คำพูดของกงซุนหลิงเอ๋อร์ยังคงทำให้เขาโกรธอยู่เล็กน้อย จากนั้นเย่เฟิงระดมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดเข้าต่อต้านกงซุนหลิงเอ๋อร์ แม้บางครั้งจะทรมานร่างกาย แต่ก็ไม่ยอมแพ้
เย่เฟิงจะประลองฝีมือกับกงซุนหลิงเอ๋อร์ในตอนกลางวัน พอถึงตอนเย็นเย่เฟิงก็กลับห้องพักของตัวเองแล้วฝึกต่อโดยไม่มีเวลาให้เกียจคร้าน ซึ่งในการต่อสู้และฝึกตนเช่นนี้ ทำให้พลังของเย่เฟิงก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
วันที่สาม เย่เฟิงสามารถสู้กับกงซุนหลิงเอ๋อร์ใน 30 กระบวนท่าได้อย่างสูสี
วันที่ห้า เย่เฟิงสามารถสู้กับกงซุนหลิงเอ๋อร์ใน 60 กระบวนท่าได้อย่างสูสี
วันที่เจ็ด เย่เฟิงสามารถสู้กับกงซุนหลิงเอ๋อร์ใน 80 กระบวนท่าได้อย่างสูสี
วันที่เก้า เย่เฟิงสามารถสู้กับกงซุนหลิงเอ๋อร์ใน 98 กระบวนท่าได้อย่างสูสี
แต่ในคืนวันที่เก้า หลังจากเย่เฟิงหมั่นฝึกตนมาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดตบะของเขาก็ถึงจุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ หากไม่มีอุปสรรคอะไร เกรงว่าอีกไม่นานเย่เฟิงก็จะได้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้แล้ว ซึ่งเมื่อถึงขั้นยุทธ์แท้ ผู้ฝึกยุทธ์จึงจะได้ัักับเส้นทางแห่งผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ในเก้าวันที่ผ่านมาไข่มุกยังดูดซับพลังงานไปเจ็ดส่วนและเข้าใกล้จุดอิ่มตัวอีกก้าว โดยทุกอย่างนี้เป็ไปอย่างราบรื่น
“วันนี้คือวันที่สิบที่เ้ากับข้าสู้กัน ข้ารอเ้าที่จะสามารถรับร้อยกระบวนท่าได้อยู่นะ” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวพลางยิ้ม และด้วยอาภรณ์สีม่วงที่นางสวมใส่ ทำให้นางดูมีเสน่ห์มากขึ้น
“เ้าระวังตัวด้วย!” เย่เฟิงกล่าว ตอนนี้เขาอยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่แล้ว ดังนั้นเขามั่นใจว่าจะรับร้อยกระบวนท่าของนางได้ เพียงแต่เขาอยากรู้ว่าพลังต่อสู้ของตนในเวลานี้อยู่ระดับไหนแล้ว
เมื่อกล่าวจบ เย่เฟิงวาดฝ่ามือโจมตีกงซุนหลิงเอ๋อร์ทันที ทั้งสองคนโจมตีกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็เกิน 30 กระบวนท่าแล้ว แต่สีหน้าของเย่เฟิงยังคงเรียบเฉยเช่นเดิมและไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
“ตบะของเ้าก้าวหน้าอีกแล้วหรือ?” กงซุนหลิงเอ๋อร์เอ่ยถาม
“ใช่แล้ว เพิ่งบรรลุจุดสูงสุดของขั้นรวมชี่” เย่เฟิงกล่าวพร้อมเจตจำนงต่อสู้พวยพุ่งออกจากดวงตา จากนั้นเขาเริ่มเป็ฝ่ายรุกกงซุนหลิงเอ๋อร์ ส่วนกงซุนหลิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นต้าน
40 50 80 จนกระทั่ง 100 กระบวนท่า เย่เฟิงยังคงไม่เหนื่อยล้า แต่เขากลับดูฮึกเหิมมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
ขณะนั้นกงซุนหลิงเอ๋อร์หยุดโจมตี แต่กลับได้ยินเย่เฟิงพูดขึ้นว่า “เ้าโจมตีข้าต่อสิ ข้าก็อยากดูว่าขีดจำกัดของตัวเองจะมีมากแค่ไหน”
“งั้นเ้าระวังตัวด้วยล่ะ” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าว จากนั้นแสงสีม่วงห้อมล้อมร่างกายประหนึ่งเทพธิดาจากตำหนักอินทนิลก็ไม่ปาน ทันใดนั้นมีด้ายสีม่วงมากมายพุ่งเข้าหาเย่เฟิงทันที
เย่เฟิงะเิศักยภาพของตนออกมา ต่อสู้กับกงซุนหลิงเอ๋อร์อย่างบ้าคลั่ง และทุกครั้งที่ปะทะกันจะะเืเลือนลั่นไปทั่วฟ้าดิน
“เ้าเด็กนี่พัฒนาเร็วมาก ไม่เพียงแต่บรรลุจุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ แต่ยังสู้กับนางหนูหลิงเอ๋อร์มาจนถึงจุดนี้ได้ หากภายภาคหน้าเขาบรรลุขั้นยุทธ์แท้ จะน่าสะพรึงกลัวแค่ไหนกันนะ!?” บนเก้าอี้ที่อยู่ไกลออกไป กงซุนเชียนกล่าวด้วยความประหลาดใจ แม้จะเป็เขาในอดีต แต่ก็ยังห่างชั้นกับเย่เฟิงในตอนนี้มาก
ครั้งนี้เย่เฟิงสู้กับกงซุนหลิงเอ๋อร์ถึง 180 กระบวนท่าจึงจะพ่ายแพ้
เมื่อสองวันก่อน เย่เฟิงได้รู้ความจริงว่ากงซุนหลิงเอ๋อร์อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 7 อาจกล่าวได้ว่าเย่เฟิงในเวลานี้ไม่เพียงแต่อยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ แต่ยังสามารถต้านทานผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 7 ถึง 180 กระบวนท่าได้
เย่เฟิงรู้ว่าแม้กงซุนหลิงเอ๋อร์จะลงมือสุดกำลัง แต่การแลกเปลี่ยนวิชากับการต่อสู้ที่แท้จริงมีความแตกต่างกันมากโข หากทั้งสองคนต่อสู้แบบศึกเป็ตาย เกรงว่าเย่เฟิงจะถูกกงซุนหลิงเอ๋อร์ฆ่าตายในร้อยกระบวนท่าแล้ว สรุปแล้วตบะของเย่เฟิงนั้นก็ยังคงต่ำต้อยเกินไป
“เ้าสามารถสู้กับข้าถึง 180 กระบวนท่าได้ พลังต่อสู้ของเ้าถือว่าก้าวหน้าไปมากเลยนะ” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวพลางยิ้ม
“ชมเกินไปแล้ว ที่ก้าวหน้าขนาดนี้ได้ก็ต้องขอบคุณที่แม่นางหลิงเอ๋อร์คอยช่วยเหลือข้า” เย่เฟิงกล่าวพร้อมโค้งคำนับกงซุนหลิงเอ๋อร์
“นับว่าเ้ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้างนะ!” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวอย่างพึงพอใจ
“เพียงพริบตาข้าก็มาอยู่ที่นี่ได้ 20 วันแล้ว สหายของข้าคงเป็ห่วงข้ามาก ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว” เมื่อนึกถึงฉินเยียนหราน จ้าวซินอี๋ ฉินเจิ้นถิง และคนอื่น ๆ เย่เฟิงก็กล่าวเช่นนั้นกับกงซุนหลิงเอ๋อร์
“อะไรกัน ได้ผลประโยชน์ไปมากก็คิดจะไปเช่นนี้น่ะหรือ?” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวด้วยความไม่พอใจพร้อมขมวดคิ้วแน่น
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ข้ายังมีธุระที่ต้องสะสางอีกมาก เพราะฉะนั้นจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้” เย่เฟิงกล่าว
“นางหนูไม่ต้องพูดแล้ว ให้เขาไปเถอะ เจดีย์เชื่อมฟ้าแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่คนหนุ่มสาวควรจะอยู่ เ้าก็ติดตามเ้าหนูนี่ไปด้วย คอยคุ้มครองเขาให้อยู่รอดปลอดภัย” ขณะนั้นกงซุนเชียนเดินมาทางนี้ ก่อนจะกล่าวเช่นนั้น
“ท่านปู่ ท่านจะให้ข้าคุ้มครองเขางั้นหรือ?” กงซุนหลิงเอ๋อร์ปรายตามองเย่เฟิงแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามกงซุนเชียนเช่นนั้น
“ใช่ ตอนนี้มีคน้าชีวิตของเ้าเด็กคนนี้อยู่มากมายนัก คงต้องลำบากเ้าแล้ว อีกอย่างเ้าจะได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกด้วยไง จะมาอยู่กับข้าที่นี่ตลอดได้อย่างไร? เ้าควรไปหาสามีสักคนได้แล้ว” กงซุนเชียนกล่าวพลางยิ้ม พอพูดจบก็เหลือบมองเย่เฟิงแวบหนึ่งด้วยสายตาลึกซึ้ง ทำให้เย่เฟิงขนลุกเกรียว
“ท่านปู่ ท่านล้อข้าเล่นแน่ ๆ!” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวพลางหน้าแดงจาง ๆ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็กล่าวลากงซุนเชียน ก่อนจะออกจากเจดีย์เชื่อมฟ้า
ณ ภัตตาคารแห่งหนึ่ง เย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์นั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างพลางลิ้มรสอาหารบนโต๊ะ ซึ่งลานประลองราชวงศ์อยู่ไกลจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียน แล้วกงซุนหลิงเอ๋อร์ก็หิวมาตลอดทาง เย่เฟิงจึงต้องแวะทานอาหารที่นี่
“งานชุมนุมหวงปั่งเมื่อ 20 วันก่อนยอดเยี่ยมมาก อัจฉริยะทั่วทุกสารทิศของอาณาจักรจ้าวต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงอันดับกัน มันเป็อะไรที่ตราตรึงใจมาก!” โต๊ะหนึ่งที่ติดกับโต๊ะของพวกเย่เฟิง มีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวเช่นนั้น
ขณะนี้เป็เวลาเที่ยงตรง บรรยากาศในภัตตาคารจึงคึกคักเป็พิเศษ ลูกค้าเต็มทุกโต๊ะ คนส่วนใหญ่ที่มารวมตัวกันมักจะพูดถึงเื่ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง่นี้
“ใช่ งานชุมนุมหวงปั่งครั้งนี้ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ มีอัจฉริยะปรากฏตัวหลายคน อย่างเช่น โอวหยางเจิน ฉวนเถี่ยจู้ ผู้าุโสำนักชิงอวิ๋นพาพวกเขาสองคนไปจากอาณาจักรจ้าว พวกเขาได้เป็ศิษย์สำนักชิงอวิ๋นแล้ว” ชายร่างอ้วนท้วมกล่าวเสริม เมื่อเอ่ยถึงสำนักชิงอวิ๋น จู่ ๆ อีกหลายคนก็เผยสีหน้าเลื่อมใสศรัทธา
“คนที่โดดเด่นที่สุดในงานนี้ก็คือเย่เฟิง เขาใช้ตบะขั้นรวมชี่ที่ 8 คว้าที่หนึ่งของงานชุมนุมหวงปั่งมา ซึ่งเป็สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซ้ำยังปฏิเสธคำเชิญของผู้าุโสำนักชิงอวิ๋น เขาตัวคนเดียวเปิดศึกกับผู้ฝึกยุทธ์อายุต่ำกว่า 25 ปีทั้งเจ็ดอาณาจักรแห่งแดนชิงอวิ๋น แต่ถึงกระนั้นในหมู่คนที่เขาฆ่ายังมีพลเหล็กกล้าหนึ่งในมหาพลแห่งอาณาจักรเว่ยด้วย” ชายร่างอ้วนท้วมกล่าวต่อ แก้มนุ่มๆ เด้งไปตามจังหวะที่พูด เมื่อทุกคนในที่แห่งนั้นได้ยินเขาต่างก็เผยสีหน้าชื่นชมนับถือ
ใน่ 20 วันที่เย่เฟิงอยู่ในเจดีย์เชื่อมฟ้า ชื่อเสียงของเขาแพร่สะพัดไปทั่วทุกมุมของเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ตามตอกซอกซอยเอย ตามภัตตาคารโรงน้ำชาเอย มีแต่ผู้คนพูดคุยเื่นี้ เพียงเวลาสั้น ๆ นามของเย่เฟิงก็เป็ที่เลื่องลือไปทั่วทั้งอาณาจักรจ้าว
แต่มีเื่หนึ่งที่น่าสนใจพอ ๆ กับข่าวของเย่เฟิง นั่นก็คือเื่งานหมั้นระหว่างองค์ชายเว่ยฉีเทียนแห่งอาณาจักรเว่ยกับองค์หญิงจ้าวซินอี๋แห่งอาณาจักรจ้าว
หลังจากพูดเื่เย่เฟิงจบ ชายร่างอ้วนคนนั้นก็พูดต่อไปว่า “พวกเ้าได้ยินกันหรือยัง ทางอาณาจักรเว่ยส่งทูตมาที่อาณาจักรจ้าว เพื่อกดดันราชวงศ์ เรียกร้องให้ตอบเื่การปรองดองระหว่างสองอาณาจักร กำหนดเส้นตายคือวันสุดท้ายของเดือนนี้ นี่คือเส้นตายที่อาณาจักรเว่ยให้กับอาณาจักรจ้าว”
ผู้คนได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตกตะลึง เทพธิดาในดวงใจของพวกเขา องค์หญิงซินอี๋ผู้สูงศักดิ์จะปรองดองกับอาณาจักรเว่ยด้วยการแต่งงานอย่างนั้นหรือ?
ดังนั้นผู้คนที่ชื่นชอบจ้าวซินอี๋จึงรู้สึกไม่พอใจเป็อย่างมาก พวกเขารู้ว่าเว่ยฉีเทียนที่จะแต่งกับจ้าวซินอี๋คือบุตรคนเล็กขององค์าาแห่งอาณาจักรเว่ย แต่คนประเภทนี้จะคู่ควรกับจ้าวซินอี๋ได้อย่างไร? ทุกอย่างในโลกใบนี้อยู่บนพื้นฐานแห่งความจริง อาณาจักรเว่ยทรงอำนาจ จึงคุกคามอาณาจักรจ้าวได้ หากไม่ตอบตกลง อาจจะเกิดาระหว่างสองอาณาจักร
“ถ้าเช่นนั้นวันสุดท้ายของเดือนนี้ องค์หญิงซินอี๋ก็จะหมั้นกับองค์ชายเว่ยน่ะสิ?” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว
“ใช่แล้ว!” ชายร่างอ้วนท้วมคนนั้นพยักหน้า ก่อนพูดต่อไปว่า “บัดนี้องค์าาป่วยหนัก อาณาจักรจ้าวเรียกได้ว่าวุ่นวายทั้งในและนอก แม้ทางราชวงศ์จะไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน แต่คนส่วนใหญ่ก็สนับสนุนให้องค์หญิงซินอี๋แต่งงาน เช่นนั้นแล้วอาณาจักรจ้าวก็จะผ่านพ้นความยากลำบากไปได้”
แน่นอนว่าเย่เฟิงได้ยินบทสนทนาของคนเหล่านี้ จึงอดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้ เขารู้จักเว่ยฉีเทียนดี หากไม่มีราชวงศ์เว่ยคุ้มกะลาหัว ด้วยนิสัยโอหังคงถูกฆ่าตายเป็พัน ๆ ครั้งไปแล้ว
คนประเภทนี้มีสิทธิ์แต่งงานกับจ้าวซินอี๋อย่างนั้นหรือ? ในฐานะสหาย เย่เฟิงเชื่อว่าเ้าตัวไม่ยินดีแต่งกับเว่ยฉีเทียนอย่างแน่นอน เขารู้จักจ้าวซินอี๋มาสักพักใหญ่ ย่อมเห็นนางเป็สหายที่ดีที่สุด แต่เผชิญหน้ากับหญิงผู้สูงศักดิ์และสง่างดงามเช่นนี้ ในใจของเย่เฟิงก็เกิดความรู้สึกที่มิอาจพูดออกมาได้ มีหลายความรู้สึกที่เย่เฟิงอธิบายอย่างชัดเจนไม่ได้เช่นกัน ถึงอย่างไรเย่เฟิงก็หวังว่าจ้าวซินอี๋จะทำในสิ่งที่ตนชอบที่สุด มิใช่สิ่งที่นางเกลียด
“เ้าบ้า ทำไมสีหน้าเ้าดูไม่ดีเลย? หรืออาหารที่นี่ไม่อร่อย!” กงซุนหลิงเอ๋อร์เห็นเย่เฟิงหน้านิ่วคิ้วขมวดก็เอ่ยถามเช่นนั้น
“ไม่มีอะไร กินเสร็จหรือยัง เสร็จแล้วก็รีบออกเดินทางเถอะ!” เย่เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยด้วยสีหน้าดูไม่ค่อยดี ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป เมื่อกงซุนหลิงเอ๋อร์เห็นสีหน้าเ็าของเย่เฟิงก็ทำเบ้ปาก ก่อนจะกล่าวว่า “เ้าบ้ารอข้าด้วย”
เมื่อกล่าวจบกงซุนหลิงเอ๋อร์ก็ตามเย่เฟิงไปทันที จนทั้งสองออกจากภัตตาคาร กงซุนหลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบ ๆ แล้วเอ่ยถามเย่เฟิงว่า “ไม่ใช่ว่าเ้าชอบองค์หญิงจ้าวผู้นั้นหรอกนะ!”
“เปล่า พวกเราเป็เพียงสหายเท่านั้น” เย่เฟิงกล่าวพลางส่ายหัวเล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้ข้าดูการต่อสู้ของเ้าจากเจดีย์เชื่อมฟ้า ข้าเห็นว่าสายตาที่นางมองเ้ามันแตกต่างออกไปมาก ข้าเป็ผู้หญิงย่อมรับรู้ได้ ข้าเดาว่าองค์หญิงผู้นั้นก็คงมีใจให้เ้า หรือเ้าไม่รู้?”
“อืม” เย่เฟิงตอบกลับเสียงเรียบ เขาเห็นจ้าวซินอี๋เป็สหายตลอด ไหนเลยพูดเื่ความรักชายหญิง?
“แค่นี้ก็ดูไม่ออก เ้าโง่!” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวพร้อมแลบลิ้นใส่เย่เฟิง
