“ผมกำลังจะพูดเลยว่าชุดของคุณเซ็กซี่มาก ดูสายตาของพวกลามกพวกนั้นสิทำไมเราไม่กลับไปเปลี่ยนล่ะ กลับไปเปลี่ยนเลยดีไหม?” ฉินเฟิงก้มหัวและเป่าหูของไป๋ชิงเบาๆ
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าไป๋ชิงคือเด็กสาวเมื่อห้าปีก่อนฉินเฟิงเริ่มเลี้ยงดูเธอเหมือนกับผู้หญิงของเขาแล้วถ้าผู้หญิงของเขาสวยเกินไปนั่นก็จะเป็ปัญหา
ไป๋ชิงรู้สึกถึงลมร้อนที่หูและร่างของเธอก็อ่อนแรงเล็กน้อยฉินเฟิงโอบเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย เธอจ้องเขาอย่างติเตียน“นายน้อยฉินคะ…แขนคุณขยับไปมาด้านหลังฉันและยังกล้าพูดว่าคนพวกนั้นลามกอีกเหรอคะ?”
ฉินเฟิงกระแอมอย่างอึดอัดหลายครั้งเขาเลื่อนมือออกไปแต่ยังวางไว้บนหลังที่เรียบเนียนสวยงามของไป๋ชิง “โอเคฉันจะไม่พูดอีกก็ได้”
คนดูนั้นไม่ได้ดูด้วยความชื่นชมพวกเขาดูด้วยความอิจฉาและเกลียดชังพร้อมกันในขณะที่ฉินเฟิงเชิดหัวขึ้นอกผายไหล่ผึ่งและพาไป๋ชิงมานั่งลงที่โต๊ะกลมตัวใหญ่ที่ผู้คนกำลังยืนคุยกันอยู่โดยมีโต๊ะบุฟเฟ่ต์ล้อมรอบพวกเขาโดยไม่รู้ว่าเจตนาหรือไม่
นี่เป็โต๊ะใหญ่ที่สามารถจุได้สามสิบคนทุกคนนั่งเต็มไปครึ่งโต๊ะและยังคงทยอยเข้ามาเรื่อยๆ เพื่อนั่งลงในไม่ช้าทุกคนก็มาถึงแล้ว
ตลอดเวลาฟางจื้อิยืนอยู่หลังม่านของเวทีเขาแอบมองรูปร่างสุดเซ็กซี่ของไป๋ชิงและกลืนน้ำลายเมื่อเขาคิดว่าฉินเฟิงกำลังจะโดนกระทืบและไป๋ชิงก็จะโผเข้าสู่อ้อมกอดของเขาแล้วใช้เวลาด้วยกันกับเขาทั้งคืนฟางจื้อิก็ซ่อนรอยยิ้มไม่อยู่
เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงรุ่นมาถึงแล้วเขาก็ค่อยๆ ออกมาจากหลังม่าน
เขาแต่งตัวอย่างดีเพื่องานเลี้ยงรุ่นในคืนนี้เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวพร้อมกับเสื้อหางยาวสีขาว เนกไทสีขาว กางเกงสแล็คสีขาวรองเท้าสีขาว และเข็มขัดสีขาว เขาคิดว่าตัวเองเป็เ้าชายขี่ม้าขาว
เขายืนตรงตระหง่านอยู่บนเวทีฟางจื้อิดีดนิ้ว และแสงไฟบนเวทีก็ฉายแสง ฉายผม ชุด และใบหน้าของเขาภายใต้แสงอ่อนๆ เขาโค้งคำนับไปทางผู้ชมอย่างสุภาพบุรุษสายตาของเขากวาดมองอย่างสุภาพอ่อนโยนกับทุกคน เหล่าผู้ชมค่อยๆ มองไปทางฟางจื้อิผู้หญิงบางส่วนอ้าปากค้างจนยัดไข่เป็ดเข้าไปได้ทั้งฟอง
“ว้าว! หล่อจังเลย ฟางจื้อินี่หล่อจริงๆ!”
“ตลอดมาฉันฝันว่าสักวันคนรักของฉันจะมารับฉันขึ้นไปบนเมฆสีรุ้งแต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้วฉันหวังว่าเขาจะเหมือนเ้าชายชุดขาวที่มารับฉันขึ้นไปนั่งบนม้าขาว!”
เมื่อเขาได้ยินเสียงวี้ดว้ายตื่นเต้นจากผู้ชมฟางจื้อิก็รู้สึกดีเขาได้กลายเป็จุดสนใจอีกครั้งและเขาก็ยินดีที่จะอยู่ในตำแหน่งนี้ภายใต้สายตาของคนดู เขากำลังจะเปิดปากและใช้เสียงทุ้มลึกเพื่อคุมผู้ชมอีกครั้งแต่แล้วเสียงเนือยๆ ก็ดังออกมาจากข้างล่างเวที
“ชิงชิง ดูเหมือนว่าแก้มขวาของคนนั้นมันจะบวมนะ มันไปโดนใครต่อยมาหรือเปล่าเนี่ย?ทำไมคนพวกนั้นต้องวี้ดว้ายใส่คนที่หน้าถูกต่อยล่ะ? บ้าหรือเปล่า?”
ฉินเฟิงไม่สนสายตาเหี้ยมเกรียมที่มุ่งหน้ามาทางเขาเขายืดแขนอย่างสบายอารมณ์และโอบหลังของไป๋ชิง
ไป๋ชิงจ้องฉินเฟิงและแอบบ่นมันก็คุณไม่ใช่หรือไงที่เป็คนต่อย?
“อะแฮ่ม ทุกคนเงียบก่อน”ยังดีที่ฟางจื้อิเป็คนถือไมค์ไม่งั้นเขาคงโกรธจนตายเพราะคำพูดของฉินเฟิง“อย่างแรกผมอยากจะขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงรุ่นที่ผมจัดขึ้นมาใน่เวลาที่ยุ่งวุ่นวายในเมื่อทุกคนมาแล้วนั่นก็หมายความว่าทุกคนไว้หน้าผมและแสดงว่าคุณไม่เคยลืมมิตรภาพอันลึกซึ้งในสมัยเรียน...”
ฟางจื้อิควบคุมเหตุการณ์อีกครั้งเขาตั้งใจกลั่นคำพูดในความทรงจำออกมาจากหัวใจเขาเชื่อว่าคำพูดที่น่าหลงใหลจะฝังความประทับใจบนสาวสวยในหมู่ผู้ชมอย่างไรก็ตามเมื่อเขาพูดไปได้ครึ่งทางก็มีเสียงเนือยๆ ตัดบทอีกครั้ง
“ไอ้หยา ไอ้หมอนี่มันทำให้ฉันง่วงแฮะ”ฉินเฟิงกอดไป๋ชิงและฝังหัวลงไปในอ้อมกอดของเธอโดยตั้งใจถูกับหน้าอกของเธอ“ถ้านายไม่บอกว่าจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้กับงานเลี้ยงรุ่นนี้ ดูซิว่าใครจะมาไหม”
คำพูดของฉินเฟิงทำให้ทุกคนในนี้โกรธ
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่สีหน้าของฟางจื้อิที่ยืนอยู่บนเวทีซีดเผือดสีหน้าของทุกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะก็หมองหม่นไปทีละคน
“นายหมายความว่าไง? นายหมายความว่าเรามาที่นี่เพื่อกินข้าวฟรีเหรอ?”ผู้หญิงชี้หน้าและเริ่มะโไปที่ฉินเฟิงด้วยคำพูดเสียดแทง
ฉินเฟิงดันไป๋ชิงออกจากอ้อมกอดเขาไม่แม้แต่จะมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นและพูดแบบไม่รีบ “ไม่ใช่แค่ข้าวฟรีแม้แต่ที่พักก็ฟรีตั้ง 1 วัน 1 คืน”
ดวงตาของเธอเป็สีดำขลับฉินเฟิงทำให้เธอโกรธมากจนพูดไม่ออก
เธอแพ้ทันทีแล้วผู้ชายก็ยืนขึ้นอย่างไม่พอใจ “ฉินเฟิงดูด้วยว่าตัวเองคือใครนายไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้นในสมัยเรียนของเรา และฟางจื้อิก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วชวนนายมานายไม่ใช่แค่ไม่รู้คุณคนแต่ยังพูดจาหยาบกร้านอีกด้วย นายมันไอ้คนเนรคุณ”
“ตอนแรกฟางจื้อิก็ไม่อยากชวนฉันหรอกมันแค่มาขอร้องฉันให้มาเพราะมันเห็นว่าถ้าฉันไม่มาไป๋ชิงก็ไม่มาเหมือนกัน”
ฉินเฟิงแสดงความจริงคุณไม่จำเป็ต้องใช้กระบี่ฆ่าคน จอมยุทธ์สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ด้วยประโยคเดียวเขาพูดสองประโยคและก็คว่ำคนสองคนได้แล้ว
“ฉินเฟิง ถ้านายมาที่นี่แค่กินและพักงั้นเราก็ไม่มีอะไรจะพูดแต่อย่าลากความเห็นส่วนตัวที่เลอะเทอะมาที่เรา...ฉันจะให้นายรู้ว่าฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อกินดื่ม หรือพักผ่อน ฉันมาที่นี่เพื่อความสัมพันธ์สามปีในสมัยมัธยมเราช่วยกันผ่านการต่อสู้ของการสอบเข้ามหา’ ลัยนายไม่เข้าใจประสบการณ์ของเราและมิตรภาพของเราที่ฝ่าความเป็ความตายมาด้วยกัน”ขี้ข้าคนแรกของฟางจื้อิ หลิวิ ยืนขึ้นพูดอย่างกล้าหาญและเต็มไปด้วยจิติญญา
แล้วขี้ข้าคนที่สองจ้าวปิน ก็ยืนขึ้นอย่างไม่พอใจ เขาโบกมือและพูดด้วยท่าทางที่ชอบธรรม “ฉันด้วยฉันก็ไม่ได้มาเพื่อกินเพื่อดื่มหรือพักผ่อน ฉันมาที่นี่เพื่อกับเจอทุกคนปกติเรามักจะไม่ว่างและไม่มีเวลามาเจอหน้าคุยกันฉันมีความสุขมากที่นายน้อยฟางสามารถจัดงานเลี้ยงนี้ได้ และฉันขอบคุณเขาอย่างลึกซึ้งกับความยากลำบากของเขา”
“ฉันด้วย!”
“และฉันด้วย!”
“ฉัน!”
ไป๋ชิงไม่รู้ว่าฉินเฟิงพยายามจะทำอะไรเธอยังโกรธที่ฉินเฟิงตั้งใจเบียดเข้าอ้อมกอดของเธอและฉวยโอกาสเธอเธอเพิ่งรู้สึกตัวและรู้ว่าเพื่อนร่วมชั้นของเธอกำลังยืนขึ้นเธอจ้องฉินเฟิงเหมือนเสือกำลังจ้องเหยื่อและดูเหมือนว่าเธอ้าจะโวยเขา