซ่งมู่ไป๋ที่เดินตามอยู่ด้านหลังตัวสูงกว่าเด็กสาวหนึ่ง่ศีรษะ เห็นเด็กสาวมีท่าทางเช่นนั้นจึงยื่นมือไปลูบหัวเธอเบาๆ “กำลังคิดอะไรอยู่”
ลูบหัวอีกแล้ว
“ไม่ได้คิดอะไรค่ะ” เซี่ยโม่ส่ายหน้า
“ไม่ชอบให้ฉันอยู่ด้วยเหรอ”
เธอส่ายหน้าอีกครั้ง “ฉันแค่ไม่รู้ว่าพี่จะอยู่กับฉันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ฉันกลัวว่าวันหนึ่งจะไม่ชินกับการอยู่คนเดียวอีกต่อไป”
ซ่งมู่ไป๋รู้ถึงความคิดของเด็กสาวทันที
“นอกเสียจากฉันจะไม่อยู่แล้ว ขอแค่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็จะอยู่กับเธอแบบนี้ตลอดไป” เขากล่าวอย่างหนักแน่นประหนึ่งให้คำมั่นสัญญา
“จริงเหรอคะ”
“ฉันสาบานให้ก็ได้นะ ถ้าฉันผิดคำสาบานขอให้…”
เซี่ยโม่มีสีหน้าใ การที่เธอได้กลับชาติมาเกิดใหม่ทำให้เธอเชื่อเื่พวกนี้พอสมควร
เธอเขย่งเท้า พลันใช้สองมือปิดปากชายหนุ่มเอาไว้ ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ทั้งยังรื้นไปด้วยหยาดน้ำ “ห้ามพูดนะคะ ฉันเชื่อแล้ว”
ซ่งมู่ไป๋รับรู้ได้ถึงความนุ่มนิ่มจากมือของเด็กสาว ใจเขาพลันอ่อนยวบจนแทบละลายกลายเป็น้ำ เขายิ้มอย่างโง่งมออกมา
“เธอเชื่อฉันนะ แล้วก็จำเอาไว้ว่าฉันจะคอยเป็ห่วงและคอยอยู่เคียงข้างเธอเสมอ ชีวิตนี้ฉันจะอยู่กับเธอตลอดไป” น้ำเสียงอันแ่เบาแต่หวานหูของชายหนุ่มดังลอดผ่านฝ่ามือเด็กสาว
-----------------------------
[1] เห็ดจีทุ่ย คือ เห็ดถั่วฝรั่ง
[2] ฉื่ออู่เจีย คือ โสมไซบีเรีย
[3] ไม่กลัวหนึ่งหมื่นแต่กลัวหนึ่งในหมื่น แม้มีโอกาสน้อยนิดที่จะมีเื่ผิดพลาดเกิดขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็ไปได้ ดังนั้นทางที่ดีควรหาทางป้องกันเอาไว้ก่อน
