ในขณะที่คนทั้งหลายกำลังคุยกันอย่างมีความสุข พ่อบ้านก็พามัวมัวชราผู้หนึ่งเข้ามา ดวงตาคมกริบของมัวมัวชรานางนั้นกวาดมองไปรอบหนึ่ง สายตามาหยุดอยู่ที่หลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้จักคนผู้นี้ ทว่าดูจากราศีทั่วทั้งร่างแล้ว เดาได้ไม่ยากว่ามาจากตระกูลใหญ่ใดสักตระกูล นางเดินเข้าไปหามัวมัวชรา
มัวมัวชราหยิบป้ายสีดำชิ้นหนึ่งออกมาจากในอก สัญลักษณ์บนป้ายซับซ้อนเป็อย่างมาก คล้ายจะเป็ตราประจำตระกูลของสักตระกูลหนึ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์มองหลักฐานยืนยันในมือของเหล่ามัวมัว พยักหน้าให้นางเบาๆ “มัวมัวท่านนี้รอสักครู่ ข้าจะไปหยิบกล่องยา”
ที่หยางซื่อไม่ถนัดที่สุดก็คือการติดต่อกับคนพวกนี้ เมื่อเห็นเหล่ามัวมัวที่ดูเคร่งครัดผู้นั้น หยางซื่อก็ไม่อยากทักทาย ทว่า นางเป็นายหญิงของบ้านหลังนี้ ต่อให้นางแก้นิสัยอ่อนแอขี้ขลาดของตนไม่ได้ เพื่อหลิงมู่เอ๋อร์แล้วก็ยังต้องทำความรู้จักกับผู้คนหลากหลายรูปแบบ
หลิงจือเซวียนเห็นท่าทียำเกรงของหยางซื่อ จึงลุกขึ้นก่อนก้าวหนึ่ง เดินเข้าไปหามัวมัวชรานางนั้น หลิงจือเซวียนกล่าวกับมัวมัวชราว่า “มัวมัวเดินทางมาตลอด ดื่มชาสักคำก่อนเถิด! น้องสาวจัดกล่องยาต้องใช้เวลาครู่หนึ่ง ย่อมมิอาจให้มายืนรออยู่ตรงนี้ได้”
มัวมัวชราเดิมก็ดูถูกคนสกุลหลิง นางเคยได้ยินแล้วว่า สกุลหลิงก็มีเพียงคุณหนูคนหนึ่งที่พอจะมีความสามารถอยู่บ้าง คนอื่นในครอบครัวต่างก็เป็ชาวนากันทั้งบ้าน ทว่า ดูบุรุษเบื้องหน้ามีราศีไม่ธรรมดา ไม่เหมือนกำเนิดจากครอบครัวชาวนา หรือผู้นี้ก็คือลูกชายคนโตของสกุลหลิงที่ถูกเจาหยางจวิ้นจู่ต้องตาผู้นั้น
มัวมัวชราคิดเช่นนี้จึงได้นั่งลง มองดูการตกแต่งของสกุลหลิงอีกครั้ง ทุกจุดถึงกลับแฝงไว้ด้วยความงามสง่า ไม่เหมือนเศรษฐีใหม่ ดูท่า การประเมินของภายนอกที่มีต่อสกุลหลิงยังคงไม่ถูกต้องนัก ข้อมูลนี้จำเป็จะต้องรายงานนายท่าน เพื่อมิให้นายท่านถูกคำเล่าลือภายนอกทำให้เข้าใจผิด ถึงเวลานั้น กระทำเื่ที่ทำให้ตนเสียประโยชน์ออกมา
หลิงมู่เอ๋อร์มิได้ให้มัวมัวชรารอนานนัก น้ำชาหนึ่งแก้วของมัวมัวชรายังไม่ทันจิบหมด นางก็ถือกล่องยาออกมาแล้ว
มัวมัวชราเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ถือกล่องยาด้วยตนเอง ก็เลิกคิ้วกล่าวว่า “แม่นางไม่เรียกเด็กรับใช้ยาติดตามไปด้วยหรือ? หากไม่มีเด็กรับใช้ยา สาวใช้ก็ได้นี่เ้าคะ”
หลิงมู่เอ๋อร์เหลือบมองมัวมัวชราเบาๆทีหนึ่ง ในดวงตามีความน่ายำเกรงที่ไม่อาจดูแคลนได้ “ข้ากระทำเื่ราว แต่ไรมาล้วนทำตามใจ ข้าตัดสินใจอย่างไรก็ทำเช่นนั้น”
ความหมายก็คือ เ้าปากมากเกินไปแล้ว
มัวมัวชราแต่เล็กก็ติดตามผู้สูงศักดิ์ ต่อมาก็ถูกผู้สูงศักดิ์เหลือไว้ให้หลานสาวของตน แม้จะกล่าวว่านางเป็บ่าวรับใช้ แต่ก็เป็บ่าวรับใช้ที่มีหน้ามีตา นางอยู่ในจวนยังไม่เคยถูกคนเถียงเช่นนี้มาก่อน ด้วยฐานะของนาง แม้จะเป็คนธรรมดาจากครอบครัวใหญ่ก็ยังต้องไว้หน้านาง การไม่เกรงใจแม้แต่น้อยของหลิงมู่เอ๋อร์ ทำให้ในใจของมัวมัวชราขัดเคือง ทว่า ความโมโหนี้กลับไม่กล้าแสดงออกมา เนื่องจากมัวมัวชราได้เห็นราศีแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามบนตัวของหลิงมู่เอ๋อร์
“แม่นางพูดได้ถูกต้องเ้าค่ะ ในเมื่อแม่นางเตรียมตัวเสร็จแล้วพวกเราก็ไปกันเถอะเ้าค่ะ อย่าให้นายท่านต้องรอนาน” มัวมัวชราที่โกรธเคืองอยู่ในใจ สะกดกลั้นความโมโหนี้ไว้
นางคิดอยู่ในใจว่า ตอนนี้ นายท่านยังใช้ประโยชน์จากนางได้ รอจนนางไม่มีประโยชน์ให้หลอกใช้แล้ว หรือนางไม่อาจรักษาโรคของนายท่านให้หายได้ ถึงเวลานั้น รอดูว่านางจะตายอย่างไร
หลิงมู่เอ๋อร์นั่งบนรถที่มัวมัวชรานำมาเข้าสู่วังหลวง ไม่ผิด ก็คือวังหลวง ป้ายคำสั่งที่มัวมัวชรานำมาเป็ป้ายประจำตระกูลฝั่งมารดาของไท่จื่อเฟย ไท่จื่อเฟยกระทำเื่ราวที่ภายนอก ย่อมไม่อาจใช้ป้ายของตำหนักบูรพาให้เป็ที่เอิกเกริกได้ บ้านเดิมก็คือภูผาที่หนุนหลังนาง นางใช้นามของบ้านเดิมทำเื่เล็กๆน้อยๆย่อมไม่มีผู้ใดตำหนินาง
ตำหนักบูรพา ไท่จื่อเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้นุ่ม ทั่วทั้งร่างราวกับแมวที่ไม่มีกระดูก เกียจคร้านและเลื่อนลอย
หลิงมู่เอ๋อร์คุกเข่าอยู่ตรงนั้นเป็เวลานาน ไท่จื่อเฟยก็มิได้เรียกให้นางลุกขึ้นมา หลิงมู่เอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง ผู้หญิงคนนี้ที่แท้อยากรักษาโรค หรืออยากวางก้ามกันแน่? หากเป็สิ่งหลัง เช่นนั้น นางก็มิใช่ผู้ที่หาเื่ได้ง่ายนัก ถึงเวลานั้น นางอย่างได้ร้องไห้มาวิงวอนนางเป็อันขาด จัดการกับสตรีที่มือไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ นางมีวิธีมากมายนัก
ไท่จื่อเฟยหาว ค่อยๆตื่นขึ้นมา นางเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่บนพื้น แกล้งทำเป็ประหลาดใจว่า “หืม ปล่อยให้แม่นางหลิงคุกเข่าอยู่ได้อย่างไร? รีบลุกขึ้นเถิด”
หลิงมู่เอ๋อร์ลุกขึ้นมาอย่างกินแรง ตอนนี้ ทั่วทั้งร่างของนางแข็งเกร็ง ทั่วทั้งร่างราวกับมิใช่ของตน นางไม่สนใจไท่จื่อเฟยที่กำลังเสแสร้ง แต่กล่าวกับมัวมัวที่อยู่ข้างกายว่า “พระวรกายหงส์ของไท่จื่อเฟยล้ำค่าเป็อย่างมาก อาการของข้าในตอนนี้กลัวจะหยิบเข็มไม่ขึ้น ต่อให้ฝืนถือเข็ม ก็กลัวว่าจะปักผิดตำแหน่ง วันนี้ไม่สะดวกที่จะรักษาโรค เมื่อใดที่ไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงทรงตื่นจากบรรทมกลางวันแล้ว ค่อยส่งคนมาเรียกข้าเถิด ตอนนี้ข้าจะกลับก่อนแล้ว”
ไท่จื่อเฟยมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างตกตะลึง ดวงตาของนางเข้มขึ้น กล่าวอย่างเ็าว่า “นี่เ้ากำลังโทษที่เมื่อครู่ข้าให้เ้าคุกเข่า?”
“ไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงทรงตรัสจากที่ใดกันเพคะ? หม่อมฉันเป็เพียงหญิงสามัญชนตัวเล็กๆ คุกเข่าให้ชายารัชทายาทองค์ปัจจุบันมิใช่เื่ที่สมควรหรือ? ทว่าในฐานะหมอผู้หนึ่ง หม่อมฉันมิอาจให้คนไข้ของหม่อมฉันต้องเสี่ยงอันตรายได้เพคะ ไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงทรงทอดพระเนตรมือของหม่อมฉัน…” หลิงมู่เอ๋อร์ยกมือที่สั่นไม่หยุดขึ้นมา “ทรงวางพระทัยให้หม่อมฉันฝังเข็มหรือเพคะ?”
ไท่จื่อเฟยขมวดคิ้ว “เปิ่นกงจะให้สาวใช้สองสามคนมานวดไหล่ให้เ้า ให้เ้าผ่อนคลายสักพัก เ้าสามารถพักผ่อนที่นี่สักครู่ค่อยรักษาอาการให้เปิ่นกง”
หลิงมู๋เอ๋อร์ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่านางกำลังใคร่ครวญถึงความเป็ไปได้ในการทำเช่นนี้ สุดท้าย พยักหน้าอย่างฝืนใจ “เช่นนั้นก็ได้เพคะ! หม่อมฉันก็รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเพคะ”
“ใครเข้ามา ให้ห้องครัวหลวงทำขนมมาเล็กน้อย” ไท่จื่อเฟยกล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
มัวมัวชราที่อยู่ด้านข้างใช้สายตาแปลกประหลาดมองหลิงมู่เอ๋อร์ เด็กสาวน้อยที่กลอกกลิ้งคนนี้ไม่้าชีวิตแล้ว ล่วงเกินไท่จื่อเฟยแล้วมีประโยชน์ใดต่อนาง? ถึงจะให้นางได้รับความน้อยใจบ้างจะนับเป็อย่างไรได้? ไท่จื่อเฟยก็มิได้กระทำกระไรกับนาง แต่บัดนี้ ล่วงเกินไท่จื่อเฟยเข้า วันหลังก็ยากจะกล่าวแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์มิใช่คนโง่เขลา สิ่งที่มัวมัวชราคิดอยู่ในใจมีหรือที่นางจะไม่รู้? นางย่อมรู้ว่าการล่วงเกินไท่จื่อเฟยไม่มีผลดีอะไร แต่ว่า ไท่จื่อเฟยมาหาเื่นาง นางก็ต้องอดทนหรือ? การอดทนนั้นมีประโยชน์ใดต่อนางกัน? กล่าวอีกอย่าง ตอนนี้เป็ชายารัชทายาท อีกหน่อยก็เป็นักโทษ นางจะกลัวนางไปทำไมกัน
นางกำนัลของไท่จื่อเฟยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาก เพียงไม่นาน ขนมห้าหกชนิดก็ถูกจัดขึ้นมา หลิงมู่เอ๋อร์เพลิดเพลินกับการปรนนิบัติอย่างใส่ใจจากนางกำนัลของไท่จื่อเฟย จากนั้นทานขนมที่หอมกรุ่น ดื่มชาที่หอมเข้มข้น จนเกือบคิดว่าตนเป็นายของตำหนักบูรพาแห่งนี้แล้ว
“พอแล้ว” ในขณะที่ไท่จื่อเฟยกำลังจะะเินั่นเอง นางก็หยุดมืออย่างรู้พอเหมาะ พอดีกับที่นางดื่มกินจนอิ่มเอมแล้ว ทั้งยังได้ชื่นชมสีหน้าของไท่จื่อเฟย ที่เปลี่ยนจากเมฆหมอกดำทะมึนเป็ฟ้าแลบฟ้าร้องอีกด้วย “ไท่จื่อเฟยทรงบรรทมลงก่อนเถิดเพคะ! หม่อมฉันจะตรวจสอบพระวรกายทั้งหมดถวายพระองค์”
ไท่จื่อเฟยนอนอยู่บนเตียง หลิงมู่เอ๋อร์ให้มัวมัวและนางกำนัลทั้งหมดรออยู่ด้านนอก คำอธิบายที่นางมอบให้พวกเขาคือไม่้าให้มีคนมารบกวนการรักษาของนาง
หลังจากที่มัวมัวและนางกำนัลได้รับความเห็นชอบจากไท่จื่อเฟยแล้วจึงถอยออกไป ผ่านไปไม่นาน ก็มีเสียงกรีดร้องแหลมดังออกมาจากในห้อง เสียงนั้นทุลักทุเลเป็อย่างมาก
“มัวมัว ไท่จื่อเฟยไม่เป็ไรใช่หรือไม่เ้าคะ? พวกเราจะเข้าไปดูหรือไม่?” นางกำนัลประจำกายของไท่จื่อเฟยพูดอย่างประหม่า
“ไม่มีการอนุญาตจากเหนียงเหนียง พวกเราไม่อาจเข้าไป เมื่อครู่มิใช่ได้ยินเหนียงเหนียงทรงสั่งการแล้วหรือ?” มัวมัวชราหน้าดำคล้ำ กัดฟันกล่าว “วางใจเถิด เด็กคนนั้นหากกล้าเล่นลูกไม้ แม้แต่ประตูบานนี้ก็ไม่อาจก้าวออกไปได้ นางเป็คนฉลาด รู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ”
นางกำนัลทั้งหลายต่างมองหน้ากัน สุดท้าย บารมีของไท่จื่อเฟยทำให้พวกนางไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพละกาล พวกนางรู้ดีกว่าใคร ว่าไท่จื่อเฟยให้ความสำคัญกับร่างกายของตนเพียงใด ครั้งนี้ เป็ความหวังสุดท้ายของไท่จื่อเฟย หากระหว่างนั้นเกิดความผิดพลาดใดขึ้นมา แล้วกล่าวโทษมาที่พวกนาง เช่นนั้น ชีวิตน้อยๆของพวกนางก็ไม่จำเป็ต้องเก็บไว้แล้ว
ทว่า เสียงนั้นน่าสยดสยองเป็อย่างมาก แต่ละรอบโหยหวนกว่ารอบก่อนหน้า จากนั้นก็หายไปเป็เวลานาน ทุกครั้งที่พวกนางคิดจะบุกเข้าไป ก็นึกถึงคำพูดของไท่จื่อเฟยที่ว่า หากไม่มีคำสั่ง มิอาจเข้าไปรบกวนได้ จึงได้แต่หยุดฝีเท้าลง เป็เช่นนี้อยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุด เสียงด้านในก็หยุดลง
ในความเป็จริงแล้ว ไท่จื่อเฟยที่อยู่ในห้องถูกหลิงมู่เอ๋อร์ทรมานจนแทบจะเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย นางมิใช่ไม่้าให้มัวมัวและเหล่านางกำนัลเข้าช่วยนาง แต่เป็เพราะไม่มีโอกาสและเรี่ยงแรงที่จะเอ่ยปากให้พวกนางเข้ามาเลยต่างหาก ทุกครั้งที่นางจะเอ่ยปาก นิ้วของหลิงมู่เอ๋อร์ก็จะเริ่มขยับ จากนั้น ร่างกายของนางก็ราวกับใกล้จะะเิก็ไม่ปาน
ในยามนี้ เสื้อผ้าของนางถูกเหงื่อทำให้ชุ่มโชก ส่วนนางก็อยู่ในสภาพหลั่งเหงื่อเย็นโซมกาย สายตาที่นางถลึงใส่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างดุดันนั้นได้เปลี่ยนเป็เลื่อนลอยขึ้นมา มิได้เต็มไปด้วยความน่ายำเกรงเช่นในยามปกติ แต่ราวกับกำลังออดอ้อน เอ่อ หากหลิงมู่เอ๋อร์เป็บุรุษแล้วล่ะก็ อาจเกิดความเข้าใจผิดบางอย่างขึ้นได้ น่าเสียดายที่นางมิได้ชอบเช่นนี้
“หากให้เปิ่นกงรู้ว่าเ้ากำลังปั่นหัวเปิ่นกง หัวของเ้าและครอบครัวของเ้าก็ไม่ต้องเก็บไว้แล้ว” ไท่จื่อเฟยข่มขู่อย่างอ่อนแรง
หลิงมู่เอ๋อร์เหลือบมองนางเรียบๆ “หากไท่จื่อเฟยทรงไม่วางพระทัยในทักษะทางการแพทย์ของหม่อมฉัน เยี่ยงนั้น หม่อมฉันก็ไม่จำเป็ต้องถวายการรักษาให้ไท่จื่อเฟยแล้วเพคะ ไท่จื่อเฟยทรง้าตัดหัวของหม่อมฉัน กลัวว่าจะไม่ง่ายดายเยี่ยงนั้นเพคะ เพราะถึงอย่างไร หม่อมฉันก็เป็เซียนแพทย์ผู้เป็ที่รักใคร่ของเหล่าราษฎร หากหม่อมฉันตายแล้ว พี่ชายบุญธรรมของหม่อมฉัน ซึ่งก็คือผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวง จะต้องร้องเรียนเพื่อทวงความเป็ธรรมให้หม่อมฉันอย่างแน่นอน แต่ไรมา ฝ่าาก็ทรงมากด้วยความระแวง หากทรงทำความผิดครั้งใหญ่ ตำแหน่งนั้นของไท่จื่อ ยังจะทรงรักษาไว้ได้อีกหรือไม่เพคะ?”
“เ้า…ช่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดเลยจริงๆ” ไท่จื่อเฟยถลึงตาใส่นางอย่างโมโห “หากเ้ามิได้ตั้งใจปั่นหัวเปิ่นกงเล่น เมื่อครู่ ที่ทำทั้งหมดคือสิ่งใดกัน? หรือกำลังรักษาให้เปิ่นกงจริงหรือ? แม้นเปิ่นกงจะไม่รู้วิชาแพทย์ แต่ก็รู้ว่าไม่มีวิธีการรักษาใดที่เป็เช่นนี้”
“หม่อมฉันกำลังจัดปรับระเบียบร่างกายให้ไท่จื่อเฟยเพคะ โครงสร้างกระดูกและร่างกายของไท่จื่อเฟยไม่เหมาะกับการทรงครรภ์ ผ่านการปรับแก้ไขเมื่อครู่ไป บัดนี้ ต่อให้ทรงประสูติอีกสักแปดคนสิบคน ก็ไม่เป็ปัญหาแล้วเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์เก็บมือกลับมาอย่างราบเรียบ “หม่อมฉันได้วินิจฉัยอาการของพระองค์แล้ว หลังผ่านการปรับสภาพพระวรกายใน่สั้นๆนี้ พิษในร่างของพระองค์ได้ถูกกำจัดไปเกือบหมดสิ้น ต้นเหตุของโรคที่เกิดจากพิษหญ้าฝรั่นก็ได้ถูกกำจัดไปแล้วเช่นกันเพคะ ทว่า หากทรงดื่มหญ้าฝรั่นลงไปอีกแก้วแม้นเพียงครั้งเดียว ต่อให้เป็เทพเซียนก็มิอาจช่วยพระองค์ได้แล้วเพคะ ไท่จื่อเฟยทรงประทับอยู่ในวัง ยังคงอย่าได้ทรงสร้างศัตรูมากเกินไปนักเลยเพคะ”
ไท่จื่อเฟยสีหน้าดำคล้ำ ทันทีที่เข้าวังก็ดื่มหญ้าฝรั่นลงไป ไม่เพียงทำร้ายนางจนไร้ความสามารถในการตั้งครรภ์ และยังทำให้รูปโฉมของนางแก่ชราลงอย่างรวดเร็ว ไท่จื่อแต่ไรมาก็โปรดรูปโฉมที่งดงาม เดิมหน้าตาของนางก็เพียงดีกว่าระดับกลางอยู่บ้าง แล้วนับประสาอะไรกับสภาพในยามนี้ ยิ่งมิอาจเปรียบกับเหล่านางสนมที่แสนหยาดเยิ้มของเขาพวกนั้นได้ นานแล้วที่เขามิได้มาตำหนักกลาง
“หากไม่ทรงมีคำสั่งอื่น หม่อมฉันก็ขอออกจากวังก่อนแล้วเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นสีหน้าของไท่จื่อเฟยฉายแววชั่วร้าย ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอีก
“เ้ารอสักครู่” ไท่จื่อเฟยคว้าหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ ปลอกนิ้วของนางแหลมคมมาก เมื่อโดนกรีดผ่านก็ทิ้งรอยเืเป็แนวยาวไว้ หยดเืก็ไหลออกมาเช่นนี้ มองดูแล้วก็บาดตาจนน่าใ