โจวเฉวียนทำหน้าประหลาด กึ่งสับสน กึ่งอับอาย สะกิดฉู่เฟิงยิกๆ กระซิบกระซาบ “นายว่าคนที่มีปีกสีเงินนั่น เขาจะบินร่อนขึ้นไปบนฟ้าได้ไหม?”
“อาจจะได้นะ” ฉู่เฟิงพยักหน้า แต่แล้วก็รู้สึกขำหน่อยๆ เอ่ยว่า “ไม่ใช่นายที่มีปีกงอกออกมาสักหน่อย นายจะอายไปทำไม?”
“ฉันก็มีลูกสีแดงแปร๊ดอยู่ลูกหนึ่งเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?” ตาอ้วนโจวระวังตัวแจ เปิดกระเป๋าสะพายหลัง ต้นหญ้าที่ถอนมาในตอนนั้นยังอยู่ มีถุงใสพันปิดมิดชิด ปิดกั้นกลิ่นหอมไม่ให้ฟุ้งกระจาย
บนต้นหญ้านั่น มีลูกไม้สีแดงสดอยู่ลูกหนึ่ง ขนาดเท่ากำปั้น สีแดงส่องประกายเหมือนหินโมราสีแดง แค่เผยอปากถุงเล็กน้อยกลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจายทันที
“นายว่า ถ้าฉันกินมันลงไป จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?” ตาอ้วนสงสัย งุนงงเต็มที่
ครั้งนี้ ฉู่เฟิงไม่ยิ้ม แต่สีหน้าเคร่งเครียด แต่แรกที่ไม่รู้เื่ก็แล้วไป ตอนนี้ดูเหมือนต้นไม้ประหลาดที่ออกลูกได้นั่นจะพิสดารไม่เหมือนใคร
“นายรอดูก่อน ดูว่ามีรายงานเกี่ยวกับคนที่มีปีกสีเงินงอกออกมาคนนั้นหรือเปล่า” ฉู่เฟิงตอบ
“ทำไมถึงหอมขนาดนี้เนี่ย พวกเธอเก็บลูกไม้อะไรมากัน?” ชายวัยกลางคนที่กำลังขับรถอยู่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ
รถวิ่งอย่างรวดเร็ว ห่างไกลจากเมืองนั้นออกไป แล่นไปตามถนนมุ่งสู่สุดเส้นขอบฟ้า
“ลูกไม้ป่าน่ะ ไม่รู้ว่าเป็ชนิดไหน ไม่กล้ากิน” ตาอ้วนโจวตอบ
เขาไม่กล้ากินพร่ำเพรื่อแน่นอน เกิดไอ้ที่งอกออกมาไม่ใช่ปีก แต่เป็เขางอก หรือไม่ก็หางงอก อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกที่ไหนแล้ว
“ไม่รู้จักก็ไม่ต้องกิน เกิดโดนพิษขึ้นมาจะยุ่ง” ชายวัยกลางคนเตือนอย่างเป็ห่วง จากนั้นเขาก็ถอนใจ ด้วยเป็ความห่วงครอบครัว
เขาเพียงแค่มาทำงานที่เมืองเล็กๆ ที่ทิ้งห่างไปเื้ัเท่านั้น ครอบครัวเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่อยู่ที่เมืองเล็กๆ อีกเมืองที่ห่างจากที่นี่ไปอีกหลายสิบกิโลเมตร เขาไม่รู้เลยว่าคนที่บ้านเป็เช่นไรบ้าง
เพียงคืนเดียว เกิดเหตุประหลาดขึ้นหลายแห่ง โดยเฉพาะเมื่อประสบกับตัวเอง ทำให้เขาหวั่นใจอย่างยิ่ง หวังว่าจะถึงบ้านโดยไว ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้เรียกได้ว่าไวปานสายฟ้าเลยทีเดียว
ต้องยอมรับว่า ทักษะการขับรถของชายวัยกลางคนผู้นี้เชี่ยวชาญอย่างมาก ถึงจะเทียบไม่ได้กับขับรถวิบาก แต่การกระเด้งกระดอนซ้ำๆ ก็ทำให้ตาอ้วนโจวอ้วกแทบพุ่ง
“สุดยอดมากอา ผมนับถือเลย!” ในตอนแรกโจวเฉวียนยังรู้สึกตื่นเต้น แต่ต่อมาชักหวั่นๆ น้ำลายเกือบจะฟูมปาก
นอกหน้าต่างรถ ต้นไม้สองข้างทางถอยหลังห่างอย่างรวดเร็ว ขนาดฉู่เฟิงยังตาลาย ออกจะกังวลว่าการขับรถท้านรกอย่างนี้อาจเกิดอุบัติเหตุได้
เขาเหลียวกลับไปมองด้านหลัง ต้นเถาวัลย์เขียวชอุ่มขนาดมหึมา กางครอบท้องฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ จนบัดนี้ยังคงมองเห็นได้ชัดเจน นี่ยังไม่พ้นเขตแดนของมันอีกหรือนี่
มันล่องลอยอยู่ในอากาศ ลำต้นของมันห่างจากพื้นดินไกลโข อย่างกับกำแพงเมืองสีเขียวสูงเสียดฟ้า ทั้งยังเหมือนยอดเขาเหนือชั้นเมฆ กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
มันจะใหญ่โตอลังการขนาดไหนกันนะ? แต่คิดไปคิดมาก็คลายสงสัย ถ้าไม่ใหญ่โตอย่างนั้น มันจะลากดาวเทียมที่ประดิษฐ์โดยมนุษย์ลงมาได้อย่างไรกัน
เวลาเพียงชั่วถอนหายใจ ชายวัยกลางคนก็ซิ่งรถออกมาได้ห้าสิบกว่ากิโลเมตร จนกระทั่งเข้าเขตอีกเมือง จึงลดความเร็วลง เนื่องจากปริมาณรถที่หนาแน่นขึ้น
“มีรายงานข่าวต่อแน่ะ นายดู ตาคนที่งอกปีกสีเงินนั่น บินขึ้นไปบนฟ้าได้จริงๆ ด้วย แถมยังมีแสงสีเงินวนรอบตัวอีกด้วย นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว แต่ว่านะ ดูแล้ว...อย่างเทพแน่ะ!”
โจวเฉวียนชี้ให้ฉู่เฟิงดูรูปคนผู้นั้นในเครื่องมือสื่อสาร รูปนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง
เป็รูปเด็กหนุ่ม ท่าทางสง่างาม ร่างกายยามเปล่งแสงสีเงิน ดวงตาสว่างสุกใส เปล่งประกายขาวเงิน แม้แต่ช่องว่างระหว่างเซลล์ยังขาวกับราวหิมะ
ฉู่เฟิงสีหน้าแตกตื่น โลกใบนี้กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เื่บางเื่นับวันก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้ เหตุการณ์ธรรมชาติบางอย่าง ไม่สามารถใช้กฎเกณฑ์แต่ดั้งเดิมของโลกมาอธิบายได้อีกต่อไป
“ทำไมไม่รายงานให้มากกว่านี้นะ น่าจะให้คนคนนั้นมาพูดหน่อยว่ารู้สึกยังไงบ้าง” โจวเฉวียนบ่นพึมพำ ไม่พอใจอย่างยิ่ง
เขาค้นต่อไม่หยุด ในที่สุดก็เจอรายงานข่าวชิ้นใหม่
“คนคนนั้นถูกคนจากกลุ่มเทียนเสินเซิงอู้เชิญตัวไปแล้ว นี่มันบริษัทั์ใหญ่นี่นา อย่างนี้ก็ช่วยเขาตรวจสอบสภาพร่างกายได้ทุกกระเบียดนิ้วเลยสิ” โจวเฉวียนว่า
ฉู่เฟิงฟังข่าวก็ขมวดคิ้วน้อยๆ เทียนเสินเซิงอู้เป็บริษัทของตระกูลหลิน ดำเนินการด้านเวชภัณฑ์เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต แต่แรกเขาก็ไม่รู้อะไร จนเลิกรากับหลินนั่วอีแล้วจึงค่อยมารู้ในภายหลัง
ชื่อเทียนเสินเซิงอู้นี่... ฉู่เฟิงเค้นความคิด เมื่อก่อน เป็เพราะเข้าใจว่าผู้กุมบังเหียนของตระกูลหลินมีความคิดอ่านแปลกประหลาด จึงตั้งชื่อเช่นนี้
มาตอนนี้ บางทีอาจมีความนัยซ่อนอยู่ เพราะเขารู้จักเข้าใจหลินนั่วอีเป็อย่างดี เขารู้ความจริงบางอย่างของตระกูลผู้อื่น จึงััได้ว่าโลกนี้กำลังเปลี่ยนไป
เมื่อเข้าใจเื่ของตระกูลหลินแล้ว เขาก็เข้าใจทันที ว่าทำไมในวันจบการศึกษาที่เขา้าไปส่งหลินนั่วอี ครอบครัวของเธอกลับแสดงท่าทีเ็า ทำให้เขาได้แต่โบกมือให้เธออยู่ไกลๆ แล้วเดินจากไป
“เป็อะไรไปพี่น้อง เหม่ออะไร?” โจวเฉวียนเห็นเขาใจลอย จึงถามขึ้นมา
“นึกถึงแฟนเก่า” ฉู่เฟิงตอบไปงั้นๆ
“นายเลิกกับแฟนเหรอ? แล้วมาเสียใจตอนนี้อ่ะนะ?” โจวเฉวียนหัวเราะ
“ไม่ใช่ เขาขอแยกทางกับฉันต่างหาก” ฉู่เฟิงพูดเรียบๆ เื่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เื่ที่พูดไม่ได้สักหน่อย เขาไม่ได้รู้สึกเสียหน้าอะไร มันควรปล่อยวางแต่แรกอยู่แล้ว
“ปล่อยมือเร็วไปไหม?” โจวเฉวียนใ จากนั้นก็คร่ำครวญ รักแรกของเขาทำเขาทุรนทุรายอยู่ร่วมสองปี มาจนวันนี้ก็ยังลืมไม่ลง ครั้งนี้ ที่เขาเดินทางไปเขตทิเบต เรียกได้ว่าไปย้อนรอยเดิม พร้อมกันนั้นก็เพื่อเริ่มกระบวนการลืมเธอเป็ครั้งสุดท้าย
ฉู่เฟิงพูดว่า “เธอไม่ค่อยอะไรกับฉันสักเท่าไหร่ ไปไหนมาไหนด้วยกันก็ไม่บ่อย เริ่มต้นคบกันอย่างง่ายๆ เหมือนสายน้ำไหล แล้วก็จบกันอย่างเงียบๆ”
“เื่มันเป็ยังไงล่ะ?” โจวเฉวียนถามอย่างแปลกใจ
ฉู่เฟิงส่ายศีรษะ ถึงจะปล่อยวางได้ แต่ก็ไม่อยากพูดถึง
ในที่สุด รถก็ขับห่างออกมาหลายสิบกิโลเมตร ชายวัยกลางคนนั้นก็ใกล้ถึงบ้านแล้ว ฉู่เฟิงกับโจวเฉวียนไม่อาจทำเนียนเกาะรถต่อไปได้ ได้แต่ลงจากรถกลางทาง
“มองไม่เห็นต้นเถาวัลย์นั่นแล้ว!” โจวเฉวียนหันกลับไปมอง โค้งฟ้าสดใส ไม่ถูกสิ่งใดบดบัง เขารู้สึกผ่อนคลาย ถอนใจยาวเหยียด
ตอนที่อยู่ตรงนั้น เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง พวกเขาก็เข้าใกล้ตัวเมือง จนกระทั่งถึงสถานีรถทางไกล ที่นี่มีเที่ยวรถไปทางเทือกเขาไท่หังซาน1ทางตอนเหนือ
หลังจากรถออกเดินทางแล้ว ทั้งคู่ต่างรู้สึกโล่งไปอีกเปลาะ ในตอนแรกต่างก็กลัวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ไม่สามารถออกเดินทางได้
“ท่าทางพื้นที่แถบนี้จะไม่มีเื่อะไรนะ มีแต่เส้นทางที่พวกเราผ่านมา่นั้นที่แปลกประหลาด? เป็เพราะไอ้ต้นเถาวัลย์นั่นก่อเื่แน่ๆ!” โจวเฉวียนมีอารมณ์
จุดหมายปลายทางของรถโดยสารทางไกลคันนี้อยู่ที่เมืองใหญ่ทางตอนเหนือ ที่นั่นได้รับการเรียกขานว่าเมืองหลวงโบราณหกราชวงศ์
ระหว่างทาง รถได้แล่นผ่านเชิงเขาไท่หังซาน ที่จริงแล้วบ้านของฉู่เฟิงและโจวเฉวียนเรียกได้ว่าอยู่ส่วนเหนือสุด บ้านใกล้เรือนเคียงกับเมืองหลวงโบราณหกราชวงศ์
“ถ้าไม่มีเหตุอะไรนะ ก่อนตะวันลับเหลี่ยมเขาพวกเราก็น่าจะถึงเชิงเขาไท่หังซานแล้ว” ฉู่เฟิงเอ่ยขึ้นมา
จุดนี้ห่างจากเมืองใหญ่ทางตอนเหนือออกไปอีกสี่ร้อยกิโลเมตร ต่อให้รถติดยังไง ด้วยสมรรถนะของรถโดยสารทางไกลแล้ว ย่อมต้องถึงก่อนตะวันตกดินอย่างแน่นอน
ในยามที่ทุกแห่งหนเกิดเื่แปลกประหลาดขึ้น เมื่อขึ้นรถ หัวข้อสนทนาย่อมหนีไม่พ้นเื่พวกนี้
“ตามที่ได้ยินมา มีการใช้จรวดนำวิถีแล้วนะ เพื่อที่จะทำให้พวกที่อยู่ในอวกาศร่วงลงมา”
“หืม ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน แต่ยังไม่เห็นข่าวเลยนะ ไม่รู้จริงหรือเปล่า!”
เสียงพูดบนรถสับสนวุ่นวาย หัวข้อสนทนามีทุกรูปแบบ
ฉู่เฟิงกับโจวเฉวียนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ความคิดของพวกเขาแล่นไปถึงพันธุ์พืชที่ลอยอยู่ในอากาศอย่างเถาวัลย์ั์นั่น ต้องยิงให้ร่วงกันทันทีเลยงั้นเหรอ!
เวลาผ่านไป รถโดยสารแล่นต่อไปอย่างราบรื่น
โจวเฉวียนถอนใจ เขากำลังค้นหาข่าวจากเครื่องมือสื่อสาร แต่หาไปหามา ก็เจอแต่รูปสุดท้ายนั่นเท่านั้น รูปเด็กหนุ่มที่มีปีกสีเงินถูกคนของเทียนเสินเซิงอู้เชิญตัวไป
นั่นเป็รูปใบสุดท้าย จากนั้นก็ไม่มีข่าวอื่นใดเข้ามาอีก
“นี่พาตัวไปตรวจสอบจริงหรือเปล่าเนี่ย ทำไมดูแล้วอย่างกับต้อนรับเศรษฐีใหม่เลย” โจวเฉวียนพึมพำอย่างไม่พอใจ เนื่องด้วยรถที่ไปรับเด็กหนุ่มคนนั้นเป็รถหรูราคาแพง อีกทั้งยังมีคนจากตระกูลหลินไปต้อนรับด้วยตัวเอง
ฉู่เฟิงหันไปมองรูปแวบเดียว แล้วไม่พูดอะไร
ถึงตอนนี้ การรายงานข่าวที่มีมาในทุกรูปแบบ พากันรายงานเหตุการณ์ประหลาดอย่างต่อเนื่อง ชวนให้ผู้คนวิตกกังวล
ฉู่เฟิงกวาดตาดูคร่าวๆ แล้วก็ไม่ไปสนใจอีก เขากินของว่างนิดหน่อย ดื่มน้ำ หลับตานอนเอาแรง แล้วค่อยๆ หลับไปในที่สุด
“พี่น้อง ตื่นๆๆ เกิดเื่แล้ว” โจวเฉวียนเรียกเขา
ฉู่เฟิงถูกเขย่าจนตื่น ลืมตาขึ้นมาก็บ่ายคล้อยแล้ว ดวงอาทิตย์ห่างจากเหลี่ยมเขาอีกไม่ไกล
“อะไรล่ะ?” เขาถาม
“คนขับรถท่าทางสติแตกแล้วน่ะสิ เขาว่าขับรถมาห้าร้อยกว่ากิโลเมตรแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงที่หมาย แถมพอดูป้ายข้างทาง ก็บอกว่าต้องไปต่ออีกหลายสิบกิโลเมตร” โจวเฉวียนแจกแจง
ฉู่เฟิงตื่นเต็มที่ หรือจะเป็เหมือนพื้นที่ที่ถูกเถาวัลย์ล้อมในตอนนั้น? พื้นดินขยายกว้างเหมือนกับถูกดึงยืด?
บางคนคิดว่าคนขับไปผิดเส้นทาง แต่เขาก็สาบานเป็มั่นเป็เหมาะ เส้นทางนี้เขาขับผ่านมาห้าหกปีแล้ว ไม่มีทางผิดพลาดเด็ดขาด
รถยังคงแล่นต่อไป ตามป้ายบอกระยะทางที่ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ
“ไม่ปงไม่ไปมันแล้ว ผีหลอกชัดๆ นี่มันต้องเกี่ยวข้องกับเหตุประหลาดในข่าวแน่ๆ ฉันยังอยากมีชีวิตอยู่ ยังไม่อยากตาย!” คนขับรถก็เป็คนเ้าอารมณ์ ได้ยินผู้โดยสารบ่นว่าเขาอาจจะขับผิดเส้นทาง ก็จะเลิกขับเอาดื้อๆ
“เฮ้ย?!” ใครสักคนหันไปมองทางซ้ายมือ
ทางนั้นมีูเาลูกหนึ่ง สูงใหญ่เสียดฟ้า แต่เหมือนกับจู่ๆ ก็โผล่ออกมาจากข้างทาง อีกเพียงนิดเดียวก็จะขวางถนนอยู่แล้ว
“เมื่อกี้ไม่เห็นมีูเาลูกนี้นี่นา เกิดอะไรขึ้น?”
“คุณโชเฟอร์ รีบซิ่งเลย รีบไปให้พ้นจากที่นี่เถอะ!”
บนรถเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องโวยวาย
คนขับรถไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบคันเร่งจนมิด เพราะเขาเองก็ใไม่น้อยที่เห็นกับตาตัวเองว่าูเาลูกนั้นจู่ๆ ก็โผล่ออกมา
“ฉันไม่น่าออกมาไกลบ้านเลย ให้ตายสิ!” เขาพร่ำโทษตัวเอง ใบหน้าซีดเผือด เร่งความเร็วอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง
บนรถ หลายคนต่างหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ฉู่เฟิงกับโจวเฉวียนที่เคยประสบเื่เช่นนี้มาแล้วยังพอสงบสติอารมณ์ได้
แต่แล้ว ตาอ้วนโจวก็อดรนทนไม่ได้ สวดมนต์พึมพำในที่สุด “หลวงพ่อช่วยลูกด้วย ขอให้พวกเรากลับถึงบ้านโดยปลอดภัยด้วยเถอะ!”
รถคันนี้กระหน่ำวิ่งอย่างบ้าคลั่งไปตลอดทาง หลายครั้งคราที่เกือบเกิดอุบัติเหตุ
เห็นได้ชัดว่า รถคันอื่นก็เร่งความเร็วขึ้นเช่นกัน เหมือนกับว่าคนในรถคันอื่นเองก็แตกตื่นไม่ต่างกัน
“ขอบคุณ์ ถึงในที่สุด”
จนกระทั่งดาวขึ้นเต็มฟ้า โจวเฉวียนถอนหายใจยาวเหยียด เขาเห็นวิวทิวทัศน์ที่คุ้นตาในสุด ภาพเทือกเขาไท่หังซานทอดตัวยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา
ฉู่เฟิงเองก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย ตรงนี้ห่างจากบ้านอีกไม่กี่กิโลเมตรแล้ว ถึงต้องลงจากรถตรงนี้ก็ยังพอเดินกลับบ้านได้
รถโดยสารแล่นต่อไปอีกไม่เท่าไหร่ ก็เบรกกะทันหัน ผู้โดยสารหลายคนกระแทกเข้ากับที่นั่งด้านหน้า เสียงร้องด้วยความเ็ปดังขึ้น
“ขับรถยังไงวะหา!” มีคนโมโห
แต่แล้วเสียงก็เงียบลงโดยพลัน
แสงดาวระยิบระยับ แสงเดือนอบอุ่น ด้านหน้าคือทะเลสาบกว้างใหญ่ หมอกจางๆ คลุมอยู่บนผิวน้ำ เมื่อประสานกับแสงจันทร์ ก็ประหนึ่งปกคลุมด้วยผ้าโปร่งบางเบา
ทะเลสาบกว้างใหญ่ แผ่นน้ำทอประกายแวววามภายใต้หมู่ดาวและแสงเดือน ชวนให้รู้สึกได้ถึงความงดงามและพลังบางอย่างที่ไม่อาจพรรณนาออกมาได้
ภาพนั้นงดงามอย่างยิ่ง สะอาดบริสุทธิ์ดุจทะเลสาบแห่งเซียนที่ซึมซาบฉัพพรรณรังสีแห่งตะวันและจันทรา
“เกิดอะไรขึ้น ทางขาดเหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงมีทะเลสาบตรงนี้ได้?” โจวเฉวียนตะลึง ที่นี่ไม่ได้ห่างจากบ้านของเขาเท่าไหร่ เขาอาศัยอยู่แถบนี้ั้แ่เล็กจนโต ไม่เคยเห็นทะเลสาบนี้มาก่อน
ถนนมาสิ้นสุดที่ตรงนี้!
“มาอึ้งอะไรตอนนี้ ลงรถแล้วเดินอ้อมเอา!” ฉู่เฟิงกระทุ้ง
จู่ๆ ทะเลสาบก็โผล่ออกมา ฉู่เฟิงเห็นว่าเหมือนกันกับูเาที่โผล่ออกมาตั้งตระหง่านก่อนหน้านี้ ภาพใหญ่เหมือนกัน ต่างกันเพียงแค่รายละเอียด ที่แห่งนี้กำลังจะขยายใหญ่ กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
สถานที่ที่ชาวโลกไม่เคยได้พบเจอรู้จัก มาบัดนี้เผยโฉมออกมาแล้ว!
คนบนรถแบ่งเป็สองฝ่าย บางคนอยากจะเดินอ้อมไป แต่บางคนก็อยากรออยู่ที่เดิม จนรุ่งสางค่อยว่ากัน
ฉู่เฟิงกับโจวเฉวียนเดินเท้าต่อไปอีกหลายกิโลเมตร จึงอ้อมทะเลสาบกว้างใหญ่นั่นไปได้ เดินต่อไปจนดึกดื่นค่อนคืน ในที่สุดก็มองเห็นเมืองอยู่ไกลๆ
นั่นคือเขตอำเภอเมือง เรียกว่าเขตซุ่นผิง บ้านของตาอ้วนโจวอยู่ที่นั่น
ส่วนบ้านของฉู่เฟิงยังห่างออกไปอีกราวห้ากิโลเมตร
“ในที่สุดก็ถึงบ้านแล้ว!” ตาอ้วนโจวยินดีปรีดาเหลือประมาณ มีความสุขอย่างถึงที่สุด
“หืม นั่นมันอะไรกัน?!” ฉู่เฟิงมองไปทางเทือกเขาไท่หังซาน ทันใดนั้น เสียงสะท้านะเืเลื่อนลั่นดังขึ้นไม่หยุดหย่อน แล้วูเาสูงตระหง่านเสียดฟ้าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ในชั่วอึดใจ ก็ปรากฏูเาขึ้นเกือบพันลูก ใหญ่โตอลังการอย่างล้นเหลือ ด้วยความสูงหลายพันเมตร เกือบหมื่นเมตรเป็อย่างน้อย เมื่อเทียบกันแล้ว เทือกเขาที่มีอยู่ดั้งเดิมกลายเป็ต่ำเตี้ยไปเสียสิ้น
นอกจากนี้ ูเาเ่าั้ยังเปล่งประกายฉัพพรรณรังสี ลึกลับสุดประมาณ!
***********************************************************
1 ไท่หังซาน เทือกเขาที่ทอดตัวจากเหนือลงใต้ ครอบคลุมมณฑลซานซี (山西) เหอเป่ย (河北) เหอหนาน(河南)