ซย่านียิ้มกล่าว “บางครั้ง หากลูกมีอคติต่อคนผู้หนึ่งก็เป็เื่ยากที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจากเดิม” ซย่านีลูบหัวซ่งวั่งซูแล้วกล่าวต่อ “และยิ่งไปกว่านั้นย่าของลูกก็ไม่ได้มีการศึกษาสูงส่งเลยสักนิด วิสัยทัศน์ก็ไม่ได้กว้างไกล นั่นทำให้เื่นี้เป็ไปได้ยากมากที่เราจะเปลี่ยนความคิดของย่าได้ พวกลูกดูอย่างพ่อของลูกสิเขาเป็นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศ ลูกเคยเห็นเขารังเกียจแม่ไหม?”
ตัวอย่างนี้ทำให้ซ่งวั่งซูเชื่อในคำพูดของซย่านีเป็อย่างยิ่ง! ในใจของซ่งวั่งซูจะยังมีใครสูงส่งไปกว่าซ่งหานเจียงได้อีกเล่า?! คนที่ทั้งฉลาดและหน้าตาหล่อเหลามากๆ อย่างพ่อของเธอยังตกหลุมรักและแต่งงานกับแม่ของเธอเลย แสดงให้เห็นว่าแม่เองก็เก่งกาจใช้ได้ ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าแม่เก่งมากจริงๆ แค่สัปดาห์เดียว แม่ของเธอก็หาเงินได้เท่ากับที่คนอื่นต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะหามาได้เชียวนะ
ซ่งวั่งซูเลิกเป็กังวลทันที
ซย่านีกล่าว “เอาล่ะ นี่ก็สามทุ่มแล้ว ควรไปนอนกันได้แล้ว...หยางหยาง ลูกเก็บกระเป๋านักเรียนหรือยัง พรุ่งนี้ลูกยังต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้านะ”
ทันทีที่เข้าห้องมา ซ่งตงซวี่ก็ไปนั่งยองๆ อยู่ตรงมุมห้องแล้วเล่นกับก้อนหินที่เขาไปเอามาจากไหนก็ไม่รู้
ซ่งตงซวี่คว้าก้อนหินขึ้นแล้ววิ่งเข้ามาพูดกับซ่งวั่งซู “พี่ พวกเรายังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะกันเลยนะ เรามาเล่นหมากรุกให้จบแล้วค่อยนอนกันเถอะ!”
ซย่านีเขกหัวซ่งตงซวี่ จากนั้นก็กล่าวว่า “เล่นหมากรุกอะไรกัน นี่มันสามทุ่มแล้วรีบไปเก็บกระเป๋านักเรียนแล้วเข้านอนเลยนะ”
ในกระติกน้ำร้อนยังมีน้ำเหลืออยู่มากกว่าครึ่ง ซย่านีหยิบขวดน้ำร้อนที่นำมาจากบ้านตระกูลซ่งออกมาแล้วเติมน้ำร้อนให้พวกเด็กๆ จากนั้นก็สอดเข้าไปบนเตียงของเด็กทั้งสอง
ซย่านีเกรงว่าเด็กทั้งสองจะทะเลาะกันตอนกลางคืน ซย่านีจึงให้พวกเขานอนกันคนละฝั่งประจวบเหมาะกับมีขวดน้ำร้อนสองใบพอดี เธอก็เลยให้พวกเขาเอาไว้อบอุ่นร่างกายคนละขวด
หลังจากที่เด็กทั้งสองอาบน้ำเสร็จแล้ว พวกเขาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบขึ้นเตียง
ผ้านวมที่เพิ่งซื้อมาใหม่นั้น ทั้งนุ่มและฟูเป็อย่างยิ่ง ตอนห่มก็เบาตัวยิ่งนัก ซ่งวั่งซูกล่าวชม “แม่คะ ผ้านวมผืนนี้สบายมากเลย!”
“สบายก็ดีแล้ว” ซย่านีเอ่ยเตือน “ขวดน้ำร้อนที่แม่ให้ไปเมื่อครู่มันค่อนข้างร้อน ตอนนอนลูกก็วางมันไว้ข้างๆ เข้าใจไหม?”
เธอหยิบเสื้อที่พวกเด็กๆ ถอดทิ้งไว้มาวางบนผ้านวม จากนั้นก็วางผ้านวมทับไว้้า “ตอนนอนลูกสองคนก็นอนนิ่งๆ หน่อยล่ะ อย่าเตะผ้านวมออกนะรู้ไหม”
ซ่งวั่งซูตอบ “แม่ หนูไม่ชอบเตะผ้านวมหรอกค่ะ มีแต่หยางหยางนั่นแหละที่ชอบนอนเตะผ้านวม”
ซ่งตงซวี่ร้อนรน “ตอนนี้ผมไม่นอนเตะผ้าอแล้ว! พี่นั่นแหละที่เตะผ้านวมตอนกลางคืน!”
ซ่งวั่งซูฟ้องมารดา “แม่คะ หยางหยางยื่นเท้ามาใต้ผ้านวมของหนู แถมยังถีบหนูอีก!”
ซย่านีใบหน้าขึงขัง “ซ่งตงซวี่!”
ซ่งตงซวี่กล่าวทันควัน “พี่ก็ถีบผมเหมือนกันนั่นแหละ! ซ่งวั่งซู พี่มันเด็กขี้ฟ้อง!”
“นายถีบฉันก่อนนะ!”
“ก็พี่บอกว่าผมชอบเตะผ้านวม!”
“ก็นายมันชอบนอนดิ้นจริงๆ นี่!”
“พี่นั่นแหละที่ชอบนอนดิ้น!”
เด็กซนสองคนเถียงกันหนึ่งประโยคก็ถีบกันหนึ่งที ผ้านวมที่ซย่านีเพิ่งจัดเตรียมไว้ให้อย่างดีพลันถูกพวกเขาถีบจนเละเทะ เธอพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ยังไม่นอนกันอีกหรือ? แค่เื่เล็กๆ แค่นี้ยังจะต้องทะเลาะกันอีก? อย่าโทษกันไปมาเลย พวกลูกสองคนต่างก็ชอบถีบผ้านวมกันทั้งคู่นั่นแหละ! รีบสอดผ้านวมไว้ใต้ตัวซะ จัดให้ดีตอนกลางคืนจะได้ไม่นอนดิ้นจนผ้านวมหลุดออกจากตัว”
เด็กทั้งสองคนเริ่มจัดผ้านวมอย่างเชื่อฟัง
ซ่งวั่งซูนอนลงก่อนแล้วกล่าวว่า “แม่คะ หนูจัดผ้านวมเรียบร้อยแล้ว”
จากนั้นซ่งตงซวี่ก็พูดตาม “แม่ ผมก็จัดเรียบร้อยแล้วฮะ”
ซย่านีพูดกับลูกทั้งสอง “เอาล่ะ งั้นตอนนี้ก็หลับตาแล้วนอนกันซะนะ”
พอปิดไฟภายในห้องก็พลันมืดลง ซย่านีหยิบกระติกน้ำร้อนกลับห้องตนเอง ด้านกระติกยังมีน้ำร้อนเหลืออยู่ไม่น้อย หลังจากวิ่งวุ่นทั้งวันซย่านีก็หยิบกะละมังขึ้นมา จากนั้นเธอก็เทน้ำร้อนใส่ลงไปในกะละมังใบนั้นแล้วก็เอาเท้าลงไปแช่
หลังจากเก็บของเรียบร้อย ซย่านีก็ขึ้นเตียงนอนแล้วหยิบสมุดการบ้านที่ว่างอยู่ข้างหัวเตียงออกมาเพื่อทำตามคำแนะนำของซ่งหานเจียง เธอท่องตารางสูตรคูณแม่หนึ่งถึงแม่เก้าไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็ตั้งโจทย์ให้ตัวเองเพื่อฝึกวิธีคำนวณที่เพิ่งเรียนไปในวันนี้
เรียนไปเรียนมา เธอก็เริ่มง่วงนอนเสียแล้ว
อีกด้านหนึ่งซ่งหานเจียงก็กลับมาถึงบ้านแล้ว
บ้านตระกูลซ่งเปิดประตูทิ้งไว้ให้เขา เขาผลักประตูให้เปิดออกเพื่อตรงเข้าไปในตัวบ้าน หลังจากเพิ่งจอดรถจักรยานได้ไม่นาน ซ่งเป่าเถียนก็เดินออกมาจากในบ้านแล้วเอ่ยถามเขา “ตามหาภรรยาเจอไหม?”
หวังซิ่วอิงเองก็ตามออกมาติดๆ “เมียแกไปอยู่ไหนเสียแล้วเล่า?”
ซ่งหานเจียงหันหลังเพื่อลงกลอนประตูบานใหญ่ เมื่อลงกลอนทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็เดินเข้าตัวบ้านไปอย่างเงียบๆ
หวังซิ่วอิงก้าวไปขวางหน้าซ่งหานเจียงแล้วคว้าแขนชายหนุ่มเอาไว้ “ฉันถามแกอยู่นะ เมียแกเล่า? หาเจอหรือเปล่า?”
“หาเจอแล้ว” ซ่งหานเจียงตอบ
ทันใดนั้นหวังซิ่วอิงก็ใบหน้าหดเล็กลง น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความลังเลเล็กน้อย “หาเจอแล้วหรือนี่”
ซ่งเป่าเถียนถามขึ้น “ไม่สิ ถ้าหาเจอแล้วทำไมแกถึงกลับบ้านมาคนเดียว? เมียกับลูกแกเล่า?”
“เธอไม่กลับมาแล้ว” ซ่งหานเจียงถอนหายใจ
“หมายความว่ายังไง?” หวังซิ่วอิงพลันตื่นเต้นขึ้นมา “อะไรที่บอกว่าไม่กลับมาแล้ว?”
ไม่กลับมาแล้วก็ดีน่ะสิ หวังซิ่วอิงคิดไปถึงเื่น่าขันเมื่อ่สายของวันนี้ นั่นทำให้เธอได้ชื่อว่าเป็แม่ผัวรังแกลูกสะใภ้ ต่อให้ซย่านีกลับมาแต่ชื่อเสียงของเธอเล่าจะสามารถกู้คืนกลับมาได้อีกงั้นหรือ? เช่นนั้นไม่สู้ให้หล่อนไม่ต้องกลับมาอีกยังจะดีเสียกว่า!
หากซย่านีไม่กลับมาแล้วจริงๆ วันหน้าเธอก็ยังสามารถล้างมลทินให้ตนเองได้ อีกอย่างเมื่ออาศัยรูปลักษณ์ของลูกชายคนรองของเธอแล้ว ต่อให้เธอจะเป็แม่สามีที่เข้ากับลูกสะใภ้ได้ยากแล้วมันจะเป็อะไรไปเล่า ถึงอย่างไรก็ยังมีหญิงสาวที่เข้าหาซ่งหานเจียงต่ออยู่ดี ตอนนั้นหากเธอเข้ากันได้ดีกับลูกสะใภ้คนใหม่ ชื่อเสียงแม่สะใภ้ใจั์ก็คงจะค่อยๆ สลายหายไปมิใช่หรือ!
ซ่งหานเจียงกล่าวด้วยน้ำเสียงแ่เบา “ต่อไปนี้ ซย่านีจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว เธอ้าหย่ากับผม”
“หย่าเลย!” หวังซิ่วอิงปรบมือ “ลูกก็หย่ากับเธอไปเถอะ! ถือว่าไว้หน้าเธอแล้ว คิดว่าพวกเราตระกูลซ่งหวงแหนเธอนักหรือไง? ช่างไม่หัดส่องกระจกดูตัวเองบ้างเลย!”
“ใช่แล้ว! พี่รอง พี่ก็หย่ากับเธอไปเลยสิ!” ซ่งเหม่ยอวิ๋นที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านะโออกมา เธอแอบฟังพ่อแม่คุยกับซ่งหานเจียงมาตลอด เธอคิดไม่ถึงเลยว่าซย่านีจะขอหย่ากับพี่รองของเธอจริงๆ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา หญิงสาววิ่งออกมาจากในตัวบ้านท่าทางดูเหมือนขุ่นเคืองแทนซ่งหานเจียงยิ่งนัก แต่อันที่จริงแล้วกลับอยากให้พวกเขาสองคนหย่ากันใจจะขาด
“พี่รองหน้าตาหล่อเหลาแถมยังเป็นักศึกษาชั้นดีของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มีภรรยาแบบไหนบ้างที่พี่รองจะหาไม่ได้กัน แล้วทำไมต้องไปเสียดายหญิงบ้านนอกที่มาจากชนบทแบบหล่อนด้วยเล่า?!”
ทัศนคติของแม่กับน้องสาวทำให้ซ่งหานเจียงรู้สึกผิดหวัง ซย่านีเป็ภรรยาที่เขาเลือกเอง พวกเขาสองคนให้กำเนิดบุตรด้วยกันถึงสามคนและในระยะเวลาสองปีมานี้พวกเขาอยู่ด้วยกันในบ้านหลังนี้ แต่แม่กับน้องสาวของเขากลับเห็นพวกเขาเป็คนนอกมาโดยตลอด ซ่งหานเจียงหันสายตามองไปยังบิดามารดาของตนเอง
หลังจากที่ซ่งเป่าเถียนหลุบตาลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยถามซ่งหานเจียงขึ้นมา “แล้วพวกเด็กๆ จะทำอย่างไรเล่า? หากหย่ากันขึ้นมา ยกเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ให้เมียแกเอาไปเลี้ยงดูก็ได้แต่หยางหยางกับซิงซิงนั้นแซ่ซ่ง ถือเป็คนของพวกเราตระกูลซ่ง ไม่อาจปล่อยให้เธอเอาเด็กสองคนนั้นไปได้เด็ดขาด”
ซ่งหานเจียงยิ้มอย่างไม่น่าชม เขาย้อนถามคนในครอบครัวของตนเอง “ทุกคนอยากให้ผมหย่ากับซย่านีงั้นหรือ?”
“นี่แกพูดอะไร? ใครอยากให้แกหย่ากัน? ไม่ใช่ว่าซย่านีเป็คนขอหย่าเองหรือไง?” หวังซิ่วอิงไม่ยอมให้ตนเองต้องเป็คนรับผิดชอบเื่นี้
ซ่งเหม่ยอวิ๋นช่วยสนับสนุนผู้เป็มารดาอย่างมั่นอกมั่นใจ “ใช่แล้ว ซย่านีเป็คนขอหย่าเองนะ!”
“ใช่ ซย่านีเป็คนขอหย่าเองจริงๆ นั่นแหละ” ใบหน้าที่เคยดูอ่อนโยนราวกับหยกของซ่งหานเจียง ตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความเรียบเฉย น้ำเสียงของเขาฟังดูเ็ายิ่งกว่าน้ำแข็ง “หากไม่ใช่เพราะพวกคุณบีบบังคับเธอล่ะก็ เธอจะขอหย่ากับผมไหม?”
