เจียงเฉิงเยว่ปรบมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็พอใช้ได้นี่ ไม่ได้เสียหน้าเกินไป ไหนลองเล่าทีสิ...เล่ารายละเอียดของเื่ราว”
แต่ไหนแต่ไหนมาซวีอวี่ไม่ใช่คนที่ชอบพูดเหลวไหล เมื่อฉิงชางจวินถามขึ้นมาจึงจำเป็ต้องตอบ ทำได้เพียงเล่าอย่างรวบรัด “ไม่มีอะไร หลังจากที่เขาชนะติดต่อกันไม่น้อยจนทำให้เมื่อตลาดผีในเมืองปี่อั้นเปิดจะถูกความแออัดเบียดเสียดจนส่งผลกระทบต่อความเป็ระเบียบเช่นปกติ ข้าคิดว่าหากเป็เช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้การแล้ว นอกจากนี้ เด็กคนนี้ก็มีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกที่ทำทุกวิถีทางเพื่อ้าชีวิตของเขาย่อมมีไม่น้อย จึงต่อสู้กับเขาครั้งหนึ่ง จากนั้น ‘เชิญ’ เขาลงมาอย่างดี และกล่าวกับเขาว่าอย่ามาอีกเลยอย่างใจกว้าง”
ถ้อยคำเช่นนี้เหมือนไม่ได้บอกเล่าอะไรเลย เจียงเฉิงเยว่จึงแลบลิ้นอย่างไม่พอใจ “เช่นนี้หรือ? สิ่งที่ข้า้าถามคือการต่อสู้เป็อย่างไร? ตอนนั้นเด็กคนนั้นมีการบ่มเพาะอย่างไร? เ้าชนะง่ายดายหรือยากลำบาก?”
ซวีอวี่บอก “การชนะในครั้งแรกไม่นับว่ายาก”
เจียงเฉิงเยว่หันศีรษะอีกครั้ง สองตาเปล่งประกายด้วยความสนใจ “เขามาอีกครั้งในภายหลัง? เ้าก็ประมือกันอีกหรือ? แล้วเขาเอาชนะเ้าในครั้งที่เท่าไร?”
ซวีอวี่ตอบ “ครั้งที่ห้า”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวเลย หากเทียบกับคนเ่าั้ที่เ้าพูดถึงในภายหลัง...ไม่นับว่าน่าเกลียดเกินไป”
ซวีอวี่ส่ายศีรษะอย่างอับอาย “ความจริงแล้วเพราะตอนนั้นเขายังเด็ก ช่างน่าละอาย ช่างน่าละอายนัก”
เจียงเฉิงเยว่ทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือ “ั้แ่เมื่อหลายสิบปีก่อนเขาก็ไม่ได้มาอีก? หากข้ากลับมาให้เร็วขึ้นหลายสิบปีได้...ไม่แน่ว่าอาจได้พบสักครั้ง!”
ซวีอวี่ได้ยินถ้อยคำก็ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งพลางยกถ้วยขึ้นดื่ม ไม่พูดต่อ เขาคิดในใจว่า ทำไมเ้าไม่ลองดูเหวินเสี่ยวเซียนจวินว่าเ้าเมืองจู้ยงผู้นั้นจัดการอย่างไร อีกฝ่ายไม่สนใจเลยสักนิด! นั่นเป็เพราะเขาถือว่าตนเองมีตำแหน่งสูงส่ง เช่นเดียวกับสิบยมราชที่ไม่ให้ค่ากับการลดเกียรติหรือสถานะไปพัวพันกับผู้ฝึกฝนธรรมดาเช่นนี้ ถึงอย่างไรเ้าก็เป็บุคคลที่มีชื่อเสียงร่วมกันกับเขา ช่วยเรียนรู้สักหน่อยจะได้หรือไม่?
เจียงเฉิงเยว่ยังคงเสียดายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันมองซวีอวี่ ถามด้วยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ “ใช่แล้ว ใช่แล้ว เด็กคนนั้นรูปลักษณ์เป็อย่างไร”
“โดดเด่นเหนือผู้ใด”
เจียงเฉิงเยว่แทบจะะโขึ้น “์! ทำไมข้าถึงไม่กลับมาให้เร็วกว่านี้!”
ซวีอวี่วางถ้วยลงพร้อมส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม
เจียงเฉิงเยว่ก้าวไปข้างหน้าแล้วถามอีกครั้ง “ไม่มีใครรู้ว่าผู้ฝึกฝนธรรมดาคนนั้นไปที่ไหนหลังจากนั้นจริงหรือ? ไม่มีใครรู้ชื่อเสียงเรียงนามของเขาเลยจริงเชียว? ไม่เคยมีผู้ใดพูดคุยกับเขาเลยจริงได้อย่างไร? เขาคงไม่ได้เป็ใบ้จริงๆ หรอกใช่หรือไม่กัน?”
ซวีอวี่ส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ เพียงแค่ผู้ฝึกฝนธรรมดาผู้นั้นมีนิสัยหยิ่งผยอง คนธรรมดาไปพูดคุยกับเขาก็ไม่ใส่ใจที่จะตอบ”
เจียงเฉิงเยว่เบะปาก “ฮ่า นิสัยกวนประสาทเช่นนี้กลับทำให้ข้านึกถึงคนผู้หนึ่ง” ในความคิดของเขาปรากฏเป็หลี่อวิ๋นหังในวัยเยาว์ที่มีท่าทีไม่สนใจเขายามเขาเพิ่งไปถึงเขาฉีหวน
ซวีอวี่มองรอยยิ้มที่มีความโปรดปรานอย่างแปลกประหลาดบนริมฝีปากของฉิงชางจวินอย่างครุ่นคิดพลางตกตะลึง
“เด็กคนนั้น ทำไมเขาถึงไม่มาอีกในภายหลัง? หรือว่ามาเพื่อฝึกฝนจริง? เมื่อการบ่มเพาะเพิ่มขึ้นแล้วจึงไม่จำเป็ต้องมาอีกอย่างนั้นหรือ?”
ซวีอวี่รินน้ำชาในถ้วยให้เขากับตนเองอีกครั้ง “หากจะบอกว่ามาฝึกฝน ข้ากลับคิดว่า...เหมือนว่าเขากำลังรอใครบางคนอยู่”
“รอใครบางคน?”
ซวีอวี่พยักหน้า “คาดว่าเขามีนัดกับใครบางคนในเมืองปี่อั้น แต่คนผู้นั้นไม่ได้มาตามนัด หลังจากเฝ้ารอมาหลายสิบปีคงตระหนักได้ว่าคนผู้นั้นจะไม่มาตามนัดจึงไม่รออีกต่อไป”
“เ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ข้าเดาน่ะ เด็กคนนั้นไม่เคยคิดริเริ่มที่จะเปิดปากพูด ถามไปมากมายแต่ไม่เคยตอบสักคำ ทำไมทุกครั้งที่มาถึงต้องยืนอยู่บนระเบียงชมกวางด้วยเล่า? ระเบียงชมกวางนั้นคือตำแหน่งที่สูงและเด่นที่สุดในเมืองปี่อั้น อีกทั้งเมื่อมาถึงก็ยืนจนจบ มองตามคนสัญจรทุกคนที่เดินผ่านไปอย่างไม่ละสายตา หากไม่ได้รอใครอยู่แล้วกำลังทำอะไร?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า “มีเหตุผล”
คนทั้งสองพูดคุยกันเสร็จก็ดื่มชาอย่างเงียบเชียบ ทันใดนั้นซวีอวี่กล่าว “อา...เกี่ยวกับอาวุธวิเศษ จู่ๆ ข้านึกถึงเื่หนึ่งขึ้นมา”
“หืม?”
“หากบอกว่าข้าแพ้ให้เขาในยามนั้น...ตอนที่ข้าประลองกับเด็กคนนั้น ครั้งหนึ่งถูกเขายั่วโมโหจนเกิดจิตสังหาร กำลังจะเข้าประชิดตัวเพื่อสำรวจิญญาของเขา กลับถูกอาวุธคุ้มกายบนตัวเขาบังคับให้ล่าถอยออกมา มีคุณลักษณะไฟขั้นสูงสุดกับไอปีศาจ ซึ่งดูไม่เหมือนสิ่งที่ผู้ฝึกฝนธรรมดาควรมี ในระหว่างการต่อสู้อาวุธคุ้มกายนั้นถูกข้าหยิบออกมา ขณะนั้นพลังิญญาของเขากลับเพิ่มพูนอย่างกะทันหัน ราวกับสูญเสียการควบคุม พูดขึ้นมาแล้วก็แปลกยิ่ง มันไม่ใช่ทักษะที่ผู้ฝึกฝนธรรมดาควรมีอย่างแน่นอน...”
หลังซวีอวี่พูดจบยังตกอยู่ในห้วงความคิด
เจียงเฉิงเยว่แกว่งเท้า ตอบอย่างไม่คิดอะไร “ใช่ไหมเล่า...” พูดได้เพียงครึ่งคำ ฉับพลันเขาเกิดประกายความคิด ดวงตาเขาเบิกกว้าง ทั้งร่างแข็งทื่อ เท้าไม่ขยับ ร่างนิ่งงันอยู่ที่เดิมอย่างตกตะลึงราวกับตุ๊กตาไก่ไม้
เมื่อซวีอวี่เห็นท่าทางของเขาเปลี่ยนไป จึงรีบถามด้วยความกังวล “ฉิงชางจวิน?”
เจียงเฉิงเยว่วางเท้าลงยืนขึ้นอย่างกะทันหัน ใบหน้าขาวซีด
ซวีอวี่หวาดกลัวมากยิ่งขึ้น “ฉิงชางจวิน? เป็อะไรหรือเปล่า?”
เจียงเฉิงเยว่ส่ายศีรษะอย่างเชื่องช้า หลังจากนั้นบังคับตนเองให้สงบลง มองซวีอวี่แวบหนึ่ง “ข้าไปก่อนแล้วกัน...สามเดือนให้หลัง ครั้งต่อไปที่ตลาดผีเปิด...ข้าจะมาอีก”
ซวีอวี่ลุกขึ้นประสานมือ “ขอรับ” เจียงเฉิงเยว่โบกมือหยุดการเดินไปส่ง เพียงเอ่ย “อย่าให้ผู้อื่นรู้เบาะแส”
“ตกลง”
หลังออกจากเขตอาคม เจียงเฉิงเยว่เดินออกนอกประตูไปเพียงลำพังอย่างเชื่องช้าทีละก้าว ทั่วทั้งร่างเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง คุณสมบัติไฟและไอปีศาจ หยกคู่เพลิงสุวรรณ?! พลังิญญาเพิ่มพูน? ก่อนหน้านี้ยามที่ต่อสู้กับศิษย์สำนักชิงเฟิง ที่พลังิญญาเพิ่มพูนขึ้นอย่างกะทันหันก็เคยปรากฏออกมาบนร่างของหลี่อวิ๋นหังเช่นกัน
เมื่อร้อยปีก่อนจนถึงเมื่อหลายสิบปีก่อนหรือ? เขาจากเขาฉีหวนไปเมื่อร้อยห้าสิบเอ็ดปีก่อน หลี่อวิ๋นหังเลื่อนขั้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ระหว่างนั้นหายตัวไปเป็เวลาเจ็ดปี อีกฝ่ายใช้เวลาเจ็ดปีในการแก้แค้นหลี่อวิ๋นอี้ ด้วยนิสัยหยิ่งยโส รูปลักษณ์อันดับหนึ่ง ไม่ได้สังกัดสำนักใดในโลกมนุษย์ เวลาและรายละเอียดทั้งหมดถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างแสดงให้เห็นว่า ผู้ฝึกฝนธรรมดาที่อยู่บนระเบียงชมกวางผู้นั้นคือหลี่อวิ๋นหังอย่างนั้นหรือ?!
รอใครบางคน?
ไม่...เป็ไปได้มากว่า...กำลังตามหาใครบางคนอยู่
เขากำลังตามหาหลี่อวิ๋นเฉิน
ทันทีที่ฟื้นจากการสลบไสลก็ได้รับแจ้งว่าญาติสนิทเพียงคนเดียวเสียชีวิต ตลาดผีเป็สถานที่เดียวที่ผู้ฝึกฝนธรรมดาผู้หนึ่งจะเสาะหาเกี่ยวกับปรโลกได้ แม้ว่าไม่มีเศษเสี้ยวความหวัง แม้ว่าจะเป็เพียงงมเข็มในมหาสมุทร แม้ว่าอาจเป็เพียงการเสี่ยงโชคชะตา
ทันใดนั้นเจียงเฉิงเยว่รู้สึกบีบรัดในหัวใจ เขาก้มตัวลงราวกับว่ามีคมมีดหมุนวนอยู่ในกระเพาะ เขาเจ็บจนกรดในกระเพาะปั่นป่วนขึ้นมา
เพื่อความเป็ไปได้ที่จับต้องไม่ได้นี้แล้ว อีกฝ่ายรอคอยมาเนิ่นนานกี่ปีกัน?
หลี่อวิ๋นเฉิน
ทันใดนั้น คลื่นความร้อนราวกับเปลวเพลิงแผดเผาพลุ่งพล่านขึ้นในอก เขาไม่เคยอิจฉาใครมากเช่นนี้มาก่อน และไม่เคยถูกความอิจฉาริษยาแผดเผาจนราวกับจะเสียสติไปอย่างสมบูรณ์เช่นนี้
กรดในกระเพาะกำลังจะซึมไปทั่วร่าง
หลี่อวิ๋นหัง เสด็จพี่ของเ้าคู่ควรให้เ้าทำเช่นนี้จริงหรือ? เ้ารู้หรือไม่ว่า...สำหรับหลี่อวิ๋นเฉินแล้ว เ้าไม่ได้พิเศษอะไรเลย? เ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่อยู่กับเ้ามาตลอดสามปีที่เขาฉีหวนในคราแรกคือข้า?! คือข้าเอง! เป็ข้าเอง!
เจียงเฉิงเยว่กัดฟันแน่นก่อนค่อยๆ ค้ำเสาประตูแล้วลงไปนั่งบนพื้น เขาร้อนใจขึ้นมา ้าจะพุ่งไปตรงหน้าหลี่อวิ๋นหังแล้วบอกความจริงทั้งหมดว่าผู้ที่ใช้เคล็ดวิชาแผดเผาิญญาอย่างไม่เสียดายเพื่อปกป้องเ้าจากเื้ัคือข้า ผู้ที่สังเวยิญญาโดยไม่กลัวว่าิญญาจะแหลกสลายเพื่อช่วยเ้ากลับมาก็คือข้า ผู้ที่ดูแลเ้านั้นคือข้า ผู้ที่ปกป้องเ้าก็คือข้า...เ้าไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกับเสด็จพี่ของเ้าเลย!
เขา้ารู้จริงๆ ว่าหากหลี่อวิ๋นหังรู้เื่ทั้งหมดแล้ว...จะเผยท่าทีอย่างไร? จะตกตะลึงหรือไม่? จะโกรธเคืองมากเท่าไร? หรือเปลี่ยนจากอับอายเป็โกรธเคือง ้าสังหารเขาเสีย?
เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจแล้วยิ้มอย่างขมขื่น คนที่หลอกอีกฝ่ายก่อนก็คือเขา ตอนนี้เขาอยู่สถานะใดจะไปโทษอีกฝ่ายที่มอบความจริงใจให้ผิดคน? หากกล่าวถึงตรงนี้ เขาเป็คนผูกรังไหม[1] ด้วยตนเองไม่ใช่หรือไร?
นับว่าเป็กงกรรมกงเกวียนดังที่คาด เวรกรรมตามสนอง
.............................
หลังจากเจียงเฉิงเยว่พบอี้จื่ออีและคนอื่นๆ กลุ่มคนสำนักป้าเทียนได้ทำธุระที่ควรทำในตลาดผีที่เปิดในครั้งนี้จนเกือบหมดแล้ว ทุกคนออกจากตลาดผี เพื่อหลีกเลี่ยงศิษย์สำนักป้าเทียนล่วงรู้ อี้จื่ออีดึงเจียงเฉิงเยว่ไปด้านข้างเพื่อลอบกระซิบ “ฉิงชางจวิน เป็อย่างไรบ้าง?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า “เื่ราวสั่งการเรียบร้อย เมื่อตลาดผีเปิดในครั้งหน้าค่อยมาตรวจสอบและฟังผลอีกครั้ง”
อี้จื่ออีถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นก็ดี”
เจียงเฉิงเยว่ส่ายศีรษะ “อย่าตั้งความหวังมากเกินไป เ้าเด็กนั่นหายไปหลายสิบปีแล้ว เขาที่เป็าาผีหาก้าปิดบังที่อยู่จริง เกรงว่าผู้คนในปรโลกเองก็สืบหาอะไรไม่ได้ แค่ลองดูเท่านั้น”
อี้จื่ออีพยักหน้าครุ่นคิด เขาเงียบไปเป็เวลานานแล้วถึงเอ่ย “ไม่รู้ว่าเสวียนเหยาซ่างเซียนจะกลับมาเมื่อไร?”
เจียงเฉิงเยว่ส่ายศีรษะ “ธุระของ์ ย่อมไม่ใช่เื่เล็กอย่างแน่นอน”
ทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่งอีกครั้ง อี้จื่ออีถาม “ฉิงชางจวิน เช่นนั้น...ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดี?”
“อีกสามเดือนก่อนที่ตลาดผีจะเปิดในครั้งต่อไป...ข้าจะถือโอกาสนี้ส่งไป้เอ๋อร์กลับเสีย”
“ส่งกลับหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า “ชะตาหยินขั้นสูงสุดบนร่างเขามีผนึกิญญาของเสวียนเหยาซ่างเซียนเสริมความแข็งแกร่ง เท่ากับถูกทำลายลงแล้ว จึงไม่จำเป็ต้องอยู่ข้างกายข้าโดยไม่ห่างกันสักชุ่นอีกต่อไป ธุระที่ต้องทำครั้งต่อไป เกรงว่าหากพาเขาไปจะอันตรายเกินและไม่สะดวก”
อี้จื่ออีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “คือ...” เขามองไปที่เจียงเฉิงเยว่อย่างลังเลที่จะพูดเล็กน้อย
“ทำไมหรือ?”
“เป็เช่นนี้ฉิงชางจวิน เมื่อครู่ข้าได้รับหมายเรียกจากอาจารย์ เรียกข้ากลับไปอย่างเร่งด่วน ข้าต้องไปดูสักหน่อย...ท่านคิดเห็นอย่างไร?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ ไม่จำเป็ต้องถามข้าเกี่ยวกับเื่นี้”
อี้จื่ออีระบายยิ้ม “อืม...ข้าคิดว่าทางด้านของข้าคงใช้เวลาภายในสามเดือน เช่นนั้นเมื่อตลาดผีเปิดในครั้งต่อไปค่อยมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง”
เจียงเฉิงเยว่ตอบรับ “ตกลง”
ดังนั้น คนทั้งสองจึงแยกกันตรงนี้ เจียงเฉิงเยว่กลับไปที่สำนักป้าเทียนเพื่อพาไป้เอ๋อร์ที่ ‘ฝาก’ ไว้ที่นั่น ค่อยๆ เดินไปตามถนนเพื่อไปยังเขาฉู่อวิ๋น
ทั้งสองคนใช้เวลาหนึ่งเดือนครึ่งจึงกลับไปถึงเขาฉู่อวิ๋น
เขาฉู่อวิ๋นเป็เทือกเขาที่ติดกันเป็แนว ่หนึ่งของมันเว้าเข้าไปเป็วงกลม ซึ่งวงกลมนอกเป็แอ่งกระทะทรงกลมพอดี หมู่บ้านที่ครอบครัวของไป้เอ๋อร์ตั้งอยู่ภายใน หมู่บ้านนี้มีคนจำนวนน้อยเพียงไม่กี่สิบคน ล้วนเป็ผู้ที่หลบหนีมาซ่อนตัวเมื่อปลายราชวงศ์ซีเฉียนในปีนั้น ซึ่งล้อมรอบด้วยูเาสามด้าน ปกติแล้วมีเพียงทางเดียวที่สามารถออกไปติดต่อกับโลกภายนอก เมื่อตี้จวินกักขังเจียงเฉิงเยว่จึงวางผนึกไว้ในสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าการเปิดตาข่ายหนึ่งด้าน[2] นี้เป็สิ่งที่เจียงเฉิงเยว่เลือกเอง พลังิญญาของที่นี่ไหลไปตามเทือกเขา หากอยู่สถานที่นี้ก็ราวกับขุมสมบัติที่เปิดกว้าง นับเป็สถานที่ที่รวบรวมพลังิญญาเอาไว้ ซึ่งเป็ประโยชน์อย่างมากต่อการบ่มเพาะของผู้ฝึกฝนธรรมดา ไม่เช่นนั้นจะยากยิ่งสำหรับเขาที่้าฟื้นฟูิญญาของตนเองที่เสียหายจนเกือบจะเป็เพียงเศษเสี้ยวิญญาในเวลากว่าหนึ่งร้อยห้าสิบปี
เมื่อกลับไปถึงเขาฉู่อวิ๋น ไป้เอ๋อร์ที่แทบไม่เคยห่างจากบ้านและจากบ้านไปเกือบสามหรือสี่เดือนจึงรู้สึกตื่นเต้น เขาลากเจียงเฉิงเยว่กลับไปที่หมู่บ้าน ั้แ่ทางเข้าหมู่บ้านก็ทักทายพี่สะใภ้จาง ลุงเฉินและป้าหวังเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
ภายในหมู่บ้านเล็กๆ มีเพียงหลายสิบคน ความสัมพันธ์จึงแน่นแฟ้นเป็อย่างมาก เมื่อเห็นว่าเจียงเฉิงเยว่นำศิษย์น้อยกลับมาต่างก็ทยอยเดินเข้ามา ถามคำถามมากมายอย่างตื่นเต้นไม่หยุด เจียงเฉิงเยว่กับไป้เอ๋อร์ไม่ลืมที่จะนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ อย่างขนมชิ้นเล็ก ตุ๊กตาผ้า เชือกคาดผมดอกไม้จำพวกนี้ให้คนในหมู่บ้าน หลังแบ่งปันกันทีละคน บรรยากาศพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ทุกคนทักทายกันครู่หนึ่ง จากนั้นไป้เอ๋อร์ลากเจียงเฉิงเยว่ตรงไปที่ประตูบ้านของตนเอง เมื่อเปิดประตูและเข้าไปก็เห็นมารดากับน้องสาวต่างทำงานอยู่ในบ้าน เขารีบเรียกมารดาอย่างสะอึกสะอื้นแล้วโผเข้าไปในอ้อมแขนของนาง มารดากับน้องสาวของเขาลุกขึ้นมากอดเขาทั้งน้ำตาอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนทั้งสามร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งจึงนึกได้ว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย ต่างรู้สึกเขินอายในทันที
มารดาของไป้เอ๋อร์รีบพาเจียงเฉิงเยว่เข้าไปในบ้าน จัดโต๊ะรินชา ไป้เอ๋อร์หยิบของขวัญให้บิดามารดา พี่น้องของเขา ขณะเดียวกันก็เล่าเื่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ่เวลานี้อย่างตื่นเต้น แน่นอนว่าสิ่งที่พูดได้และไม่ได้ เจียงเฉิงเยว่ได้กำชับกับเขาแล้วก่อนที่จะกลับมา เด็กคนนี้มีไหวพริบทั้งยังเชื่อฟัง โดยพูดตอบกลับมาว่า “นี่ยังต้องให้ท่านอาจารย์กำชับอีกหรือ? ต่อให้พูดไป เล่าเื่ราวที่ลึกลับเ่าั้ออกมา แม่ของข้าและคนอื่นๆ คงได้แต่คิดว่าข้าโม้น่ะสิ”
เจียงเฉิงเยว่ระบายยิ้ม เด็กคนนี้ยินยอมกราบเจียงเฉิงเยว่เป็อาจารย์ก็นับว่าเป็นักพรตผู้หนึ่งแล้ว จึงมีความภาคภูมิใจในตนเอง
เมื่อได้ยินที่เจียงเฉิงเยว่บอกว่า ‘โรคร้าย’ บนตัวของไป้เอ๋อร์หายดีแล้ว มารดาของไป้เอ๋อร์ทั้งยินดีและซาบซึ้ง ้าที่จะโขกศีรษะให้เขาสองครั้ง ทำเอาเจียงเฉิงเยว่ได้แต่เอ่ยห้าม คนไม่กี่คนกำลังพูดคุยกันอย่างครึกครื้น บิดากับพี่ชายของไป้เอ๋อร์กลับมาจากการล่าสัตว์พอดี หลังได้ยินข่าวดีที่มารดาของไป้เอ๋อร์บอกจึงขอบคุณในความเมตตาครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อความวุ่นวายจบลง อารมณ์ของทุกคนสงบลงเล็กน้อย เจียงเฉิงเยว่ปฏิเสธอาหารที่บิดามารดาของไป้เอ๋อร์ทำไว้ให้ บอกเพียงว่ากำลังอดอาหาร จึงสามารถ ‘หลบหนี’ ออกจากบ้านได้ ขณะที่เขาทักทายคนที่คุ้นเคยในหมู่บ้านก็เอามือไพล่หลังเดินช้าๆ ไปตามเส้นทางเล็กของหมู่บ้านเพียงลำพัง ใช้ประโยชน์จาก่เวลากลางคืนเพื่อเดินไปอารามเต๋าของตนเอง ค่อยๆ ทิ้งสุ้มเสียงของคนในหมู่บ้านไว้เื้ั
------------------------
[1] ผูกรังไหม เป็สำนวน หมายถึง หาเื่ให้ตัวเอง
[2] เปิดตาข่ายหนึ่งด้าน เป็สำนวน หมายถึง หาทางรอด
