ด้วยคำพูดไม่กี่คำก็ทำให้ไป๋หยุนเฟยตื่นตระหนกราวถูกอัสนีบาตฟาดใส่
“คุณชายหยุนเฟย ได้โปรดรีบไปช่วยคุณหนูเถอะ! หลงเทาผู้นั้น(น้องชาย)กล่าวว่าท่านต้องไปด้วยตนเองไม่เช่นนั้นคุณหนูต้อง...”
น้ำเสียงร้อนรุ่มของเสี่ยวหนิงที่ดังเข้าหูอีกคราปลุกไป๋หยุนเฟยจากความตื่นตระหนกก่อนจะฉุดดึงนางไปที่ด้านข้างด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับถามด้วยเสียงทุ้มหนัก “เกิดอะไรขึ้น? สงบใจลงและเล่าให้ข้าฟัง! ข้าจะไปช่วยเมิ่งเอ๋อร์เดี๋ยวนี้!”
เสี่ยวหนิงปาดน้ำตากล่าวอย่างสะอึกสะอื้นว่า “วันนี้ยามบ่ายคุณหนูเห็นว่าท่านไม่ยอมมาหา นาง นางจึงพาข้าออกไปข้างนอก เพื่อจะมาหาท่าน...”
“ผู้ใดจะคิด คุณหนู คุณหนูกลับพบกับหลงเทาและพี่ชายโดยบังเอิญอีกครั้ง? พวกมัน พวกมันพาคนจากตระกูลหลงมาด้วยอีกสองคน ทั้งสองคนฝีมือร้ายกาจยิ่งถึงกับฝีมือสูงส่งกว่าคุณหนู...”
“พวกมันคร่ากุมตัวคุณหนูไปและให้ข้ามาหาท่านคุณชายหยุนเฟย พวกมันบอกว่าท่านต้องไปยังหอสุขสันต์เร้นลับทางทิศเหนือของเมือง...”
เสี่ยวหนิงนับว่าเป็สาวใช้ที่เฉลียวฉลาด เพียงใช้คำพูดไม่กี่ประโยคก็บอกเล่าเื่ราวได้กระจ่างชัด จากนั้นจึงกล่าวต่อไป๋หยุนเฟยด้วยใบหน้าร้อนรุ่ม “พวกเราจะทำอย่างไรดีคุณชายหนุนเฟย?? คุณหนูถูกคร่ากุมตัวไปเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว รีบไปช่วยนางด้วยเถอะ!!”
ไป๋หยุนเฟยขมวดคิ้วแแ่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มันหวังจะคงความเยือกเย็นไว้แต่กลับไม่อาจระงับความร้อนรนในใจได้
“เ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะรีบไปในบัดดล! ไม่ว่าอย่างไรข้าจะต้องช่วยเมิ่งเอ๋อร์ออกมาให้จงได้!”
หลังจากกล่าวจบไป๋หยุนเฟยก็หันกายเร่งรุดไปทางทิศเหนือของเมือง
……
หอสุขสันต์เร้นลับตั้งอยู่บนถนนเล็กๆที่เงียบสงบทางทิศเหนือของเมือง ที่แห่งนี้เป็ภัตตาคารเลิศหรูซึ่งอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ สาเหตุที่มาตั้งกิจการในที่ห่างไกลเช่นนี้เพราะที่นี่ไม่ต้อนรับคนทั่วไป แต่กลับเปิดกิจการเพื่อสร้างความสำราญแก่เหล่าผู้สูงศักดิ์มั่งคั่งภายในเมืองชุ่ยหลิว และผู้ดูแลกิจการอยู่เื้ัภัตตาคารแห่งนี้จะเป็ผู้ใดหากไม่ใช่ตระกูลหลง
ยามนี้ ภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่ของหอสุขสันต์เร้นลับ ปรากฏบุรุษสี่คนนั่งรายล้อมอยู่รอบโต๊ะ ดูเหมือนพวกมันกำลังดื่มกินกันอย่างปลอดโปร่ง สองในสี่นั้นจะเป็ผู้ใดหากไม่ใช่หลงเทาและพี่ชายของมัน ขณะที่บุรุษอีกสองคนอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดดูละม้ายคล้ายกันอย่างยิ่ง ทั้งคู่คิ้วดกหนาตาโปนโต ท่าทีดุร้ายอำมหิต
ที่มุมห้อง หญิงสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เลิศหรูกว้างใหญ่ นางจะเป็ผู้ใดหากไม่ใช่หลิวเมิ่ง!
หลิวเมิ่งนั่งอยู่ด้วยท่าทีสงบนิ่งมองดูบุรุษทั้งสี่ที่กำลังดื่มกินและสนทนากัน แม้แขนขาจะไม่ถูกมัดแต่หญิงสาวกลับไม่ขยับเคลื่อนไหว ดูจากภายนอกราวกับทั้งร่างของนางไร้ซึ่งเรี่ยวแรง หลิวเมิ่งสมควรได้รับตัวยาพิเศษที่ทำให้ไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้
“หยุนเฟย ไฉนท่านยังไม่มาอีก...?” หลิวเมิ่งลอบทอดถอนใจอย่างแ่เบา ดวงตาของนางก็อดไม่ได้ต้องมองไปที่ประตู แววตาของนางปรากฏแววซับซ้อนยุ่งเหยิง
“พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าเ้าผู้เยาว์นั้นจะมาถึงเมื่อใด? พวกเรารอคอยมากว่าชั่วยามแล้ว!!” หลงเทาหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปากพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนใจ ขณะมองไปด้านนอกก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอันใด
“เ้ากังวลใจอันใด? อาจเป็ได้ว่ามันยังไม่ทราบข่าว แต่ไม่ช้าก็เร็วมันต้องมาที่นี่ มาดื่มกินให้หนำใจรอมันอย่างเยือกเย็นเถอะ” บุรุษเบื้องหน้าที่ถูกเรียกเป็‘พี่ใหญ่’กล่าวอย่างเฉื่อยชาหลังจากยกชามขึ้นดื่มสุราอึกใหญ่
“พี่ใหญ่ ไฉนท่านจึงขับไล่บริวารทั้งหมดออกไป? หากให้พวกมันอยู่พวกเราย่อมวางใจได้มากกว่า” หลงเทาถามอย่างสงสัยหลังจากเหลือบตามองห้องโถงที่เกือบว่างเปล่านี้
พี่ใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อยกล่าวว่า “สวะพวกนั้นรั้งอยู่แล้วมีประโยชน์อันใด? ศัตรูเป็ผู้ฝึกปรือิญญาที่บรรลุด่านวีรชนิญญาระดับกลาง ต่อให้มีผู้คนนับร้อยก็ไม่อาจทำอย่างไรมันได้! อีกอย่าง ยิ่งคนมากก็ยิ่งเป็อุปสรรคต่อแผนการของพวกเรา...”
“ปัง!!”
เสียงที่ดังสนั่นขัดจังหวะคำพูดมัน ตามมาด้วยเศษไม้ที่ปลิวเวียนว่อน จากนั้นปรากฏคลื่นพลังกระชากเศษไม้กระจัดกระจายไปทั่วห้อง ที่แท้ประตูใหญ่ของภัตตาคารถูกคนจากด้านนอกขยี้เป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ไป๋หยุนเฟยเข้ามาในห้องอย่างเชื่องช้าด้วยสีหน้าเ็า หลังจากกวาดตามองอย่างรวดเร็วก็พบเห็นหลิวเมิ่งอยู่ที่มุมห้องจึงลอบถอยหายใจโล่งอก ดูจากภายนอกนางสมควรยังไม่เป็อันตรายอันใด
เมื่อหันไปมองบุรุษสี่คนที่ลุกขึ้นยืนและมองมาที่ตนเองด้วยความตื่นตัวไป๋หยุนเฟยจึงกำหมัดขวาแแ่ ชายหนุ่มเคลื่อนกายเล็กน้อยไปหยุดที่ตำแหน่งพร้อมจะรุกและรับ ก่อนจะส่งสายตาไปยังหลิวเมิ่งพร้อมกับเอ่ยปากถามเสียงทุ้มหนัก “เมิ่งเอ๋อร์ท่านไม่เป็ไรกระมัง?”
“เฮอะ!” ก่อนที่หลิวเมิ่งจะทันได้ตอบคำ บุรุษที่ถูกหลงเทาเรียกเป็พี่ใหญ่ก็แค่นเสียงเ็าขึ้นสอดคำพร้อมกับกล่าววาจาเย้ยหยัน “เด็กน้อย เ้าคือไป๋หยุนเฟยที่นางกล่าวถึงกระมัง? เฮอะ นับว่ายังมีความกล้าหาญอยู่บ้าง ไม่คิดว่าเ้าจะกล้ามาเพียงลำพัง มิน่าเล่านางจึงวางใจในตัวเ้านัก ฮ่า ฮ่า แต่คิดจริงหรือว่าอาศัยเ้าเพียงลำพังก็จะช่วยนางออกไปได้?”
ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายไป๋หยุนเฟยต้องเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะทันได้ตอบโต้อันใดก็ได้ยินหลิวเมิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ระวังตัวด้วยหยุนเฟย พวกมันสองคนล้วนบรรลุด่านวีรชนิญญา คนหนึ่งระดับกลาง อีกคนหนึ่งระดับต้น!”
พี่ใหญ่นั้นหันไปมองหลิวเมิ่งพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “อา ไม่เลว เ้าบอกเื่สำคัญแก่มันั้แ่แรก แต่มันทราบแล้วอย่างไร? เพียงวีรชนิญญาระดับกลางอย่างมากก็ต่อสู้กับข้าได้อย่างสูสี แต่ข้ายังมีน้องชายและหลงเทา(พี่ชาย)อยู่ด้วย มันจะอาศัยกำลังเพียงลำพังต่อสู้กับพวกข้าสามคนได้หรือ?”
กล่าวจบก็หันกลับไปมองไป๋หยุนเฟยด้วยรอยยิ้มจางๆโดยไม่ขยับเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ราวกับรอให้ไป๋หยุนเฟยเคลื่อนไหวก่อน
ไป๋หยุนเฟยที่ยังคงขมวดคิ้วจ้องมองบุรุษตรงหน้าอยู่เนิ่นนานก่อนจะกล่าวอย่างเชื่องช้า “เ้าเป็อะไรกับตระกูลหลง?”
หลงเทา(น้องชาย)ที่ยืนอยู่หลังสุดในบรรดาคนทั้งสี่เนื่องเพราะตัวมันเป็เพียงคนธรรมดา ยามที่ได้ยินคำถามจากไป๋หยุนเฟยก็เท้าสะเอวกล่าวอย่างโอหังว่า “เฮอะ เป็ไร? กลัวแล้วกระมัง? ข้าเคยบอกต่อเ้าแล้วว่าตระกูลหลงของข้าไม่ใช่เ้าจะล่วงเกินได้ นายท่านทั้งสองของเ้านี้เป็ญาติผู้พี่คนโตและคนรองของข้านามว่าหลงเทากู่กับหลงเทาอี้! ครั้งนี้ทั้งสองมาเพื่อเอ็นดูเ้าโดยเฉพาะ เ้าผู้ฝึกปรือิญญาไม่รู้ความที่กล้าล่วงเกินตระกูลหลง!”
มุมปากไป๋หยุนเฟยกระตุกวูบ ในสถานการณ์เช่นนี้มันไม่มีแก่ใจจะหัวร่อกับนามของสองพี่น้องที่เพิ่งพบหน้าอีก แต่ดูแล้วคาดว่าตระกูลหลงนี้ยึดมั่นในงานที่มีอนาคตเช่นการเป็‘หลงเทา(ตัวประกอบ)’อย่างยิ่ง
ไป๋หยุนเฟยเงียบงันไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยปากเจรจา “ข้าขออภัยต่อเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อน แล้วพวกเ้าก็ปล่อยข้าพานางกลับไป พวกเราทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นดีหรือไม่?”
เมื่อหลงเทา(พี่ชาย)ที่ยืนด้านซ้ายสุดได้ยินคำพูดเหล่านี้ดวงตาก็เบิกกว้าง มันมองไป๋หยุนเฟยราวกับดูตัวโง่งมพลางกล่าวเย้ยหยัน “เ้าล้อเล่นกระมัง? หรือเ้าคิดว่ามีสิทธิ์จะต่อรองกับพวกเราในสถานการณ์เช่นนี้? ให้ข้าบอกต่อเ้า...”
ก่อนหลงเทา(พี่ชาย)จะทันได้กล่าววาจาที่น่าอิ่มเอมใจนี้จบ ดวงตาไป๋หยุนเฟยที่ตรงหน้าพลันทอประกายดุร้าย ก่อนจะยื่นมือขวาออกพร้อมกับทวนเปลวอัคคีที่ปรากฏอยู่ในมือ จากนั้นชายหนุ่มถีบเท้าทะยานกายพุ่งเข้าจู่โจมใส่โดยปราศจากวี่แววล่วงหน้า!
ยามที่หลงเทา(พี่ชาย)ยังไม่ทันได้กล่าววาจาครึ่งหลังตามที่หวัง ก็ปรากฏคลื่นความร้อนพุ่งมาปะทะใบหน้า พริบตาเดียวปลายทวนสีแดงเพลิงก็มาถึงตัวมันแล้ว!
“ระวัง!” ความหวาดกลัวฉายชัดในแววตาของหลงเทา(พี่ชาย) ชั่วขณะที่มันมีความคิดล่าถอย หลงเทากู่ก็มีปฏิกิริยาตวาดเตือนพร้อมกับตวัดเท้าเกี่ยวเก้าอี้เตะออกไปเบื้องหน้าหลงเทา(พี่ชาย)เพื่อขัดขวางทวนเปลวอัคคี
ทันทีที่ปลายทวนแทงใส่เก้าอี้ ไป๋หยุนเฟยก็พลิกข้อมือที่กุมด้ามทวน เปลวเพลิงและเสียงะเิพลันแตกปะทุ เก้าอี้ก็กลับกลายเป็เศษไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็สะเก็ดไฟพุ่งไปทุกทิศทาง!
บุรุษสามคนตรงหน้าไป๋หยุนเฟยล้วนเป็ผู้ฝึกปรือิญญา ปฏิกิริยาพวกมันจึงไม่เชื่องช้า ชั่วขณะที่หลงเทากู่เตะเก้าอี้ออกไปที่เหลือก็ล่าถอยออกไปพร้อมกัน ยามนี้พวกมันล่าถอยห่างออกไปหลายวา เมื่อได้เห็นเสษไม้ที่ถูกเผาไหม้ร่วงหล่นลงสู่พื้นใบหน้าพวกมันก็กลับกลายเป็แตกตื่นตะลึงลาน
“วัตถุิญญา!!” หลงเทากู่ร่ำร้องอย่างตื่นตระหนก ขณะมองดูทวนเปลวอัคคีในมือไป๋หยุนเฟยแววตาก็เปี่ยมด้วยความหวาดกลัว
หลังจากออกกระบวนท่าจู่โจม มิคาดว่าไป๋หยุนเฟยจะไม่รุกไล่เข้ามาต่อ ตรงกันข้ามมันกลับยืนกระชับทวนอยู่ที่เดิมพร้อมกับลอบยินดีในใจที่การใช้ท่าทะลวงสามทบออกเป็คราแรกก็สามารถกระตุ้นผลกระทบของทวนให้บังเกิดขึ้นได้ ไป๋หยุนเฟยเขม้นมองบุรุษตรงหน้าทั้งสี่ด้วยท่าทีเรียบเฉยพร้อมกับเอ่ยวาจาอีกครั้ง “ข้าจะพูดอีกครั้ง ให้ข้าพานางไปและถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
หลงเทากู่มองดูไป๋หยุนเฟยด้วยดวงตาที่ฉายแววหวาดกลัวอย่างเปี่ยมล้น มันโบกมือทำท่าแก่หลงเทา(น้องชาย)ที่อยู่ด้านหลังสุดให้ถอยห่างไปอีก ก่อนจะปรายตาบอกใบ้แก่อีกสองคนที่ด้านข้างพร้อมกับกล่าวต่อไป๋หยุนเฟยด้วยเสียงหัวเราะเย็นเยียบ “เฮอะ หรือเ้าคิดว่าวัตถุิญญาระดับสูงแล้วจะถือดีได้ เ้าผู้เยาว์ที่เย่อหยิ่งอวดดีนัก! เมื่อเ้ามาถึงที่นี่ในวันนี้ก็อย่าหมายจะเดินออกจากประตูไปโดยไร้เื่ราว! หากรู้สำนึกก็ส่งวัตถุิญญามาแล้วยอมให้พวกเราพี่น้องสั่งสอนบทเรียน บางทีพวกเราจะเมตตาไว้ชีวิตเ้า”
หลังจากกล่าวจบคำ มันก็ทำท่าใคร่ครวญชั่วครู่ก่อนจะกล่าวเย้ยหยัน “หรือจะทำเช่นนี้ หากเ้าสามารถเอาชนะพวกเราทั้งสามได้ พวกเราจะยอมรับความพ่ายแพ้และไม่สร้างปัญหาแก่เ้าอีก คิดว่าอย่างไร?”
ไป๋หยุนเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับดวงตาทอประกายวูบ มันกำลังใคร่ครวญหาหนทางรับมือกับสถานการณ์ในปัจจุบัน “บัดซบ! ข้าไม่อาจสังหารพวกมัน ไม่เช่นนั้นทั้งตระกูลหลงต้องทุ่มเทกำลังออกมาแน่ ยามนี้ฝีมือข้าไม่เพียงพอจะต่อสู้กับพวกมันซึ่งหน้า ทำอย่างไรดี? เมื่อไม่อาจใช้ทวนเปลวอัคคีข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะพวกมันทั้งสามได้”
ขณะมองดูคนทั้งสามตรงหน้าที่กำลังกระจายตัวออกเตรียมจะล้อมตนเองไว้ ไป๋หยุนเฟยจึงกัดฟันกรอด มันทราบกระจ่างดีว่าไม่อาจรั้งรอได้อีกแล้ว “ในเมื่อไม่มีทางเลือกก็ได้แต่ใช้มันแล้ว!”
ไป๋หยุนเฟยเก็บทวนเปลวอัคคีในมือกลับมาขณะเดียวกันก็ถีบเท้ากับพื้นทะยานเข้าหาหลงเทากู่ตรงหน้าราวเกาทัณฑ์หลุดจากแหล่ง
“เ้าอยากสู้? เช่นนั้นก็สู้”
