ลูกไฟที่มีความเร็วราวกับลูกะุพุ่งตรงมาโดยไม่อาจจะหลบไปไหนได้พ้นหลินลั่วหรานดึงแส้กลับมา ตั้งใจว่าจะตวัดแส้ออกไปทำให้มันแตกออกเหมือนกับกลุ่มหมอกแต่เธอไม่ได้รู้เลยว่าเมื่อปลายแส้ตวัดออกไปโดนลูกไฟแส้เส้นเหล็กนั้นก็ติดไฟลุกไหม้ขึ้นมา
หลินลั่วหรานตวัดมันลงกระทืบกับพื้นอยู่หลายครั้งแต่ไฟนั้นก็ไม่มีวี่แววจะดับมอดลง เมื่อเห็นว่าเปลวไฟขยายออกเรื่อยๆ เธอก็ต้องตัดใจทิ้งมันลงกับพื้น
เมื่อได้ยินเสียงสะเก็ดไฟเผาไหม้เหล็กขึ้นมา หลินลั่วหรานไม่ได้สนใจอะไรมันอีกแต่กลับพุ่งไปยังตัวของเหวินกวนจิ่ง ในระหว่างที่หลินลั่วหรานกำลังหาทางดับไฟเหวินกวนจิ่งก็ได้จัดการวาดเวทเอาไว้เรียบร้อยแล้ว!
หลินลั่วหรานไม่มีอาวุธใดๆ ที่จะมาขัดขวางลูกไฟของเหวินกวนจิ่งได้อีกแล้วจึงไม่สามารถจะปล่อยให้เหวินกวนจิ่งร่ายเวทได้สมบูรณ์ การต่อสู้ระยะประชิดหลังจากที่ได้ปล่อยหมัดใส่มู่เทียนหนานไปแล้วนั้นหลินลั่วหรานก็มีความมั่นใจในหมัดที่อาจารย์เจี่ยสอนมามากขึ้น เธอกำหมัดขึ้นมา ก่อนจะเหวี่ยงมันตรงไปทางเหวินกวนจิ่ง!
เหวินกวนจิ่งรับรู้ได้ถึงพลังของหมัดนั้นเขาไม่มีเวลาไปร่ายเวทเรียกลูกไฟอีก แต่เมื่อเขาพลิกมือกลับเส้นแสงสีขาวก็ปรากฏออกมา หลินลั่วหรานมองไปยังแสงอันเย็นะเืนั้นก่อนจะบังคับให้ตัวเองหลบไปอีกทาง แต่เมื่อเส้นแสงนั้นขยับผ่านข้างขมับของเธอไปปอยผมของเธอก็ค่อยๆ ลอยละล่องหลุดขาดออกมาอยู่ในอากาศ
เหวินกวนจิ่งชักมือกลับมา เมื่อหลินลั่วหรานตั้งใจเพ่งมองก็เห็นว่ามันคือดาบบางที่ส่องประกายแสงเย็นๆ ออกมา
เมื่อเห็นว่าตัวดาบบางจะดูเบาบางและไม่น่ามีพลังอะไร เหมือนกับพวกดาบแข็งแต่คนที่สามารถใช้อาวุธที่มีความว่องไวสูงแบบนี้โจมตีได้อย่างแม่นยำนั้นถือเป็คนที่มีความสามารถมากทีเดียว
แม้ว่าในทางด้านศาสตร์เหวินกวนจิ่งอาจจะไม่ได้มีระดับที่ลึกเท่าหลินลั่วหรานแต่ถ้าเป็เื่ของการต่อสู้แล้ว เขาคือคนที่ฝึกมาทางด้านนี้โดยตรงไม่ว่าจะเป็ด้านความรู้หรือด้านเวทต่างก็ไม่ใช่อะไรที่เด็กฝึกหัดหน้าใหม่อย่างหลินลั่วหรานจะมาเปรียบเทียบด้วยได้
แต่หลังจากที่หลินลั่วหรานเลือกที่จะต่อสู้แบบประชิดตัวก็พบว่าเพลงดาบของเหวินกวนจิ่งนั้นว่องไวราวกับงูเห็นได้ชัดว่าเป็ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ หรือว่าคืนนี้เธอจะต้องแพ้อย่างไร้ซึ่งความหวังเสียแล้ว?
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมหลินลั่วหรานถึงไม่เลือกใช้พลังเวทสิ่งที่มีข้อจำกัดมากที่สุดก็คือการปรับเปลี่ยนพลังดีที่เหวินกวนจิ่งเป็คนดั้งเดิมของชู่ชาน เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานมือเปล่าแล้วแต่เขากลับถือดาบเอาไว้ในมือ ก็ไม่ได้เอาเปรียบอะไรหลังจากที่ปอยผมของหลินลั่วหรานตกลงมา เขาก็ไม่ได้โจมตีอะไรเธอต่อ
หลินลั่วหรานยืนอยู่ที่เดิมมองไปยังโจวเย่าเวยที่เหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายในตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าเธอควรจะดึงดันต่อสู้กับเหวินกวนจิ่งต่อไปดีไหม
เธอไม่ได้กลัวว่าจะได้รับาเ็อะไรเพียงแต่กังวลว่าตัวเองจะต้องจบลงที่นี่ หรือแม้จะทำร้ายเหวินกวนจิ่งกลับไปได้ก็ยังคงไม่สามารถล้างแค้นให้เป่าเจียได้อยู่ดี...
“ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ได้เต็มที่สินะ พวกเราจบกันแค่นี้ไม่ดีกว่าเหรอ?” เหวินกวนจิ่งเห็นว่าสีหน้าของหลินลั่วหรานผันผวนไปมาจึงเอ่ยออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เหวินกวนจิ่งไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้นหรอกเพียงแต่หลินลั่วหรานมีพลังที่ล้ำลึกกว่าเขา โจวเย่าเวยก็ได้รับาเ็หนักแถมหลังจากนี้อีกครึ่งเดือน หน่วยงานก็จะต้องดำเนินการแล้ว หากเสียผู้ช่วยไปสักคนจะสามารถหาอะไรที่ดีกว่ามาทดแทนได้ มันก็เป็เื่ดีไม่ใช่เหรอ?
หลินลั่วหรานไม่รู้ถึงความคิดของเขาเพียงแต่รู้สึกว่าท่าทางของเหวินกวนจิ่งแปลกประหลาดเกินไป เดี๋ยวก็ต่อสู้เดี๋ยวก็เหมือนจะหยุด แล้วตอนนี้ ก็จะมาสงบศึก?
แม้ว่าเหวินกวนจิ่งจะพูดแบบนั้นแต่ดาบบางที่ถืออยู่กลับไม่ได้ปล่อยวางไปไหน หลินลั่วหรานไม่แน่ใจว่าเขาเพียงแค่หลอกให้เธอตายใจหรือว่ามีแผนอะไรอีกกันแน่
บรรยากาศของทั้งสองเปลี่ยนจากต่อสู้กันมาเป็ประจันหน้า
ในระหว่างที่จิตใจของหลินลั่วหรานกำลังจดจ่ออยู่ที่การต่อสู้ไม่แน่ใจว่าควรจะดึงดันสู้ต่อไป หรือจะเอาไว้มาแก้แค้นวันอื่นแทน ในอุโมงค์ที่ไร้ซึ่งคนข้ามผ่านก็ปรากฏร่างของคนหนึ่งขึ้น
หลังจากที่หลินลั่วหรานถูกปรับสภาพร่างกายไปแล้ว สายตาของเธอก็ดีขึ้นมามากเธอไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกศาสตร์ทั่วไปจะมีกันดังนั้นแม้เธอจะอยู่ในที่มืดมิดแต่เธอก็ยังสามารถที่จะแยกแยะสิ่งต่างๆ ออกได้ด้วยแสงไฟเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เธอจึงสามารถเห็นร่างของใครคนนั้นได้อย่างชัดเจน และนั่นทำให้เธอต้องใขึ้นมา เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือคนที่เพิ่งจะโดนหมัดของเธอเข้าไปอย่างมู่เทียนหนาน!
หลินลั่วหรานได้แต่พร่ำร้องว่าซวยแล้วอยู่ในใจ ศัตรูใหม่ยังไม่ไปไหนศัตรูเก่าก็เข้ามาหา หากว่าเหวินกวนจิ่งและมู่เทียนหนานตกลงกันได้ คนหนึ่งดักหลังคนหนึ่งโจมตี เธอคงจะต้องซวยจริงๆ แล้ว
“เธอ!” มู่เทียนหนานเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะเห็นว่าเป็หลินลั่วหราน จึงได้นิ้วชี้ไปที่เธอพร้อมกับะโออกมาเสียงดัง
ในใจของหลินลั่วหรานเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาเธอรู้สึกราวกับว่าในน้ำเสียงของมู่เทียนหนานนั้นแฝงไปด้วยความดีใจมากกว่าความเกลียด? หรือว่าเขาจะเป็พวกมาโซคิสม์(พวกชอบความเ็ป) หมัดนั้นอาจจะไปโดนเอาส่วนที่เขาชอบขึ้นมาก็เลยไม่รู้สึกเกลียดเธออย่างนั้นเหรอ?
หลินลั่วหรานรู้สึกว่าข้อสันนิษฐานของตัวเองฟังดูน่าขยะแขยงจนขนลุกก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากัน
หลังจากที่มู่เทียนหนานเห็นว่าเป็หลินลั่วหราน เขาก็ไม่ได้ทำอะไรกับเธอแต่กลับวิ่งพุ่งเข้าไปดึงแขนเสื้อของคนข้างหน้า พร้อมกับเอ่ยเสียงเรียก “รุ่นพี่เหวิน” น้ำเสียงของเขาทำเอาหลินลั่วหรานรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมา
แต่เหวินกวนจิ่งกลับไม่ได้ดูรังเกียจอะไร กลับส่งยิ้มกลับไปให้เขา“เสี่ยวหนานจึ กลับมาเมืองหลวงั้แ่เมื่อไร?”
นี่คือเหวินกวนจิ่งที่ต่อสู้อย่างดุเดือดและมีความสามารถทางการต่อสู้สูงคนเมื่อกี้เหรอ? ความคิดหนึ่งพุ่งเข้ามาในใจของหลินลั่วหรานทันที “BL” (Boy’s Love) เธอไม่อาจจะทนดูท่าทาง “น่ารักน่าเอ็นดู” ของพวกเขาต่อไปได้จึงตัดสินใจที่จะวิ่งหนีออกมา
เธอมองไปยังโจวเย่าเวยที่นอนอยู่บนพื้นหลินลั่วหรานอดใจที่จะตวัดแส้ลงไปอีกครั้งเอาไว้ และอาศัย่เวลาที่มู่เทียนหนานและเหวินกวนจิ่งกำลังรำลึกความหลังกันอยู่ออกมาจากอุโมงค์มืดนั้น
มู่เทียนหนานแสดงท่าทางใออกมา “จะทำยังไงดีปล่อยให้เธอหนีไปได้ซะแล้ว!”
เหวินกวนจิ่งสลัดท่าทางใจดีอย่างในตอนแรกทิ้งไปพร้อมกับดึงแขนเสื้อกลับมาจากมือของมู่เทียนหนาน เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย “พอแล้ว เลิกแสดงละครได้แล้ว มาถึงก็มาจับมือฉันเอาไว้ถ้าไม่ใช่เพราะจะหาโอกาสให้เธอนี้ไป แล้วจะทำไปเพื่ออะไรอีก?”
มู่เทียนหนานยิ้มกว้างขึ้น “นั่นก็ต้องได้รับความร่วมมือจากพี่เหวินนะครับถึงจะสำเร็จได้ พี่เหวิน หรือว่าเห็นหนูผู้หญิงนั่นแล้วก็ทำไม่ลงขึ้นมาล่ะ?”
เหวินกวนจิ่งดึงดาบในมือออกมา “คิดว่าใครๆเขาก็เหมือนนายหรือไง! ฉันอยากจะชวนเธอเข้ามาในหน่วยก็เท่านั้น...ถ้าวันนี้ไม่ให้เหตุผลฉันมาฉันจะเอาเื่นี้ไปบอกพ่อนาย!”
มู่เทียนหนานหัวเราะคิกคักพร้อมกับขยับตัวหลบ โดยไม่ได้สนใจอะไรแม้แต่น้อย “ผมรู้เื่ของเธออยู่น่า ถ้าอยากจะลากเธอเข้าไปในหน่วยจริงก็ต้องคุยกับผมก่อน จะว่าไป พี่ชวนคนมาเข้าร่วมหน่วยตอนที่กำลังสู้กันเนี่ยนะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงไม่เคยสำเร็จสักครั้ง ฮ่าๆ!”
เหวินกวนจิ่งมองไปที่เขาด้วยความสงสัย “พูดจริงเหรอ? รู้ที่มาที่ไปของเธอ?” เขามองข้ามคำเยาะเย้ยของมู่เทียนหนานเื่ที่ว่าเขาไม่เห็นทำสำเร็จสักครั้งไปโดยอัตโนมัติ
มู่เทียนหนานพยักหน้าลง “ถ้าพี่เอาดาบเล็กมาให้ผมผมจะบอกก็ได้นะ”
เหวินกวนจิ่งถีบเขาจนกระเด็น “นายไม่ใช่นักปราชญ์ด้วยซ้ำให้ไปแล้วจะเอาไปทำอะไร สิ้นเปลืองของโดยใช่เหตุ!”
หลินลั่วหรานพุ่งออกมาจากอุโมงค์ เลี้ยวมาหลายโค้งจนมั่นใจว่าจะไม่มีใครตามมา ถึงได้เตรียมตัวกลับไป
เธอเพิ่งจะจัดทรงผมของเธอให้เรียบร้อยรถลิงคอร์นสีดำก็มาจอดอยู่ด้านหน้าของเขา ดูเหมือนว่าจะคอยวนรอมานานแล้วกระจกรถถูกลดลง ปรากฏใบหน้าที่สุภาพนุ่มนวลของหลิ่วเจิงออกมา
“ขึ้นรถ!”
หลิ่วเจิงเปิดประตูที่นั่งฝั่งคนขับออก แต่หลินลั่วหรานกลับเปิดประตูหลังก่อนจะเข้าไปนั่งในคืนนี้ ไม่ว่าจะเป็ก่อนไปหาโจวเย่าเวยที่คลับบลูเบิร์ดหรือว่าตอนที่สังสรรค์กับผู้คนมากมาย แม้แต่การต่อสู้ในอุโมงค์มืด ท่าทางของหลินลั่วหรานดูผิดแปลกไปจากปกติมากหลังจากเกิดเื่ทุกอย่างขึ้น สิ่งที่เสียไปไม่ได้มีเพียงแรงและพลังเท่านั้นแต่จิตใจของเธอก็รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมา
เธอนั่งหลับตาพักอยู่ที่เบาะหลัง แต่กลับรู้สึกได้ถึงสายตาของหลิ่วเจิงจึงหรี่ตาขึ้นมากว่าครึ่ง “โจวเย่าเวยได้รับาเ็หนักคุณกลับมารับฉันแบบนี้ ไม่กลัวว่าตระกูลโจวจะสืบตามมาเจอร่องรอยของคุณเหรอ?”
มือที่จับพวงมาลัยของหลิ่วเจิงบีบแน่นขึ้น ที่แท้เธอก็กำลังโกรธเขาอยู่นี่เอง!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้