เหยียนหลิงฉานและเวินหรูฮั๋นซึ่งได้รับเชิญจากมู่หลิงจูยืนอยู่ที่ประตูห้องส่วนตัว มองดูฉากที่ล่อแหลมภายในห้องก็อดไม่ได้ที่จะกรีดร้อง และยกมือขึ้นปิดตา
หงเซียไม่ได้คาดคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้อง นางกลัวมากจนไม่กล้าขยับ ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่ประตู
ในเวลานี้แขกเพียงไม่กี่คนที่อยู่บริเวณนั้น เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องก็ค่อย ๆ ทยอยออกไป หลังจากเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นก็พากันลอบถอนหายใจ
มู่อวิ๋นจิ่นสวมผ้าคลุมหน้าแฝงตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชน
มู่หลิงจูและมู่อี้หยาง ได้สติขึ้นมาบ้าง จึงปะติดปะต่อเื่ราวที่เกิดขึ้น เมื่อมองเหตุการณ์เบื้องหน้าก็ถึงกับถลึงตาโตและขมวดคิ้วมุ่นแน่น
“กรี๊ดๆๆ” มู่หลิงจูเห็นร่างชายเปลือยกายตรงหน้าก็กรีดร้องด้วยความใก่อนจะผลักมู่อี้หยางออกไปทันที แล้วคู้ตัวพยายามซ่อนร่างของตัวเอง
หงเซียเองที่เพิ่งเรียกสติของตัวเองกลับมาได้ ก็รีบเข้าหยิบเสื้อคลุมของมู่หลิงจูที่พื้นแล้วสวมให้ผู้เป็นายซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่น่ามองนัก
“ออกไปจากที่นี่ซะ!” มู่หลิงจูกรีดร้องสาปส่ง จากนั้นก็ปิดประตูห้องหมายเลขสี่ลงดัง “ปัง!”
หลังประตูมีเสียงดังครวญครางไม่รู้จบ
“ถ้าจำไม่ผิด ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คุณหนูสี่ของตระกูลมู่หรอกหรือ แล้วชายผู้นั้นคือใคร” แขกคนหนึ่งถามอย่างสงสัย
“ผู้หญิงคนนั้นชื่อมู่หลิงจู ใช่แล้ว… ผู้ชายคนนั้นเองก็ดูคุ้นๆ เหมือนกัน”
“ข้าจำได้ คุณชายรองมู่อี้หยาง ทำไมเขาถึงกอดคุณหนูสี่ที่เสื้อผ้ากระเซอะกระเซิงเช่นนั้นกัน?”
ในเวลานี้มู่อวิ๋นจิ่นที่หาโอกาสพูดออกมาในเวลาที่เหมาะสมก็แสร้งทำเป็เดินผ่าน “ถ้าอย่างนั้นข่าวลือต้องผิดแน่ๆ คนที่มีความสัมพันธ์กับคุณชายรองไม่ใช่คุณหนูสาม แต่น่าจะเป็คุณหนูสี่”
“ใช่ ถูกต้อง เป็เช่นนั้นเอง”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินดังนั้นจึงพูดต่อ “โชคดีที่วันนี้เราได้เห็นถึงความจริง ไม่เช่นนั้นคุณหนูสามสกุลมู่จะถูกเข้าใจผิดโดยเปล่าประโยชน์”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
ในขณะนี้เหยียนหลิงฉาน และเวินหรูฮั๋น ที่ได้รับเชิญยังคงยืนอยู่ที่ประตูห้องส่วนตัว ทั้งสองขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองหน้ากัน
หลังจากนั้นเวินหรูฮั๋นก็พูดเยาะเย้ยเป็คนแรก “หลิงฉาน เ้าบอกว่านางเชิญเรามาที่นี่โดยเฉพาะ เ้ามีความคิดเห็นอย่างไร”
เหยียนหลิงฉานส่ายหน้าเมื่อนึกถึงฉากเมื่อครู่ สายตาของนางก็เผยความดูถูกเหยียดหยามเช่นกัน “สตรีผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรซีหยวน ข้าเกรงว่านางจะไม่สามารถรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้อีกต่อไป”
"ไร้สาระ ไปกันเถอะ"
“อืม”
...
หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นไปแล้วหนึ่งชั่วยาม ทั้งเมืองเตี๋ยฮวาต่างเล่าลือถึงเื่นี้ไปทั่ว
“ผิดแล้วๆ เื่นี้ไม่ใช่คุณหนูสาม แต่เป็คุณหนูสี่ต่างหาก! มีคนเห็นพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องส่วนตัวที่โรงน้ำชาิเยว่ และทั้งสองยังกอดกันในขณะที่ชุดกระเซิงอีก!”
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มเล็กน้อย และกลับบ้านอย่างพึงพอใจ
...
ข่าวลือแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ที่ห้องโถงด้านหน้าของจวนสกุลมู่ อัครเสนาบดีมู่และซูปี้ชิงกำลังคุยเื่สำคัญกับมู่อวิ๋นหาน ทันใดนั้นเห็นพ่อบ้านวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้า
“นายท่าน ฮูหยินมีเื่ไม่ดีเกิดขึ้นขอรับ!”
"เกิดอะไรขึ้น?" อัครเสนาบดีมู่ถามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก เพราะสองสามวันที่ผ่านมามีเื่ให้รำคาญใจมากพอแล้ว แล้วยังจะเกิดอะไรขึ้นตอนนี้อีก!
พ่อบ้านกลืนน้ำลายก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอัครเสนาบดีและซูปี้ชิง เขามีท่าทีหวาดกลัวเล็กน้อยที่จะพูดต่อ
หลังจากลังเลอยู่นาน เขาก็พูดอย่างเหนียมอายว่า “ลือกันว่าคุณหนูสี่และคุณชายรองกอดกันในโรงน้ำชาิเยว่ ท่าทางของพวกเขาก็ดูสนิทสนมกัน แเื่ที่อยู่ในโรงน้ำชาต่างเห็นด้วยสายตาตนเอง ตอนนี้ทุกตรอกซอกซอยกำลังพูดถึงเื่นี้ ว่าคุณหนูสี่ต่างหากที่มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับองค์ชายรอง...”
"อะไรนะ?!"
"อะไรนะ?!"
อัครเสนาบดีมู๋และซูปี้ชิงพูดพร้อมกัน ทันใดนั้นสีหน้าของทั้งคู่ก็พลันถอดสีจนดูแทบมิได้
“ตอนนี้จูเอ๋อร์อยู่ที่ไหน?” ซูปี้ชิงขมวดคิ้วถามพ่อบ้าน
พ่อบ้านตกตะลึง “หลังจากเหตุการณ์นั้น คุณหนูสี่วิ่งไปที่ชานเมืองเพื่อทิ้งตัวลงไปในทะเลสาบ ทว่าโชคดีที่หงเซียหยุดนางไว้ได้ทัน”!
“เร็วเข้า พาข้าไปหา จูเอ๋อร์!"” ซูปี้ชิงรีบออกไปโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด
อัครเสนาบดีมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังโกรธมาก เขากุมหัวใจด้วยความเ็ปและทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ “ครอบครัวนี้อับโชคนัก ครอบครัวอัปมงคลนัก...”
มู่อวิ๋นหานซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ มองฉากนี้ด้วยสายตาครุ่นคิด จากนั้นจึงบอกบ่าวรับใช้หลายคนว่า “พาท่านพ่อกลับไปพักผ่อนซะ”
“ขอครับ คุณชายใหญ่”
เมื่อมู่อวิ๋นหานมาถึงสวนหลังจวน เขาเห็น เงาคนะโข้ามกำแพงมาจากด้านนอก
“มู่อวิ๋นจิ่น”
ทันทีที่มู่อวิ๋นจิ่นปีนลงมาจากรั้ว นางก็ได้ยินใครบางคนเรียกชื่อนาง ก่อนจะหันกลับไปดู และพบว่าเป็มู่อวิ่นหานยื่นอยู่ด้านหลัง
“พี่ใหญ่ เป็ท่านนี่เอง” มู่อวิ๋นจิ่นกระตุกมุมปากของตน เผชิญหน้ากับมู่อวิ๋นหานด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อยด้วยเหตุผลบางประการ
อย่างไรเสียมู่หลิงจูยังถือว่าเป็น้องสาวแท้ ๆ ของเขา อวิ๋นจิ่นเพิ่งทำลายชื่อเสียงของน้องสาวจนป่นปี้ มิรู้ว่าในฐานะพี่ชายใหญ่ควรจะสั่งสอนนางเช่นไรดี!
“อืม… ทักษะการปีนกำแพงของเ้าดีมาก ดูเหมือนว่าใน่ที่ข้าไม่อยู่ เ้ามักจะแอบออกไปข้างนอก” มู่อวิ๋นหานพูดขณะมองมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มริมฝีปากก่อนจะส่งยิ้มอย่างซุกซน “ท่านพี่ ชมข้าเกินไปแล้ว”
“เื่ของหลิงจูเกี่ยวข้องกับเ้าหรือไม่” มู่อวิ๋นหานยังคงถามต่อ
แม้ว่ามู่อวิ๋นจิ่นจะไม่เข้าใจความหมายถึงสิ่งที่มู่อวิ๋นหาน้าจะสื่อ ทว่านางยังคงพยักหน้าและยอมรับว่า “ “เื่เมื่อวานนี้เป็ฝีมือของข้าเอง ข้าแค่ทำเช่นเดียวกันกับที่มีคนทำไว้กับข้า ข้า้าเอาคืนบ้างก็เท่านั้น”
มู่อวิ๋นจิ่นคิดว่ามู่อวิ๋นหานจะสอนบทเรียนบางอย่างให้กับนาง แต่เขากลับหัวเราะเบา ๆ และพูดกับนางว่า “ไม่ผิดหรอก ที่เ้าจะรู้จักเอาคืน”
“แค่กลอุบายนี้สร้างปัญหามากเกินไป จะดีกว่าถ้าทุบตีและทำให้นางพิการ” มู่อวิ๋นหานหัวเราะเบา ๆ
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งนี้ นางมองไปที่มู่อวิ๋นหานอย่างงงงวย เขาเป็พี่ชายแท้ๆ ของมู่หลิงจูมิใช่หรือ?
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ ก็มีเสียงแว่วดังอยู่ข้างหน้า
“รีบไปหาหมอ ตอนนี้จูเอ๋อร์อารมณ์ไม่คงที่” เสียงที่ตื่นตระหนกของซูปี้ชิงดังขึ้น
“ท่านแม่ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ข้าไม่มีหน้าจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ให้ข้าตาย… ให้ตายเถอะ!” เกือบจะทันทีก็ได้ยินเสียงมู่หลิงจูร้องโอดครวญดังขึ้น
เมื่อเห็นสิ่งนี้ มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความภาคภูมิใจที่แฝงอยู่ในดวงตาคู่สวย ก่อนที่นางจะโบกมือให้มู่อวิ๋นหาน “ข้ารู้สึกเพลียเหลือเกิน ข้าจะกลับไปพักผ่อน”
“อืม” มู่อวิ๋นหานพยักหน้าเบา ๆ มองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นที่ถอยกลับไป ด้วยท่าทีที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
...
ในตอนกลางคืน ประตูของเรือนบุปผาภิรมย์ถูกเปิดออกเสียงดังโครมคราม
ซูปี้ชิงแสดงท่าทีแข็งกร้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตามด้วยบ่าวรับใช้อีกหลายคน
มู่อวิ๋นจิ่นเหมือนกำลังรอซูปี้ชิงอยู่ก็มิปาน เพราะในขณะนี้เรือนบุปผาภิรมย์ยังคงมีแสงสว่างไสวส่องอยู่ และตัวนางเองก็กำลังนั่งอยู่กลางลานพร้อมกับชาสองถ้วยบนโต๊ะหิน
“มู่อวิ๋นจิ่น เ้าคนสารเลว! เ้ามันชั่วช้า น่ารังเกียจ และไร้ยางอายที่คิดกลอุบายเช่นนั้นเพื่อทำร้ายจูเอ๋อร์” ซูปี้ชิงสาปแช่งด้วยความโกรธเมื่ออยู่ต่อหน้ามู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นเงยหน้าขึ้นอย่างเฉื่อยชาและมองไปที่ซูปี้ชิง “ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีใครที่ด่าทอตนเองได้ไหลลื่นเช่นนี้!”
“เื่ที่เกิดขึ้นนี้สาเหตุมาจากท่านแม่กับน้องสาวเป็คนก่อขึ้นมิใช่หรือ? พอเื่นี้เกิดกับตนเองบ้าง ก็กลายเป็ว่าอีกฝ่ายเป็คนสารเลวชั่วช้าไปเสียแล้ว?” มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้ว เปรยด้วยเสียงแ่เบา
ซูปี้ชิงถึงกับชะงักงัน ดวงตาแดงก่ำเมื่อได้ยินได้ฟังจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์ “เ้าก็แค่เด็กเมื่อวานซืน ไม่มีสิทธิ์เอาตัวมาเทียบกับจูเอ๋อร์! หลายปีมานี้ข้าให้เ้าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในจวนเยี่ยงคุณหนูผู้สูงส่ง ไม่นึกไม่ฝันว่าจะหันมาแว้งกัดเอาได้!”
“ซูปี้ชิง ข้าเคยเตือนสติท่านหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าอย่าได้ล้ำเส้นข้า มิฉะนั้นข้าจะเล่นงานบุตรสาวมู่หลิงจูที่เป็ดั่งแก้วตาดวงใจของท่านให้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”
“เป็เพราะท่านแม่ความจำไม่ดี และ้าท้าทายความสามารถของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า” มู่อวิ๋นจิ่นหรี่ตาที่แฝงไปด้วยความเยือกเย็นของนางลง
“สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้คือเดิมทีเป็พวกท่านที่้าเอาชีวิตข้า ข้าก็แค่ตอบโต้ ส่วนมู่หลิงจูกลับรนหาที่เอง จะมาโทษข้าไม่ได้เด็ดขาด!” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยอย่างรำคาญ แววตาแฝงไปด้วยความสาแก่ใจ
ซูปี้ชิงหายใจเข้าลึกๆ ร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม และจากนั้นก็สาวเท้าเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง “มาเลย สอนบทเรียนนางโง่เขลาคนนี้ ให้ข้าดูหน่อย!”
หลังจากที่ซูปี้ชิงพูดจบ บ่าวรับใช้หลายคนก็เข้ามาข้างหลังนาง ทุกคนถือไม้เท้าอยู่ในมือ
เมื่อเห็นเช่นนี้จื่อเซียงก็รีบเข้าไปทันที “ฮูหยิน ท่านจะทุบตีคุณหนูไม่ได้ คุณหนูกำลังจะแต่งงานกับองค์ชายหก หากเกิดเื่ไม่คาดฝันขึ้นมา ฮูหยินไม่มีทางรับผิดชอบได้แน่นอนเ้าค่ะ”
เพียะ! ซูปี้ชิงยกมือขึ้นตบหน้าจื่อเซียง ก่อนจะถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างชั่วร้าย “ตอนนี้แม้แต่บ่าวรับใช้ที่ต่ำต้อยก็ยังกล้าต่อกรกับข้า”
“มานี่ ข้าทุบตีทาสต่ำต้อยคนนี้ให้ตาย!”
หลังจากพูดจบ บ่าวรับใช้ก็แบ่งออกเป็สองฝ่าย แยกกันไปหามู่อวิ๋นจิ่นและจื่อเซียงตามลำดับ
ดวงตาของมู่อวิ๋นจิ่นเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า นางหมุนข้อมือของตน ทันใดนั้นแส้หางหงส์ที่พันรอบข้อมือก็คลายออก พลันมีแสงสีทองส่องประกายในคืนที่มืดมิด
มู่อวิ๋นจิ่นโบกมือของนาง และแส้หางหงส์ก็พันรอบคอของหัวหน้าบ่าวรับใช้ นางออกแรงดึงเบา ๆ คอของบ่าวรับใช้ก็บิดและตายลงในที่สุด
เมื่อเห็นสิ่งนี้ คนที่เหลือก็ยืนอยู่กับที่ด้วยความใจนไม่กล้าขยับเขยื้อน
“เ้ารู้วิธีการต่อสู้?” ซูปี้ชิงพูดอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อมองไปที่รูปลักษณ์ที่เรียบร้อย เมื่อเทียบกับความว่องไวของมู่อวิ๋นจิ่นในตอนนี้ แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถบอกได้ว่าการต่อสู้ของนางนั้นนับว่าไม่ธรรมดา
“ไม่เกี่ยวอะไรกับเ้า” มู่อวิ๋นจิ่นพูดอย่างเ็า สายตาจับจ้องไปที่บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านข้าง “เ้าคนไหนอยากรนหาที่ตายอีก!”
เมื่อได้ยินดังนั้น บ่าวรับใช้ก็ต่างพากันมองร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นและไม่มีใครกล้าก้าวออกมาอีก
ซูปี้ชิงมองกลุ่มบ่าวรับใช้ที่บัดนี้ไม่มีใครกล้าขยับก่อนจะนึกก่นด่าอยู่ในใจ หรือว่านางจะจัดการนางคนชั่วไม่ได้หรือ?
ไม่! ไม่มีทาง! ข้าไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน!
เพียงแต่ว่าวันนี้นางอยู่กับมู่อวิ๋นจิ่นก็มีแต่เสียเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่อง ในเมื่อเป็เช่นนี้… นางมีแต่ต้องสู้ให้ถึงที่สุด
หลังจากคิดเกี่ยวกับเื่นี้ ซูปี้ชิงหันหลังกลับและเดินจากไปในทันที
เมื่อเห็นดังนั้น บ่าวรับใช้ก็ต่างพากันรีบวิ่งตามหลังซูปี้ชิงไปเช่นกัน
นอกเรือนบุปผาภิรมย์ ซูปี้ชิงหันไปสบตากับป้าหลี่ที่มากับนางอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะพูดว่า “ไปหาคนที่จะฆ่ามู่อี้หยางให้ข้า!”
“ข้า้าให้ทุกคนในเมืองเตี๋ยฮวารู้ว่าเป็มู่อวิ๋นจิ่นที่ยุยงให้มู่อี้หยางดูถูกชื่อเสียงของจูเอ๋อร์เพื่อปกป้องตัวเอง! ข้าอยากให้ทุกคนในเมืองเตี๋ยฮวารู้ว่าการตายของมู่อี้หยางมาจากน้ำมือของมู่อวิ๋นจิ่น...”
“ในเมื่อนางไม่ยอมปล่อยให้จูเอ๋อร์กับข้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยให้นางลอยนวลต่อไปได้อีก ไม่มีทางเด็ดขาด”