บทที่ 39 โทษสถานหนัก
ถึงแม้ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งและอันดับสองจากยอดเขาหลักจะชนะการประลองยุทธ์ในครั้งนี้ แต่กลับเสียหน้าย่อยยับ
มองพินิจทั้งสองคนอยู่สักพัก ฉินชูก็กลับเข้ามาในกระโจมที่พักของยอดเขาชิงจู๋ เอ้อพั่งรีบเอาเก้าอี้เข้ามาวางให้เขาทันที ทั้งๆ ที่เหล่าผู้ดูแลและผู้คุมกฎต่างพากันยืนอยู่
ฉินชูนั่งลงอย่างไม่เกรงใจ ทำไมจะนั่งไม่ได้ ไม่มีใครห้ามไม่ให้นั่งหรือบังคับให้ยืนเสียหน่อย
ลูกศิษย์จากยอดเขาพากันมองตาขวางใส่ฉินชู พวกเขาอยากจะฆ่าฉินชูให้รู้แล้วรู้รอด
“หยุดมองข้าแบบนั้นได้หรือไม่ ถ้าเกะกะสายตานักก็เข้ามาท้าสู้กัน ก่อนหน้านี้พวกเ้าดูถูกและเหยียดหยามข้าไม่ใช่หรือ ไหนจะจับข้าขังคุกอีก ดังนั้นข้าคิดว่าที่ข้าทำอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่การกระทำที่เกินเหตุแต่อย่างใด” หลังจากนั่งลง ฉินชูก็พูดยั่วโมโหซูซานเหอขึ้นมา
ซูซานเหอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก พยายามระงับไฟโทสะที่สุมขึ้น ครั้นแล้วซูซานเหอก็เริ่มประกาศอันดับรายชื่อของศิษย์สายใน
หลัวเจินหันมามองฉินชูพลางพยักหน้าให้อย่างพอใจ เขาชื่นชมการกระทำอย่างมีจุดยืนของฉินชูยิ่งนัก พูดสิ่งที่ตัวเองคิดและแสดงจุดยืนออกมาอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็ใคร คิดว่าเป็ปรมาจารย์ผู้ดูแลยอดเขาหลักชิงหยุนและควบตำแหน่งหนึ่งในรองเ้าสำนักแล้วคิดว่าตัวเองมีอำนาจล้นฟ้ากระนั้นหรือ
“ลูกพี่ช่างกล้าหาญเหลือเกิน” เอ้อพั่งคว้ากาน้ำชามาจากศิษย์รับใช้คนหนึ่ง จากนั้นก็รินให้ฉินชูหนึ่งถ้วย
จิบชาให้ชุ่มคอเล็กน้อย ฉินชูก็ดูการประลองของลูกศิษย์สายในต่อ
หลายคนที่เห็นการกระทำเช่นนี้ของฉินชูล้วนคิดว่าไม่เหมาะสม นอกจากบริเวณที่นั่งของซูซานเหอและผู้าุโจากยอดเขาชิงหยุนสองสามท่านแล้ว บนโต๊ะของปรมาจารย์ผู้ดูแลยอดเขาอื่นล้วนมีกาน้ำชาตั้งอยู่ แต่กลับไม่มีคนดื่ม แต่ฉินชูกลับนั่งจิบชาบนเก้าอี้หวาย มีศิษย์รับใช้คอยปรนนิบัติพัดวีอย่างเป็พิเศษ เห็นแล้วช่างขัดตาเสียจริง
ผู้ดูแล ผู้คุมกฎและผู้าุโจากยอดเขาชิงจู๋ต่างไม่มีความเห็นในแง่ลบกับเื่นี้ พวกเขาคิดว่าเป็เื่ปกติ หากยอดเขาอื่นจะคิดว่าไม่เหมาะสมก็เป็เื่ของพวกเขา
การประลองยังคงดำเนินต่อไปไม่หยุด ครั้งนี้ศิษย์สายในจากยอดเขาชิงจู๋แสดงศักยภาพออกมาได้อย่างโดดเด่น มีสองคนที่ผ่านเข้าไปเป็สิบอันดับแรก แต่คนที่ผ่านเข้าสิบอันดับแรกส่วนใหญ่ล้วนเป็ลูกศิษย์จากยอดเขาหลัก ซึ่งมีถึงสามคน ส่วนที่เหลือเป็ลูกศิษย์จากยอดเขาอื่น แต่ก็มีอยู่หนึ่งยอดเขาที่ไม่มีศิษย์สายในผ่านเข้าไป
เมื่อได้รายชื่อสิบอันดับแรกมา การประลองในรอบจัดอันดับก็เริ่มขึ้น
หลังจากการประลองในรอบจัดอันดับจบลงก็ประกาศผล ศิษย์สายในจากยอดเขาชิงจู๋คนหนึ่งถูกจัดอยู่ในอันดับสาม ศิษย์สายในจากยอดเขาหลักถูกจัดอยู่ในอันดับสอง ส่วนอันดับหนึ่งตกเป็ของศิษย์สายในผู้หญิงจากยอดเขาเชียนหลัว
“ศิษย์สายในอัจฉริยะอย่างซั่งซูอวี๋กำลังเข้าฌานฝึกตนอยู่ ช่างน่าเสียดายที่นางไม่สามารถเข้าร่วมการประลองยุทธ์ครั้งนี้ได้ เช่นนั้นข้าขอประกาศอันดับรายชื่ออย่างเป็ทางการเลยแล้วกัน...” ซูซานเหอหยิบยกซั่งซูอวี๋ขึ้นมาเพื่อพูดโอ้อวด จากนั้นถึงได้ประกาศผลการประลอง
หลังจากประกาศผลเสร็จ ซูซานเหอก็มองฉินชูด้วยสายตาท้าทาย ทำนองว่า ‘ถ้าเก่งนักก็เข้ามาอีกสิ!’
ศิษย์สายในผู้หญิงที่ได้อันดับหนึ่งจากยอดเขาเชียนหลัวแข็งแกร่งอย่างเป็ที่ประจักษ์ กระบวนท่าเพลงกระบี่์ถูกขัดเกลามาอย่างไร้ข้อกังขาจนไม่อาจทะลวงการป้องกัน แต่ก็ใช่ว่าจะทะลวงไม่ได้ เพียงแต่ค่อนข้างยากสำหรับผู้ฝึกตนขั้นที่สามหนิงหยวนเหมือนกัน กระบวนท่าโจมตีก็กระหน่ำต่อเนื่องไร้ช่องโหว่ เป็เหตุให้คู่ต่อสู้ที่ได้ประมือกับนางล้วนต้านทานการโจมตีนี้ไม่ไหว
“นี่เ้ากำลังยั่วโมโหข้าอยู่กระนั้นหรือ เช่นนั้นก็ย่อมได้” ฉินชูวางถ้วยชาลง จัดระเบียบเสื้อผ้าของตัวเองก่อนเดินออกไปยังลานประลอง
“อันดับสอง เ้าชื่ออู๋เฉิงใช่หรือไม่ ต้องยอมรับว่าเ้าแข็งแกร่งไม่เบา ดังนั้นข้าอยากลองขอท้าสู้กับเ้าเพื่อพิสูจน์ว่าเ้าคู่ควรกับอันดับสองหรือไม่ ข้าเป็ศิษย์รับใช้ เ้าคงไม่ปฏิเสธศิษย์รับใช้อย่างข้าใช่หรือไม่ ถ้าเ้าปฏิเสธก็ย่อมได้ แต่ว่าคนอื่นเขาจะเอาไปพูดได้ว่าเ้าไม่กล้ารับคำท้าของศิษย์รับใช้ เช่นนี้คงเสียหน้าน่าดู” ฉินชูพูดขึ้นอย่างกวนประสาท
“ไอ้สวะ ไปตายเสีย!” อู๋เฉิงเืขึ้นหน้าทันที ร่างของเขาพุ่งเข้าใส่ฉินชูจนแทบมองไม่ทัน กระบี่ยาวตั้งขนานพื้น ปลายกระบี่แหลมคมจ่อชี้ไปที่คอฉินชูอย่างแม่นยำ
เสียงปลดกระบี่ออกจากฝักดังขึ้น กระบี่ยาวของฉินชูพลันแตะปะทะปลายกระบี่ของอู๋เฉิงอย่างน่าเหลือเชื่อ ทำเอากระบวนท่าโจมตีของอีกฝ่ายแปรปรวน “เ้าคิดจะฆ่าข้าหรือ”
“ใช่ ข้าจะฆ่าเ้า เป็แค่เศษสวะริอ่านมาท้าทายข้า เ้ามันตัวอะไรกัน ก่อนหน้านี้ยังบังอาจมาดูิ่องค์ชายชิงของพวกเราอีก เ้าต้องตายสถานเดียว” อู๋เฉิงะเิโทสะออกมาก่อนพุ่งเข้าโจมตีอีกระลอก
สมควรตายเท่านั้น
ใบหน้าของอู๋เฉิงอัดแน่นไปด้วยจิตสังหาร ท่วงท่าตวัดกระบี่เปี่ยมด้วยพลังรุนแรง ไร้การยั้งมือ คิดจะฆ่าฉินชูให้ตายในทีเดียว
ตอนนี้ฉินชูรับรู้แล้วว่าอู๋เฉิงเป็คนของพวกเฉียนชิง ไม่งั้นคงไม่เรียกเฉียนชิงว่าองค์ชายชิง และขณะที่พูดถึงนั้น หางตาของอู๋ชิงยังเหลือบไปมองบริเวณที่นั่งของพวกเฉียนชิงอีก
กระบี่ยาวพลันขยับ ฉินชูเริ่มวาดลวดลายเพลงกระบี่จากเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ เพียงตวัดแค่ครั้งเดียวก็ปัดการโจมตีของอู๋เฉิงได้ทันที ต่อด้วยฟันกระบี่จนกระบี่ขนานกับพื้น
สีหน้าของอู๋เฉิงเปลี่ยนไป เขารีบชักกระบี่กลับมาตั้งรับ ทว่าฉินชูรวดเร็วเกินไป ตอนที่คมกระบี่ของฉินชูฟันเข้ามาประชิดหน้าอก อู๋เฉิงชักกระบี่กลับมาป้องกันเอาไว้ได้อย่างเฉียดฉิว แต่กระนั้นคมกระบี่ไร้รูปทรงก็ปาดเขาจนเป็แผลยาว
ในเวลาเดียวกัน แรงปะทะตอนกระบี่กระทบกันทำเอาอู๋เฉิงเสียหลักถอยหลัง เนื่องจากพละกำลังทางร่างกายของฉินชูแข็งแกร่งผิดมนุษย์มนา ทำให้มีแรงส่งมหาศาล แน่นอนว่าอู๋เฉิงไม่มีทางต้านทานไหว
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเสียหลัก ฉินชูพลันเค้นแรงไปที่ฝ่าเท้า ร่างกายอันกำยำะโขึ้นกลางอากาศ มือง้างกระบี่ขึ้นเหนือศีรษะและเล็งไปที่คอของอู๋เฉิง
อู๋เฉิงเสียหลักถอยหลังไปสองสามก้าวก็กลับมายืนตั้งมั่นได้อีกครั้ง เขารีบยกกระบี่ตั้งเป็แนวขวางเหนือศีรษะเตรียมรับการโจมตีที่มาจาก้า
เพียงเสี้ยวพริบตาที่กระบี่ทั้งสองกำลังจะกระทบกัน ฉินชูตวัดข้อมือเพียงเล็กน้อย วิถีกระบี่พลันเปลี่ยนไปในบัดดล จากฟาดฟันเปลี่ยนเป็เฉือนเข้าไปที่แขนขวาของอู๋เฉิง
ใบหน้าของอู๋เฉิงฉายแววหวาดกลัว เพราะกระบวนท่าของฉินชูเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่มีทางตั้งรับทันแน่นอน
ฉับ!
แสงกระบี่ฉายวาบ แขนของอู๋เฉิงพลันถูกเฉือนจนขาด ไม่หยุดเพียงเท่านั้น ฉินชูชักกระบี่กลับมาอีกครั้ง จากนั้นก็เปลี่ยนกระบวนท่าฟันเข้าไปที่คอของอู๋เฉิงทันที
“เดิมทีข้าคิดจะต่อสู้วัดฝีมือเฉยๆ แต่เ้าคิดจะฆ่าข้าจริงๆ ดังนั้นก็ช่วยไม่ได้ ศักดิ์ศรีขององค์ชายชิงบ้าบออะไรกัน แตะต้องไม่ได้ขนาดนั้นเชียวหรือ หึ! ข้าคนนี้จะเหยียบย่ำมันเอง” ฉินชูเก็บกระบี่เข้าฝัก จากนั้นก็ก้มเก็บกำไลมิติและอาวุธของอู๋เฉิงอย่างไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง
“ฉินชู เ้าอยากตายนักหรือ เป็แค่ศิษย์รับใช้แต่กลับบังอาจฆ่าศิษย์สายใน มาจับตัวมันออกไป” ซูซานเหอโมโหจัด ฉินชูกล้าลงมือฆ่าศิษย์สายในจากยอดเขาหลักแบบนี้ มันเท่ากับขู่ขวัญกันชัดๆ
“รอก่อน ศิษย์รับใช้ก็เป็ลูกศิษย์ของสำนักชิงหยุนเหมือนกัน เห็นๆ อยู่ว่าเขาจะฆ่าข้า แล้วทำไมข้าถึงฆ่าเขากลับไม่ได้ ไม่ทราบว่าท่านทำตามกฎของสำนักหรือกฎของตัวเองกันแน่” เมื่อเห็นผู้คุมกฎสองสามคนเดินมาทางตัวเอง ฉินชูก็พูดขึ้นเสียงดัง
หลัวเจินลุกขึ้นเช่นกัน “ใช่แล้ว ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเป็กฎของสำนักหรือกฎของท่านกันแน่ หากลูกศิษย์จากยอดเขาหลักจะฆ่าจะแกงลูกศิษย์จากยอดเขาชิงจู๋ คิดว่าลูกศิษย์จากยอดเขาชิงจู๋ทำได้แค่หดหัวรอถูกฆ่ากระนั้นหรือ”
“ท่านปรมาจารย์หลัว ท่าทีของท่านตอนนี้หมายความว่าอย่างไร ้าจะมีปัญหากับข้าอย่างนั้นหรือ” ซูซานเหอหน้าแดงก่ำ หลัวเจินพูดจาไม่ไว้หน้าของเขาแม้แต่น้อย
“ท่านไม่สนใจชีวิตของลูกศิษย์จากยอดเขาชิงจู๋ แล้วข้าต้องไว้หน้าท่านด้วยหรือ!” หลัวเจินไม่ยอม ในเมื่อฉินชูสู้ไม่ถอย แล้วเขาจะถอยได้อย่างไร
“เอาล่ะ ลูกศิษย์จากยอดเขาหลักเป็ฝ่ายคิดจะฆ่าลูกศิษย์ในสำนักเดียวกันเองก่อน ถือว่าเป็โทษสถานหนัก แต่เื่นี้พอแค่นี้เถอะ” ลู่หยวนลุกขึ้นและเข้าควบคุมสถานการณ์
ซูซานเหอหันไปมองลู่หยวน “ท่านาุโลู่ ฉินชูเพิ่งจะฆ่าคนไป แบบนี้ศิษย์สายในคนนี้ก็ตายอย่างเสียเปล่ากระนั้นหรือ”
“เช่นนั้นข้าขอถามหนึ่งคำถาม ตอนที่อู๋เฉิงคิดจะฆ่าอีกฝ่าย ทำไมท่านรองเ้าสำนักซูถึงไม่คิดจะห้าม” ลู่หยวนหันไปถามซูซานเหอ
“ข้าห้ามไม่ทัน” ซูซานเหอตอบบ่ายเบี่ยง แต่ไฟโทสะที่สุมอยู่ในอกแผดเผาจนเืเดือนพล่านไปทั้งตัว นอกจากหลัวเจินแล้ว ผู้าุโทรงคุณวุฒิอย่างลู่หยวนก็ไม่ไว้หน้าเขาเช่นกัน
เหล่าผู้คุมกฎไม่กล้าขยับเข้าใกล้ฉินชูไปมากกว่านี้ เพราะลู่หยวนเป็ผู้าุโทรงคุณวุฒิที่ทำหน้าที่ดูแลเหล่าผู้คุมกฎทั้งหมดในสำนักชิงหยุน ในเมื่อลู่หยวนเห็นว่าการกระทำของอู๋เฉิงเป็โทษสถานหนัก พวกเขาก็ขัดอะไรไม่ได้
“ไม่ทราบว่าแม่หญิงพอจะประลองฝีมือกับข้าได้หรือไม่” ในเมื่อไม่มีใครจ้องหาเื่เขาอีก ฉินชูก็มองไปยังลูกศิษย์ผู้หญิงจากยอดเขาเชียนหลัวที่ได้อันดับหนึ่ง
“เ้าเป็บ้าหรือไง” เมื่อได้ยินคำพูดของฉินชู ปรมาจารย์ผู้ดูแลยอดเขาเชียนหลัวก็ะโด่าขึ้นมาลั่นลานประลอง