เฟิ่งหยางมองดวงหน้าน้อยของถังชิงหรูอย่างตะลึงงัน คำพูดของนางนับได้ว่าเป็การเตือนสติ เขาอยู่ที่นี่เพียงไม่นาน ไม่ช้าก็ต้องย้ายไปสถานที่ที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแห่งนั้น ยังต้องเผชิญหน้ากับอะไรอีกมากนัก ที่นั่นมีแต่คนคิดจะสังหารตนเองไม่เว้นแต่ละวัน เขาผ่านการถูกลอบสังหารมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ดังนั้นเมื่อถึงเวลา เขาจึงจะพาสตรีคนนี้ไปด้วย
"เที่ยงนี้กินอะไร" เฟิ่งหยางเดินไปทางเรือนของถังชิงหรู
นางมองไปรอบด้าน พบว่าสายตาของผู้คุ้มกันทุกคนล้วนจ้องมาที่นางอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ นางได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของพวกเขา
มีสุนัขสีดำวิ่งออกมาจากมุมหนึ่ง มันมองถังชิงหรูประหนึ่งกำลังถามว่า "เรียกข้าทำไม"
ไม่ผิด สุนัขตัวนั้นก็คือเสี่ยวอี
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ถังชิงหรูให้พ่อบ้านช่วยหาสุนัขให้ พ่อบ้านส่งเข้ามาให้นางครอกแล้วครอกเล่า ลูกสุนัขเ่าั้ล้วนแต่น่ารักน่าเอ็นดู แต่เสี่ยวอีก็ยังไม่พอใจ ร่างที่เสี่ยวอี้าอันดับแรกต้องเป็สุนัขแรกเกิด เพราะมีแต่แบบนี้เสี่ยวอีถึงสวมร่างได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นต้องไม่อ่อนแอจนเกินไป สุนัขที่พ่อบ้านส่งมาล้วนเป็สุนัขที่เหมาะสมให้สตรีเลี้ยงไว้ดูเล่น นอกจากความน่ารักน่าเอ็นดู ก็ไม่มีประโยชน์อื่นสักอย่าง เสี่ยวอีจะต้องตาสุนัขเช่นนี้ได้อย่างไร เขาอยากได้ร่างที่แข็งแกร่ง หลังเติบใหญ่สามารถปกป้องถังชิงหรูได้ แม้ว่าการสวมิญญาในร่างสุนัขจะทำให้ความสามารถในการต่อสู้ต่ำลง แต่เขาสามารถฝึกฝนไปอย่างช้าๆ เมื่อเวลาผ่านไปได้
ดังนั้นในที่สุดพวกเขาถึงเลือกหมาป่าตัวนี้
นี่คือหมาป่าที่เฟิ่งหยางมอบให้
ไม่รู้ว่าเฟิ่งหยางไปได้ยินว่านางอยากเลี้ยงสุนัขมาจากไหน ถังชิงหรูไม่อยากได้สัตว์เลี้ยงที่เปราะบาง แต่อยากได้ดุร้ายอย่างสุนัขจั้งอ๋าว[1] แต่ที่นี่คือที่ใด ไหนเลยจะมีสุนัขจั้งอ๋าว ผ่านไปสองสามวัน เขาก็ส่งหมาป่ามาให้ ตอนนั้นมันเพิ่งคลอด ยังไม่ลืมตา ดูเป็ก้อนกลมเล็กๆ แสนจะน่ารัก
เสี่ยวอีแค่เห็นหมาป่าตัวนี้ก็ชอบมาก มันเป็ทายาทของหมาป่ากับสุนัขเร่ร่อน หมาป่าเป็าาแห่งขุนเขา ส่วนสุนัขเร่ร่อนตัวนั้นก็ถือกำเนิดและเติบโตในป่าเขา ดังนั้นจึงแข็งแรงและดุร้ายยิ่ง
"เ้ายังเล็ก อย่าวิ่งไปไหนไกลนัก หากถูกสุนัขตัวใหญ่เ่าั้รุมทำร้ายจะทำอย่างไร" ถังชิงหรูอุ้มเสี่ยวอีเข้าไปในเรือนชิงหรู
ยามนางกลับมาถึงห้อง เห็นเฟิ่งหยางนั่งเอกเขนกอ่านตำราอยู่บนตั่งนุ่มของนาง เขาสวมรองเท้าแตะที่นางทำ นั่งพิงหมอนอิงที่นางเย็บ ทั้งยังใช้ถ้วยชาของนางด้วย พอมองไปที่ตู้ด้านข้างก็เห็นเสื้อผ้าของเขาวางอยู่ในนั้น นางรู้สึกเหมือนิญญาหลุดออกจากร่างไปชั่วขณะ ก่อนเดินเข้าไปชิงตำรามาจากมือเขา ก่อนมองเฟิ่งหยางด้วยสีหน้าจริงจัง
"ห้องของท่านก็มีทั้งเก้าอี้และชั้นวางหนังสือเหมือนกัน กลับไปอ่านที่ห้องของตนเองได้หรือไม่"
นางจงใจเน้นหนักคำว่า 'เหมือนกัน' เป็พิเศษ
ใบหน้าหล่อเหลาของเฟิ่งหยางเงยขึ้น รอยยิ้มอบอุ่นนุ่มนวลดังสายลมวสันต์ผลิบานบนใบหน้า ดวงเนตรหงส์เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดทอประกายลึกซึ้งประหนึ่งจะสูบิญญาของนางเข้าไป
ถังชิงหรูมองรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา หัวใจเต้นโครมครามไม่หยุด ใบหน้าดวงนั้นช่างงามวิจิตรดังปีศาจจิ้งจอกก็มิปาน
นางสะบัดศีรษะให้ตนเองกลับมามีสติแจ่มชัดอีกครา แล้วกล่าวว่า
"จะพูดอะไรก็พูดสิ เข้ามาใกล้ขนาดนี้ทำไมกัน ท่านไม่รู้หรือว่ากลิ่นจิ้งจอกบนร่างกายของตนเองมันเหม็นแค่ไหน"
ปีศาจจิ้งจอกจะปล่อยกลิ่นพิเศษออกมาเพื่อมอมเมามนุษย์ เพียงแค่สูดกลิ่นสมองจะว่างเปล่า สูญเสียการตระหนักรู้ ทำให้หุนหันพลันแล่นได้ง่าย ในตำราว่าไว้อย่างนั้น เขาหน้าตาแบบนี้ ไม่ต่างกับจิ้งจอกจำแลงในตำนานสักนิด
เฟิ่งหยางหน้าดำทะมึน มุมปากกระตุก "คุณชายเยี่ยงข้าจะนั่งตรงนี้ จะนอนตรงนี้ เ้าจะทำอะไรได้ ในเมื่อจวนแห่งนี้เป็ของข้า"
"คนพาล ท่านชอบนั่งก็เชิญนั่งตามสบาย อย่างไรเสียเนื้อของข้าก็ไม่แหว่งไปเสียหน่อย" ถังชิงหรูแค่นเสียงเยาะ "ไปทำอาหารดีกว่า เที่ยงนี้จะทำวุ้นเส้นเปรี้ยวเผ็ด เอาให้ท่านแสบท้องตายไปเลย"
"ปลาเปรี้ยวหวาน ซี่โครงเปรี้ยวหวาน หมูนึ่งข้าวคั่ว..." ปิศาจจิ้งจอกสั่งอาหารราวกับเป็เื่ปรกติ "อ้อ ใส่น้ำตาลเพิ่มหน่อย อาหารคราวก่อนเปรี้ยวเกินไป ไม่อร่อยสักนิด"
"คุณชาย ท่านเคยเห็นบุรุษบ้านไหนชอบกินหวานแต่ไม่ชอบกินเปรี้ยวกันบ้าง" ถังชิงหรูก้มลงไปฉีกยิ้มกว้างให้เขา ทว่าดวงตาแฝงแววเยาะหยันประหนึ่งกำลังถามว่า ท่านเป็ชายแท้หรือเปล่า
เฟิ่งหยางไม่สะทกสะท้านกับการยั่วยุของนาง กลับเอ่ยวาจาอ่อนโยนเป็พิเศษ "บุรุษบ้านเ้าไม่ชอบกินเปรี้ยว แต่ชอบกินหวาน"
"ท่านขาดความรักหรือไง ทำไมถึงชอบกินหวานขนาดนี้" ถังชิงหรูรับไม่ได้จริงๆ ทุกครั้งที่อยู่กับเฟิ่งหยาง อาหารที่นางทำล้วนต้องหนักหวาน นางไม่ชอบอาหารรสหวาน ชอบแต่ของเผ็ดๆ
หลังกล่าวจบ ถึงรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่ตนเองเสียเชิงให้เฟิ่งหยางอีกแล้ว พานไม่อยากคุยกับเขาต่อ ใช้วาจาถากถางเขาทีไร สุดท้ายคนตกเป็เบี้ยล่างก็ไม่พ้นเป็นางทุกที
เฟิ่งหยางมองถังชิงหรูเดินออกไป ก่อนทิ้งตัวนอนบนตั่งนุ่ม วางตำราปิดหน้าของตนเองเพื่อบังแสงสว่าง ก่อนดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา
"หยางเอ๋อร์ เ้าต้องตั้งใจฟังคำสอนท่านอาจารย์ให้ดี กลับมาเมื่อไร แม่จะทำขนมดอกหลีฮวาให้กิน" สตรีรูปโฉมงดงามคนหนึ่งกำลังแต่งตัวให้กับเด็กชายตัวน้อยหน้าตาเกลี้ยงเกลา ใบหน้าของนางเอิบอิ่มไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา "อาจารย์บอกว่าหยางเอ๋อร์เฉลียวฉลาดยิ่ง หากพยายามอีกสักหน่อยก็ไล่ตามพี่น้องคนอื่นๆ ทันแล้ว แม่เชื่อมั่นในตัวเ้า เ้าต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มที่ ขยันขันแข็งนะรู้ไหม"
เด็กชายตัวน้อยมองสตรีที่อยู่เบื้องหน้า พลางทำหน้ามุ่ยกล่าวว่า "ท่านแม่ ไฉนท่านถึงชอบทำของหวานให้ข้านักเล่า ข้าไม่ชอบกินของหวานๆ "
"หยางเอ๋อร์เด็กดี" สตรีโฉมสะคราญทอยิ้มอบอุ่น ดวงหน้างามพิลาสแม้แต่จันทร์เพ็ญยังหม่นแสง "ของหวานจะทำให้คนอารมณ์ดีมีความสุข ทุกครั้งเ้าเรียนหนังสือล้วนเหนื่อยล้า แม่ทำของหวานให้เ้ากิน เ้าก็หายเหนื่อยเป็ปลิดทิ้งมิใช่หรือ"
เฟิ่งหยางลืมตามองขึ้นไปบนขื่อ สีหน้าแลดูผ่อนคลาย
เขาไม่ฝันเห็นมารดามานานเท่าไรแล้ว เหตุไฉนอยู่ดีๆ จึงนึกถึงเื่นานมาแล้วเ่าั้
"คุณชาย..." หลินหลันเซิงเดินเข้ามาจากด้านนอก พอเห็นเฟิ่งหยางนอนอยู่ก็เอ่ยด้วยสีหน้าตื่นกลัว "พี่สาวบอกว่าที่เรือนของท่านมีน้ำผึ้งชั้นเลิศ นาง้าใช้ขอรับ"
เฟิ่งหยางลุกขึ้นมานั่ง เนื่องจากเพิ่งตื่น ทั้งเนื้อทั้งตัวจึงดูคล้ายสิงโตเกียจคร้าน แลดูอันตรายและเคร่งขรึม ทว่าสง่างามเป็ธรรมชาติอย่างบอกไม่ถูก
เรือนผมของเขายุ่งเล็กน้อย แต่กลับดูมีเสน่ห์กว่าปรกติ เขาหน้าตาดีมาก ไม่ว่าจะทำขยับตัวทำท่าไหนล้วนน่ามอง เหมือนดั่งประติมากรรมชิ้นเอก
"นั่นเป็น้ำผึ้งจากหุบเขาชีเสีย ลูกน้องของข้าต้องใช้เวลาถึงสามเดือนจึงจะเก็บกลับมาได้ นางฉลาดนัก รู้ว่าข้ามีของดี" เฟิ่งหยางเม้มริมฝีปากก่อนกล่าวเสียงเรียบ "เ้าไปบอกพ่อบ้านว่าข้าอนุญาตแล้ว แต่อีกประเดี๋ยวหากทำของอร่อยออกมาไม่ได้ ข้าจะตัดมือนางทิ้งเสียเลย"
ปรกติหลินหลันเซิงก็มักหวาดกลัวเฟิ่งหยาง เขาไม่เคยอารมณ์ดีกับผู้อื่นเหมือนเช่นที่ปฏิบัติกับถังชิงหรู แค่มองปราดเดียวก็ทำให้คนรู้สึกได้ถึงรังสีสังหารคุกรุ่น
"เ้าเด็กคนนี้..." เฟิ่งหยางมองหลินหลันเซิงวิ่งแน่บออกไปอย่างตื่นตระหนกปานมุสิก หัวคิ้วพลันย่นเข้าหากัน "เป็บุรุษเสียเปล่า แต่ใจเสาะใช้ไม่ได้ สงสัยจะต้องคุยกับสตรีผู้นั้น ให้เขามารับการฝึกฝนเคี่ยวกรำในมือข้าสักสองสามปี บุรุษที่เอาแต่ร่ำเรียนเขียนอ่าน สุดท้ายมิกลายเป็บัณฑิตซื่อบื้อไปหรือ"
ในห้องครัว ถังชิงหรูได้น้ำผึ้งกลิ่นหอมกรุ่น อารมณ์ก็ดีขึ้นในบัดดล นางเพิ่มรายการกับข้าวเข้าไปอีกสามสี่อย่าง มีทั้งรสเปรี้ยว รสเผ็ด รสหวาน รวมทั้งสิ้นสิบสองจาน แม้ว่าจะเหลือไว้ให้หลิงจื้อแล้วส่วนหนึ่ง พวกเขาสามคนก็ยังกินไม่หมด
ทุกครั้งที่เฟิ่งหยางนั่งอยู่ด้วย หลินหลันเซิงก็หวาดกลัวจนแม้แต่อาหารที่ชอบยังไม่กล้าคีบ ทุกครั้งล้วนเป็ถังชิงหรูที่คีบให้เขา ถังชิงหรูรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ถูกต้อง วันนี้จึงไม่คีบกับข้าวให้หลินหลันเซิงเหมือนอย่างเคย
เด็กชายพุ้ยกินแต่ข้าวเปล่า มองอาหารสีสันน่ากินเ่าั้ด้วยแววตาสลด พลางปรายตามองถังชิงหรูอย่างตัดพ้อ
"เ้าเลี้ยงเขาจนเหมือนสตรีเข้าไปทุกที" เฟิ่งหยางมองหลินหลันเซิง เผยความไม่พอใจออกมาทางแววตา "เดิมทีก็ตัวเล็กบอบบางนิดเดียว เ้าเลี้ยงประคบประหงมขนาดนี้ ต่อไปคงไม่แคล้วกลับไปทำอาชีพเก่า"
"ท่านพูดแบบนี้ข้าไม่อยากฟัง" ถังชิงหรูมองหลินหลันเซิงปราดหนึ่ง เด็กเล็กที่โตกว่าวัย ย่อมฟังที่พวกเขาสนทนารู้เื่ และย่อมรู้ว่าอาชีพเก่าหมายความว่าอย่างไร พอหลินหลันเซิงได้ยินเฟิ่งหยางพูดแบบนี้ ก็หน้าซีดเผือด นางเห็นแล้วทนไม่ได้ จึงถลึงตาใส่พลางเอ่ยว่า "เขาเพิ่งจะห้าขวบ เมื่อก่อนเคยถูกทารุณอย่างหนัก ยามนี้มาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ก็ต้องใช้เวลาปรับตัวกันบ้างมิใช่หรือ"
"กี่เดือนเข้าไปแล้ว เขายังปรับตัวไม่ได้อีกหรือ หากมีความสามารถแค่นี้ อีกหน่อยคงเป็ได้แค่กระสอบหญ้าฟาง[2]" เฟิ่งหยางเอ่ยเสียงเย็น "บุรุษที่ดีควรเป็เหมือนต้นหญ้า ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน หรือเผชิญหน้ากับผู้ใด เขาควรจะปรับตัวให้เร็วที่สุด เอาอย่างนี้ ต่อไปนอกจากเขาจะต้องร่ำเรียนศึกษาตำรา ยังต้องมาฝึกยุทธ์กับข้าอีกด้วย ข้ามีเวลาว่างจะสอนเขาเอง แต่ถ้าไม่ว่างก็จะให้ผู้อื่นสอนแทน"
"ท่านจะสอนเขา?" ถังชิงหรูมองสีหน้าตื่นตระหนกของหลินหลันเซิง ก่อนเอ่ยวาจาด้วยความจนใจ "ท่านดูท่าทางเขาสิ เกรงว่ายังไม่ทันเริ่มทำอันใด เขาก็ใตายไปเสียก่อนแล้ว"
"ดังนั้นเขาถึงว่าสตรีมักใจอ่อน หากเ้าไม่โหดกับเขาหน่อยแล้วเขาจะทะยานสู่ฟ้าได้หรือ ต่อไปหากเ้ามีบุตรคงจะสั่งสอนเองไม่ได้แน่ มิเช่นนั้นได้เสียเด็กกันพอดี" เฟิ่งหยางมองถังชิงหรูด้วยสายตาดูแคลน
ถังชิงหรูรู้สึกขอบคุณ์ โชคดีที่บุรุษผู้นี้หาใช่สามีของตนเอง เขาใช้สายตามองนางอย่างเหยียดหยันดูแคลน หากแต่งงานกับคนที่เห็นบุรุษเป็ใหญ่แบบนี้ นางจะยังมีที่ยืนอยู่อีกหรือ ใครจะไปทนการเคี่ยวกรำเช่นนี้ไหว คงต้องสตรีที่มีอุปนิสัยโอนอ่อนผ่อนตามเหมือนดั่งทาส จึงจะรับบุรุษเช่นนี้ได้
"หลันเซิง เ้ายินดีหรือไม่ หากเ้าไม่ยินดี พี่สาวจะพาเ้าไปเอง" ถังชิงหรูแค่นเสียงหึ "บางคนชอบฝึกยุทธ์ บางคนชอบร่ำเรียนวิชา ใช่ว่าบุรุษทุกคนจะชอบทั้งบุ๋นบู๊เสียที่ไหน เขายังเป็แค่เด็ก จะฝืนดึงกล้าให้เติบโต[3]ได้อย่างไร"
"พี่สาว ข้ายินดีขอรับ" หลินหลันเซิงมีท่าทีเปลี่ยนไป รับปากทันควัน
ถังชิงหรูมองเขาอย่างตกตะลึง แววตาคล้ายไม่อยากเชื่อ "เ้าคิดดีแล้วหรือ ฝึกยุทธ์ลำบากมากเลยนะ ต่อไปร่างกายเ้าคงมีแต่าแเต็มไปหมด"
"พี่สาว ตอนนี้ข้าก็มีาแเต็มตัว ข้าาเ็เพราะตนเองไม่แข็งแกร่งพอ หากข้าเข้มแข็งกว่านี้ คนเจ็บตัวย่อมเป็ผู้อื่น เมื่อก่อนไม่มีโอกาสร่ำเรียน บัดนี้คุณชายยินดีชี้แนะ ข้าย่อมยินดีศึกษาอย่างเต็มที่ ข้าอยากคุ้มครองพี่สาวขอรับ" หลินหลันเซิงเอ่ยพลางหน้าแดง
"แท้จริงแล้ว ข้าปรารถนาให้เ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ลืมความขุ่นข้องหมองใจเ่าั้ให้หมด แต่เ้าทนทุกข์มาหลายปีขนาดนี้ ไหนเลยบอกว่าลืมก็จะลืมได้" ถังชิงหรูถอนหายใจเบาๆ "เ้าชอบก็ดี เช่นนั้นรบกวนคุณชายโปรดหาคนสอนให้เขาด้วยเถิด"
"หลิงจื้อ" เฟิ่งหยางขานเรียกกะทันหัน
เงาร่างหนึ่งปรากฏในห้องโถงใหญ่ คุกเข่าก้มศีรษะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับไก่ตัวผู้ที่เพิ่งเปลี่ยนเสียง "ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ"
"ยามข้าอยู่ ข้าจะสอนเอง แต่หากข้าไม่อยู่ มอบให้เป็หน้าที่เ้า" เฟิ่งหยางปรายตามองถังชิงหรู "เ้ากินอาหารของนางมาสองเดือนแล้ว ควรจะทำประโยชน์เสียบ้าง"
--------------------------------------------------------------------------------
[1] สุนัขพันธุ์จั้งอ๋าว คือสุนัขทิเบตันแมสสติฟฟ์ มีต้นกำเนิดในทิเบตเป็สุนัขที่มีขนาดใหญ่ขนดกหนาสีดำหรือสีน้ำตาล เป็สุนัขที่ดุร้ายและแข็งแกร่งมาก
[2] กระสอบหญ้าฟางเป็คำด่า หมายถึงคนโง่งม ไม่มีหัวคิด
[3] ดึงกล้าให้เติบโต มักใช้อุปมาถึงการพยายามดันทุรังทำสิ่งใดที่ฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติ