บทที่ 2: เ้าหนี้หน้าหยกกับเดิมพันสามเดือน
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายสงบลง ฉันพาพ่อกับแม่มานั่งสงบสติอารมณ์ที่โต๊ะบัญชีเก่าๆ กลางโรงงาน กลิ่นขี้เลื่อยผสมกลิ่นยาดมตราโป๊ยเซียนลอยฟุ้ง
"หนี้สินทั้งหมดเท่าไหร่พ่อ?" ฉันถามเสียงเรียบ พร้อมกวาดสายตาดูสมุดบัญชีที่เขียนด้วยลายมือยุ่งเหยิง
"เงินต้นสิบล้าน... ดอกเบี้ยทบต้นทบดอกตอนนี้ก็น่าจะ... สิบห้าล้าน" พ่อตอบเสียงอ่อย มือไม้ยังสั่นไม่หาย "ธนาคารมันจะมายึดวันนี้แล้วบัว"
สิบห้าล้านบาท ในปี 2540 ถือเป็เงินมหาศาล ยิ่งกว่าร้อยล้านในยุคปัจจุบันสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับ 'รินลดา' ที่เคยบริหารพอร์ตหุ้นระดับพันล้าน ตัวเลขแค่นี้ไม่ได้ทำให้ขนหน้าแข้งร่วง... ติดอยู่อย่างเดียวคือ ตอนนี้ฉันคือ 'บัว' ผู้ไม่มีเครดิตอะไรเลย
เอี๊ยดดดด!
เสียงเบรกของรถยนต์ดังสนั่นที่หน้าโรงงาน ตามมาด้วยเสียงปิดประตูรถหนักแน่น ปัง!
ไม่ใช่รถกระบะส่งของ แต่เป็รถเบนซ์สีดำเงาวับ รุ่น W140 'ปลาวาฬ' ที่บ่งบอกถึงสถานะของเ้าของได้เป็อย่างดีในยุคนี้
"พวกมันมาแล้ว..." แม่หน้าซีดเผือด คว้าแขนพ่อแน่น
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก้าวลงมาจากรถ ท่ามกลางแดดเปรี้ยงของเมืองไทย เขาสวมสูทสีเทาคัตติ้งเนี๊ยบ รองเท้าหนังขัดมันวับ ผิวขาวจัดตัดกับผมสีดำสนิทที่เซตมาอย่างดี ใบหน้าหล่อเหลาแต่งแต้มด้วยกรอบแว่นไร้ขอบที่ทำให้เขาดูเ็าและเข้าถึงยาก
'กรณ์' เ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อพิเศษ (หรือหน่วยทวงหนี้ไฮโซ) ทายาทธนาคารพาณิชย์ั์ใหญ่ที่ถูกส่งมาล้างบางหนี้เสีย (NPL)
เขาเดินเข้ามาในโรงงานพร้อมลูกน้องสวมชุดซาฟารีอีกสองคน สายตาคมกริบกวาดมองกองไม้และเครื่องจักรด้วยสายตาประเมินมูลค่า ก่อนจะมาหยุดที่พ่อ
"คุณชัย" เสียงทุ้มนุ่มแต่แฝงความกดดันเอ่ยขึ้น "กำหนดเส้นตายคือเที่ยงวันนี้ ทางธนาคารยังไม่เห็นยอดโอนเข้ามา... ผมคงต้องขออนุญาตดำเนินการตามขั้นตอนยึดทรัพย์ครับ"
พ่อตัวสั่นงันงก พยายามจะยกมือไหว้ "คุณกรณ์ครับ ขอเวลาลุงอีกนิด..."
"ผมให้เวลามาสามรอบแล้วครับ" กรณ์ตัดบทอย่างสุภาพแต่ไร้เยื่อใย "เศรษฐกิจแบบนี้ ธนาคารเองก็ลำบาก เราปล่อยหนี้เสียไว้ไม่ได้จริงๆ เชิญคุณชัยเซ็นเอกสารส่งมอบทรัพย์สินเถอะครับ อย่าให้ต้องถึงขั้นฟ้องล้มละลายเลย"
บรรยากาศในโรงงานเงียบกริบจนได้ยินเสียงหัวใจเต้น
พ่อกำลังจะจรดปากกาเซ็นด้วยมือที่สั่นเทา
"หยุดก่อนค่ะ"
เสียงหวานแต่หนักแน่นดังแทรกขึ้น
กรณ์ชะงัก คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยเมื่อหันมาเห็นฉัน
ฉันยืนกอดอกพิงกองไม้ สายตาจ้องมองเขาอย่างไม่ลดละ ไม่ใช่สายตาของลูกหนี้ที่หวาดกลัว แต่เป็สายตาของนักธุรกิจที่กำลังมองคู่ค้า
"คุณ...?" กรณ์ทำท่านึก
"บัวบูชา ลูกสาวเฮียชัย" ฉันแนะนำตัวสั้นๆ แล้วเดินเข้าไปประจันหน้ากับเขา "คุณกรณ์... ถ้าคุณยึดโรงงานเราไปตอนนี้ คุณจะได้อะไร?"
กรณ์เลิกคิ้ว มองฉันเหมือนเด็กอวดดี "ก็ได้ที่ดิน เครื่องจักร และไม้แปรรูป... ขายทอดตลาดก็คงพอใช้หนี้ได้ส่วนหนึ่ง"
ฉันหัวเราะในลำคอ "คุณเป็นายแบงก์ คุณน่าจะรู้ดีกว่าฉันนะ ที่ดินชานเมืองตอนนี้ราคาตกรูดระนาด เครื่องจักรเก่าๆ นี่ขายเป็เศษเหล็กยังได้ไม่กี่บาท ส่วนไม้สักพวกนี้... ถ้าขายเลหลังในประเทศตอนนี้ที่คนไม่มีจะกิน ก็ไม่ต่างกับฟืน"
"..." กรณ์เงียบลง แววตาหลังกรอบแว่นเริ่มมีความสนใจเจือปน
"รวมๆ แล้ว ทรัพย์สินที่คุณยึดไป มูลค่าไม่ถึง 5 ล้านบาทด้วยซ้ำ ขาดทุนเห็นๆ อีก 10 ล้านก็จะกลายเป็หนี้สูญที่คุณต้องแบกรับ... ผลงานของคุณก็จะเสีย จริงไหมคะ?"
คำพูดสุดท้ายจี้ใจดำเขาอย่างจัง ฉันรู้ดีว่าพวกนายแบงก์กลัวที่สุดคือตัวเลข KPI หนี้เสีย
"แล้วเธอจะให้ทำยังไง?" กรณ์ถามกลับ น้ำเสียงเปลี่ยนจากผู้มีอำนาจเป็เชิงปรึกษาโดยไม่รู้ตัว
"ให้เวลาเรา 3 เดือน" ฉันยื่นข้อเสนอ "ฉันจะไม่ขายเฟอร์นิเจอร์ให้คนไทย แต่ฉันจะส่งออก ค่าเงินบาทตอนนี้แตะ 45 บาทต่อดอลลาร์ ของที่เคยขาย 100 เหรียญแล้วได้ 2,500 บาท ตอนนี้ได้ 4,500 บาท... กำไรส่วนต่างตรงนี้แหละที่จะเอามาใช้หนี้คุณได้ครบทุกบาททุกสตางค์ พร้อมดอกเบี้ย"
พ่อกับแม่อ้าปากค้าง มองลูกสาวเหมือนคนแปลกหน้า
ส่วนกรณ์จ้องหน้าฉันนิ่ง เขากำลังคำนวณในหัวอย่างรวดเร็ว
"เธอมีความรู้เื่ส่งออกเหรอ? ภาษาอังกฤษได้แค่ไหน? แล้วจะหาลูกค้ายังไง?" เขาถามรัว
ฉันขยับเข้าไปใกล้เขาอีกนิด เงยหน้าสบตาเขาตรงๆ แล้วตอบเป็ภาษาอังกฤษสำเนียงบริติชที่สมบูรณ์แบบ (ผลจากการเรียนต่อลอนดอนในชาติที่แล้ว)
"Trust me, Mr. Korn. I know exactly how to play this game. The question is, are you brave enough to bet on me?" (เชื่อฉันเถอะคุณกรณ์ ฉันรู้วิธีเล่นเกมนี้ดี คำถามคือ... คุณกล้าพอจะเดิมพันกับฉันไหม?)
ความเงียบปกคลุมโรงงานอีกครั้ง
กรณ์มองฉันอึ้งๆ ริมฝีปากหยักได้รูปกระตุกยิ้มมุมปากเป็ครั้งแรก... ไม่ใช่ยิ้มเหยียด แต่เป็ยิ้มที่เหมือนเจอของเล่นที่น่าสนใจ
"น่าสนใจ..." เขาพึมพำ ก่อนจะหันไปบอกลูกน้อง "เก็บเอกสารยึดทรัพย์"
เขาหันกลับมามองฉัน สายตานั้นเริ่มมีความท้าทาย
"ผมให้เวลา 3 เดือนตามที่ขอ... แต่มีข้อแม้"
"ว่ามาค่ะ"
"ทุกวันศุกร์ ผมจะเข้ามาตรวจความคืบหน้าด้วยตัวเอง ถ้าอาทิตย์ไหนไม่มีออเดอร์ หรือแผนงานไม่คืบหน้า... ผมจะยึดทันที โดยไม่มีการต่อรองอีก ตกลงไหม?"
ฉันยื่นมือออกไปหาเขาอย่างมั่นใจ
"ดีลค่ะ"
กรณ์มองมือที่เปื้อนคราบสีและฝุ่นของฉันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือขาวสะอาดของเขามาจับเชกแฮนด์ ความอุ่นจากฝ่ามือเขาทำให้ใจฉันกระตุกวูบหนึ่ง... แต่นั่นไม่ใช่เวลามาหวั่นไหว
"เจอกันวันศุกร์หน้าครับ... คุณบัวบูชา"
รถเบนซ์แล่นออกไปแล้ว ทิ้งฝุ่นตลบไว้เื้ั
พ่อกับแม่รีบวิ่งเข้ามากอดฉัน "บัว! เอ็งพูดอะไรออกไป เอ็งจะไปหาลูกค้าฝรั่งมังค่าจากไหน!"
ฉันมองตามท้ายรถเบนซ์คันนั้น แล้วยิ้มออกมา
"ไม่ต้องห่วงจ้ะแม่... หนูรู้แหล่งขุมทรัพย์แล้ว"
สิ่งที่พ่อแม่ไม่รู้คือ ในยุค 2540 นี้ อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลาย แต่ 'สมุดหน้าเหลือง' และ 'งานแฟร์ต่างประเทศ' คือกุญแจสำคัญ และฉัน... มีรายชื่อคู่ค้าระดับโลกจากอนาคตอยู่ในหัวหมดแล้ว!
