หลายวันผ่านไป ทุ่งหญ้าสีเืยังคงแดงสดดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมทั้งสองเผ่ายังไม่เปิดศึกกันอีก? พวกมันคิดว่ากำลังมาเล่นสร้างบ้านกันอยู่หรืออย่างไร?” เฟิงจื่อถามติดต่อกันมาหลายวัน มองดูเผ่าปีศาจและเผ่าคนเถื่อนที่สงบนิ่งอยู่ห่างออกไป พูดออกมาอย่างมีโทสะแต่ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้
ฮวาเฉ่าเองก็มีสีหน้าเบื่อๆ เซ็งๆ ขึ้นมาเช่นเดียวกัน เดิมทีคิดว่าจะได้ดูเื่สนุกสักหน่อย แต่ไม่คาดคิดว่าหลายวันมานี้ทุ่งหญ้าสีเืจะอยู่ในบรรยากาศที่แสนเงียบสงบ ราวกับว่าพวกเขาหลายแสนคนมาเดินตากลมชมดาวกันอย่างไรอย่างนั้น “มันก็จริง หรือว่าพวกเราจะส่งคนไปก่อกวนพวกมันดี? เผื่อพวกมันจะได้เริ่มสู้กันขึ้นมาสักที?”
“อย่าไปเสียเวลาเลย ถึงแม้เผ่าปีศาจและเผ่าคนเถื่อนโดยส่วนมากระดับสติปัญญาจะไม่สูงส่งมากนัก แต่อย่างน้อยก็ยังมีพวกที่เฉลียวฉลาดอยู่บ้าง คิดว่าพวกมันคงคาดเดาจุดประสงค์ของพวกเราออกถึงได้ไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ...รอๆ ดูไปก่อน อีกไม่กี่วันเดี๋ยวพวกมันก็ร้อนรนกระวนกระวายเอง ถ้าหากยังเงียบสงบอยู่อย่างนี้จริงๆ พวกเราค่อยไปยึดฐานที่มั่นเทพแห่งความตายโดยตรง แล้วปล่อยให้พวกมันมาสู้รบแย่งชิงฐานที่มั่นเทพแห่งิญญากันเองก็แล้วกัน!” เย่ชิงหานปากคาบต้นหญ้าสีเืต้นหนึ่งพลางพูดออกมาอย่างสบายอกสบายใจ
เย่ชิงอู่ที่อยู่ด้านขวามองดูเย่ชิงหานคาบต้นหญ้าสีเื คิ้วนางขมวดขึ้นอย่างรู้สึกขัดตาจึงเอ่ยปากพูดขึ้น “เ้าหนูหาน เ้าอย่าเอาแต่คาบต้นหญ้าสีเืได้ไหม? มองดูแล้วน่าสะอิดสะเอียนพิลึกอย่างไรก็ไม่รู้!”
“เอ่อ...” เย่ชิงหานถูจมูกอย่างขัดเขินจากนั้นถ่มต้นหญ้าทิ้งไปและคิดอยู่ภายในใจ พี่สาวตัวน้อย เ้าก็อย่าเอาแต่เรียกข้าว่าเ้าหนูหานไม่ได้รึ? เพราะไม่ว่าจะพูดอย่างไรตอนนี้ข้าก็เป็ยอดฝีมือคนหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียกขานเช่นนี้มันทำให้นึกถึงพวกขันทีหน้าขาวในวังที่เคยดูในซีรี่ย์ชาติที่แล้วเลย...
“เฮ้อ...ไม่ดูมันแล้ว ไปฝึกยุทธ์ดีกว่า!” เฟิงจื่อและฮวาเฉ่ามองตากัน จากนั้นหันหัวกลับไปยังกระโจมที่พักด้วยความหมดอาลัยตายอยาก
“อืม ข้าก็จะกลับไปแล้วเหมือนกัน เ้าอยู่ดูคนเดียวไปเถอะ!” เย่ชิงอู่มองดูเย่ชิงหานครั้งหนึ่ง ภายในดวงตาปรากฏความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างผ่านวาบขึ้นมา ตอนนี้สิ่งที่นางมีเหนือกว่าเย่ชิงหานมีเพียงพลังปราณรบที่แข็งแกร่งกว่าหน่อยหนึ่ง นางกลัวว่าหากนางไม่ขยันฝึกฝนความเหนือกว่าที่มีอยู่อย่างน้อยนิดนี้จะหายไปไม่เหลือ ดังนั้นจึงอยากที่จะกลับไปฝึกยุทธ์เช่นเดียวกัน
.................................
“ว่าอย่างไรน่ะ?”
จุดพรมแดนเชื่อมต่อระหว่างสามเขตปกครอง ภายในนครแห่งเทพที่ตั้งเด่นอยู่สูงล้ำเหนือสิ่งทั้งมวล
ถูเชียนจวินเพิ่งจะจบการเก็บตัวฝึกฝนและทำการเลื่อนขั้นพลังฝีมือจนถึงระดับขั้นที่สองขอบเขตจ้าวนักรบได้เป็ผลสำเร็จ เดิมทีอารมณ์ดีเป็อย่างมาก แต่ไม่คิดว่าเพิ่งจะออกจากการเก็บตัวฝึกฝนก็พลันได้รับข่าวสารที่ทำให้อารมณ์เสียจนทำให้สีหน้าที่สดใสเปลี่ยนเป็ดำคล้ำขึ้นในทันที
“ข้อมูลได้รับการยืนยันแล้วใช่ไหม? ไอ้ลูกพันธุ์ผสมที่ต่ำต้อยนั้นสามารถอาศัยพลังฝีมือเพียงคนเดียวสยบกองทัพนับหมื่นได้? สามารถสังหารเยาขาข่าได้ในพริบตา? สามารถสังหารผู้มีพลังฝีมือระดับขั้นสูงสุดขอบเขตราชันย์ปีศาจและราชันย์คนเถื่อนได้ในพริบตา? เป็ไปไม่ได้ ไม่น่าที่จะมีเคล็ดวิชาที่แหกกฎ์เช่นนี้ได้ อานุภาพเทียบได้กับเคล็ดวิชาระดับเทพเชียวนะ มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย...” ถูเชียนจวินก้มหน้าลง สายตาทอประกายแสงวูบวาบไปมาอยู่ไม่ขาด ใบหน้าที่หล่อเหลาเปลี่ยนเป็บิดเบี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย
“เรียนคุณชาย ข่าวกรองได้รับการยืนยันอย่างไม่ต้องสงสัย จากการสืบข่าวจากหลายๆ ที่และสถานการณ์บนเกาะแห่งความมืดมิดที่เป็อยู่ในตอนนี้ล้วนเป็สิ่งยืนยันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณยอดเขาขาดได้เป็อย่างดี ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะมาสนใจพลังฝีมือและวิชาต่อสู้ร่างอสูรของเย่ชิงหาน สิ่งที่พวกเราควรให้ความสนใจในตอนนี้คือจะจัดการเื่ราวต่อจากนี้ให้จบลงด้วยดีอย่างได้อย่างไร คาดว่าทางฝ่ายเขตปกครองเทพาคงรู้แล้วว่าคุณชายอยู่เื้ัการสั่งการให้ทั้งสองเผ่าโจมตีพวกเขาในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางฝ่ายเผ่าปีศาจเยาขาข่าบุตรชายคนเดียวของหนึ่งในสองปีศาจศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่าตาย พวกเขาคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ส่วนเผ่าคนเถื่อนก็คงจะผสมโรงหาเื่ขึ้นมาด้วยแน่ๆ เื่นี้เริ่มจัดการยากขึ้นทุกทีแล้ว...”
ชายชราในชุดเสื้อคลุมสีทองที่มีใบหน้าคลุมเครือมองไม่ค่อยชัดเจนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของถูเชียนจวินเอ่ยขึ้น ฟังจากน้ำเสียงที่พูดออกมานั้นแก่หง่อมเป็อย่างมาก
“มาดามันเถอะ ทำไมเื่ถึงได้กลายเป็เช่นนี้ไปได้?” ถูเชียนจวินเมื่อได้ฟังถึงได้นึกขึ้นมาได้ สีหน้าเริ่มดูไม่ดีขึ้นไปอีก บุตรชายเพียงคนเดียวของเยาเสปีศาจศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าปีศาจถูกฆ่าตาย แน่นอนว่าเขาคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่ ส่วนเผ่าคนเถื่อนล้วนเป็พวกสมองหยักเดียวอีกคาดว่าคงถือโอกาสนี้ก่อเื่ราวขึ้นอีกเป็แน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขตปกครองเทพายิ่งไม่ต้องพูดถึง ทายาทผู้สืบทอดของหลายตระกูลใหญ่เกือบต้องตายกันหมด คงหนีไม่พ้นที่พวกตาแก่เ่าั้จะต้องะโออกมาทวงถามถึงเื่นี้อย่างแน่นอน
ทั้งสามเขตปกครองอยากที่จะก่อเื่นั้นเขาไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเท่าใดนัก ด้วยอำนาจบารมีของนครแห่งเทพพวกตาแก่เ่าั้คงไม่กล้าลงมือกับเขาแน่
แต่ที่กลัวก็คือเมื่อพวกเขาทำให้เป็เื่ขึ้นมาแล้วแพร่กระจายไปทั่วนครแห่งเทพ ถ้าหาก...จ้าวเทวะรู้เื่เข้าละก็เขาคงได้ตายอย่างไม่ต้องสงสัย และบิดาของเขาก็คงพลอยเดือดร้อนไปด้วยแน่ นึกถึงสายตาเ็าของชายร่างผอมเล็กคนนั้น ขยับมือเท้าแต่ละครั้งล้วนเต็มไปด้วยพลังอานุภาพที่น่าหวาดหวั่น นึกถึงวิธีการจัดการที่เหี้ยมโหดและเด็ดขาดของเขา ถูเชียนจวินอดไม่ได้ที่จะมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมาจนเปียกชุ่มไปทั่วแผ่นหลัง ในเวลานี้เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
“คุณชาย เื่นี้...ข้าว่าให้นายท่านถูเสินเว่ยช่วยจัดการจะดีกว่า หาไม่แล้วละก็ผลลัพธ์อาจจะยิ่งเลวร้ายกว่าที่คิดไว้ก็เป็ได้!” ชายชราแก่หง่อมพูดเตือนขึ้นมาอีกครั้ง
“ใช่ๆ ไปหาให้ท่านพ่อช่วย เขาจะต้องมีวิธีแน่นอน!” ถูเชียนจวินเมื่อได้ยินดวงตาเป็ประกายขึ้นมาทันที คิดถึงบิดาที่เป็ดุจดั่งขุนเขาลูกใหญ่ที่ไม่มีวันล้มลง เขาเดินออกไปด้วยความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมมุ่งหน้าสู่หอถูเซียน
.................................
หอถูเซียนไม่ได้เป็หอจริงๆ แต่เป็ลานที่พักขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ภายในนครแห่งเทพนอกจากจวนใหญ่ที่อยู่ตรงกลางซึ่งเป็ของถูเสินบุรุษผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานผู้นั้น ด้านล่างจะเป็ลานที่พักของเทพองครักษ์ทั้งสี่ซึ่งแบ่งเป็ ถูเสินเว่ย จั่นเสินเว่ย ซื่อเสินเว่ย และเฝินเสินเว่ย ซึ่งถูเสินเว่ยอาศัยอยู่ที่หอถูเซียน
ภายในห้องสมุดแห่งหนึ่งในหอถูเซียนเวลานี้ ถูเชียนจวินกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าของชายร่างสูงใหญ่องอาจที่มีผมสีน้ำตาลผู้หนึ่งด้วยอาการเกรงกลัว ส่วนชายผมสีน้ำตาลกลับก้มหน้าอ่านหนังสือที่อยู่ในมืออยู่เช่นนั้นโดยไม่มองมาที่ถูเชียนจวินแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับว่าไม่เห็นและไม่ได้ยินการมีอยู่ของเขาที่นี่
ผ่านไปเนิ่นนานชายผมสีน้ำตาลในที่สุดก็วางหนังสือในมือลง ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงครั้งหนึ่งแล้วหันหน้ามาพูดขึ้น “ลุกขึ้นเถอะ เกิดเื่ขึ้นแล้วยังรู้จักมาหาข้ายังถือว่าเ้าไม่ได้โง่เขลาจนเกินไป!”
ถูเชียนจวินรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพลางเช็ดเหงื่อเย็นที่ผุดออกมาเต็มใบหน้า จากนั้นมองดูบิดาที่อยู่เบื้องหน้าพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ท่าน...ท่านพ่อรู้เื่ทั้งหมดแล้ว?”
ถูเสินเว่ยปราดตามองถูเชียนจวินครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นเอามือไขว้หลังแล้วพูดออกมาอย่างทระนง “เ้ารู้หรือไม่ว่าเ้าทำผิดอันใด?”
ถูเสินเว่ยเพียงแค่ปราดสายตามองเล็กน้อยแต่กลับทำให้ถูเชียนจวินเหมือนกับถูกคนโจมตีเข้าใส่หัวใจอย่างรุนแรง รู้สึกอึดอัดและหายใจติดขัด หลังจากสูดหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วงสองครั้งติดจึงค่อยพูดออกมาอย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าที่ยิ่งเกรงกลัวมากขึ้น “เชียนจวินรู้ความผิดแล้ว ข้าไม่ควรให้คนไปบอกเยาขาข่าและหมันก้านตามไล่ฆ่าเย่ชิงหานซึ่งเป็การละเมิดกฎที่ท่านจ้าวเทวะได้ตั้งเอาไว้ ทำให้ท่านพ่อต้องพลอยวางตัวลำบากไปด้วย...”
“ไอ้โง่!” ถูเสินเว่ยไม่รอให้ถูเชียนจวินพูดพบรีบหันกลับมาด่าอย่างมีโทสะ “ข้าเป็วีรบุรุษที่เฉลียวฉลาดมาทั้งชีวิตทำไมถึงได้มีลูกที่เกิดมาโง่เขลาเช่นเ้าถึงเพียงนี้ได้?”
“ขอให้ท่านพ่อโปรดชี้แนะสั่งสอนลูกด้วย!” ถูเสินเว่ยร้องด่าออกมาสีหน้าของถูเชียนจวินพลันเปลี่ยนสีไปในทันที เมื่อตอนที่ยังเป็เด็กเขาเคยทำเื่โง่เขลาเื่หนึ่งจนบิดาจับเขามัดห้อยไว้บนต้นไม้เป็เวลาสิบกว่าวัน ผ่านประสบการณ์ในครั้งนั้นทำให้ทุกครั้งที่เขาเผชิญหน้ากับบิดาจะทั้งเกรงกลัวและหวาดหวั่น ตอนนี้เห็นถูเสินเว่ยร้องด่าออกมาด้วยโทสะอีกเขารีบคุกเข่าลงอีกครั้งพร้อมกับหุบปากไม่พูดอะไรอีก
“เ้าส่งคนไปสังหารนายน้อยของตระกูลเย่คนหนึ่ง แม้จะมีความผิดแต่เพราะอายุยังน้อยชอบต่อสู้เอาชนะข้าไม่โทษเ้า เพียงแต่เ้ามันโง่เขลาจนเกินไป...สังหารคนๆ เดียวที่มีพลังฝีมือเพียงแค่ระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ขยะๆ ทำไมไม่แอบส่งคนไปลอบสังหารอย่างเงียบๆ เพียงเท่านี้ก็ได้แล้วมิใช่รึ? จำเป็จะต้องทำให้มันวุ่นวายเช่นนี้ด้วยรึ? ภายในหัวสมองของเ้ามีแต่ขี้หรืออย่างไร? เื่เล็กน้อยเพียงแค่นี้ถูกเ้าทำจนกลายเป็เื่ยุ่งยากขึ้นมา เยาขาข่าตาย หมันก้านเสียนิ้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเ้ามันไอ้ตัวโง่งมอย่างที่สุดดันไปบอกพวกหมันก้าน เยาขาข่า และเสว่อู๋เหินว่าหากทำงานได้สำเร็จเ้าจะติดค้างน้ำใจพวกเขาครั้งหนึ่ง? น้ำใจของเ้ามันมีค่ามากมายสักเท่าใดกันเชียว? หากไม่มีข้าแม้แต่กองขี้หมาเ้าก็ยังเทียบไม่ได้ ไอ้โง่...จะโมโหจนเป็บ้าก็เพราะความโง่เขลาของเ้านี่แหละ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้