“ใช่แล้วขอรับ ตามคำสั่งของนายท่าน ต้องคุ้มกันเสี่ยวโหวเหฺยอย่างลับๆ ขอรับ” อั้นจินตอบ
“เริ่มั้แ่เมื่อใดกัน?” คุ้มกันอย่างลับๆ มาโดยตลอดเช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นทุกๆ การกระทำของตนคนผู้นั้นก็รับรู้ตลอดเวลาน่ะสิ
อั้นจินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงตอบตามความจริงว่า “ั้แ่ครั้งแรกที่เสี่ยวโหวเหฺยเข้ามาอยู่ข้างกายนายท่านขอรับ”
คำพูดของอั้นจินนั้นมีความคลุมเครือ ทว่าหลี่ลั่วกระจ่างแจ้งดี ครั้งแรกที่หลี่ลั่วใกล้ชิดกับกู้จวิ้นเฉินคือเมื่อกลับมาจากหมู่บ้านในเขตชานเมืองทางตอนเหนือ ตนไปจวนฉีอ่องเพื่อบอกกับกู้จวิ้นเฉินว่าเขามีวิธีถอนพิษให้เขาแล้ว
ถูกต้อง ฉีอ๋องกู้จวิ้นเฉินเป็บุคคลระดับใด หากไม่ใช่ว่าเขาได้ตรวจสอบตนอย่างแน่ชัดแล้วจะยอมให้ตนวนเวียนอยู่ข้างกายเขาได้อย่างไรกันเล่า
หลี่ลั่วถอยหลังหลายก้าว ยกชายหนุ่มผู้นั้นให้กับอั้นจินและอั้นมู่
มีอั้นจินกับอั้นมู่อยู่ ชายหนุ่มผู้นั้นกำลังจะถูกควบคุมตัวไว้แล้ว
“อุดปากของเขาเอาไว้” หลี่ลั่วสั่งการอีก เพื่อป้องกันไม่ให้ชายหนุ่มผู้นี้พูดจา ในใจของหลี่ลั่วนั้นกำลังคิดถึงคำพูดของเขาที่พูดถึงอ๋องแห่งแคว้นฉวี่หลงอะไรนั่น จะให้อีกฝ่ายพูดครั้งที่สองไม่ได้ แต่ส่วนตัวนั้นหลี่ลั่วเชื่อ เพราะงานวันเกิดของฝ่าาใกล้มาถึงแล้ว ทูตของแคว้นต่างๆ หลายแคว้นเริ่มเข้ามาสู่เมืองหลวงอย่างต่อเนื่อง แต่หลี่ลั่วไม่สามารถบอกกับผู้อื่นถึงความคิดของตนได้ ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้พวกเขามีความกล้ายิ่งใหญ่กว่าฟ้าก็ไม่กล้าลงมือกับองค์ชายแห่งแคว้นฉวี่หลงเป็แน่
“ท่านใต้เท้าจวนว่าการ นำตัวเขาไปที่ศาลจวนว่าการเสีย อุดปากของเขาไว้แล้วค่อยโบย โบยจนกระทั่งเขายอมรับผิดเป็อันสิ้นสุดการสอบสวน” หลี่ลั่วกล่าว
ใต้เท้าจวนว่าการเลิกคิ้ว มองหลี่ลั่วด้วยความตกตะลึง ให้อุดปากแล้วจะสอบสวนเช่นใดเล่า? เสี่ยวโหวเหฺยฉลาดหลักแหลม ไม่ควรจะผิดพลาดเลอะเลือนเช่นนี้จึงจะถูก
หลี่ลั่วประสานสายตากับใต้เท้าจวนว่าการ ทั้งสองต่างเข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ยวาจา ล้วนเข้าใจกระจ่างแจ้งในความหมายของหลี่ลั่ว เวลานี้ไม่มีความจำเป็ต้องให้อีกฝ่ายพูดอันใดออกมา ขอเพียงอีกฝ่ายอ้าปากไม่ได้ เขาย่อมยืนยันฐานะของตนไม่ได้ เช่นนั้นต้องตีให้จงหนักจึงจะดี
“ขอรับ” ใต้เท้าจวนว่าการจับกุมชายหนุ่มผู้นั้นจากไป
“นำตัวฉินเยวี่ยเหวินและถังลิ่งไปโบยคนละห้าไม้เช่นกัน” ทันใดนั้นก็มีเสียงเยียบเย็นลอยผ่านกลุ่มฝูงชนเข้ามา
ผู้ชมทั้งหมดต่างหลีกทางให้เป็ทางเดิน กู้จวิ้นเฉินเดินหน้าดำทะมึนเข้ามา
“ฉี...ฉีอ๋อง” ถังลิ่งสะดุ้งโหยง ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนคุกเข่าลงไป
ฉินเยวี่ยเหวินคุกเข่าตามไปด้วย “คารวะฉีอ๋อง”
“ฮึ” กู้จวิ้นเฉินเดินผ่านพวกเขาไปยังเบื้องหน้าของหลี่ลั่ว ดวงตาทั้งคู่กวาดมองหลี่ลั่วครั้งหนึ่ง เมื่อพบว่าเขาไม่เป็อันใดจึงได้กล่าวขึ้นอย่างเข้มงวดว่า “ฉินเยวี่ยหวิน ถังลิ่ง ทะเลาะวิวาทกันต่อหน้าธารกำนัลและก่อเื่ ทำให้การสัญจรไปมาบนถนนติดขัด ทำให้ประชาชนไม่สะดวกในการเดินทาง โบย”
“พ่ะย่ะค่ะ” ครั้งนี้ท่านใต้เท้าจวนว่าการรับคำสั่งรวดเร็วยิ่ง
“ท่านอ๋อง ครั้งนี้...” ฉินเยวี่ยเหวินคิดจะแก้ต่าง
“ทำไม? พวกเ้าทำเพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้นรึ?” กู้จวิ้นเฉินใช้สายตาคมปลาบมองฉินเยวี่ยเหวิน ฉินเยวี่ยเหวินหุบปากฉับลงทันที ที่เขาและถังลิ่งนั้นลงไม้ลงมือทะเลาะกันกลางถนนนั้นไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว แต่ตลอดมาฉีอ๋องไม่เคยมาสนใจ ครั้งนี้เขายื่นมือเข้ามาด้วยเหตุที่้าช่วยเหลือเจียงซูเอ๋อร์ ไฉนจึงกลายเป็ขัดหูขัดตาฉีอ๋องไปได้เล่า? ช่างซวยโดยแท้
กู้จวิ้นเฉินจับมือของหลี่ลั่ว “ต่อไปหากเจอคนขวางทางไม่ต้องใจดีเช่นนี้อีกเล่า”
ฉินเยวี่ยเหวินได้ยินแล้วก็แทบจะโมโหจนสิ้นสติ รู้สึกว่าที่ฉีอ๋องสั่งโบยเขาเพียงเพราะเขาไปขวางทางเด็กน้อยผู้นี้หรือ? เด็กน้อยผู้นี้เป็ใครกัน?
“อื้ม” หลี่ลั่วรับคำอย่างเชื่อฟัง ยามนี้ได้แต่จ้องมองความเท่ของกู้จวิ้นเฉิน
กู้จวิ้นเฉินมองไปที่เจียงซูเอ๋อร์
“ฝ่าา” เจียงซูเอ๋อร์นั้นไม่กล้าเรียกฉีอ๋องผู้เ็าว่าน้องชาย นางเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเด็กน้อยผู้นี้จึงขวัญกล้าถึงขนาดกล้ายิ้มและพูดจากับฉีอ๋อง
กู้จวิ้นเฉินพยักหน้า สายตาหยุดอยู่ที่มือของเจียงซูเอ๋อร์ที่กำลังกุมอยู่บนมือของหลี่ฉางเฉิงครู่หนึ่ง จากนั้นขมวดคิ้วน้อยๆ “เ้าไปส่งคุณหนูเจียงกลับจวนสกุลเจียงเสีย และบอกกล่าวเื่ราวที่เกิดขึ้นระหว่างทางให้เจียงฮูหยินรับรู้ด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่ฉางเฉิงรับบัญชา
“ไปเถิด” กู้จวิ้นเฉินจูงหลี่ลั่วไปยังรถม้าที่จอดอยู่หลังฝูงชน
หลังจากที่ขึ้นรถม้าแล้ว สีหน้าย่ำแย่ของกู้จวิ้นเฉินก็ไม่ดีขึ้น หลี่ลั่วไม่รู้ว่าเขากำลังโมโหอันใดอีก ชายหนุ่มคนหนึ่ง...หนุ่มน้อยคนหนึ่งไฉนจึงได้ใจคอคับแคบเช่นนี้ เขาดึงเสื้อผ้าของกู้จวิ้นเฉินเป็การงอนง้อกู้จวิ้นเฉิน
กู้จวิ้นเฉินดึงเสื้อผ้าของตนกลับแล้วหลับตาลงพักผ่อน ประกาศชัดๆ ว่าการไม่เห็นสิ่งใดในยามนี้จะดีที่สุด
อารมณ์ไม่ดี
เมื่อคิดได้ว่าขาของอีกฝ่ายนั้นค่อนข้างหนา หลี่ลั่วจึงได้แต่เป็ฝ่ายคลานเข้าไปในอ้อมกอดของอีกฝ่าย จากนั้นมือเล็กๆ ก็โอบรอบลำคอของกู้จวิ้นเฉิน “ท่านพี่ฉีอ๋อง” เขาเรียกเบาๆ
“อืม” กู้จวิ้นเฉินยังคงสงวนท่าทีดังเดิม
ในใจหลี่ลั่วยินดียิ่งนัก กู้จวิ้นเฉินไม่ได้ผลักเขาออกก็นับว่าไม่เลวแล้ว ดังนั้นจึงซุกเข้าไปในอ้อมกอดของเขา มองเขาด้วยสายตาไม่รู้เื่รู้ราว เห็นกู้จวิ้นเฉินยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ หลี่ลั่วจึงยื่นมือน้อยๆ ของตนออกไปบีบคางของกู้จวิ้นเฉิน
กู้จวิ้นเฉินลืมตาขึ้น สายตาที่มองหลี่ลั่วนั้นค่อนข้างเคร่งขรึม จากนั้นจับมือเล็กๆ ของเขาเอาไว้
“ท่านกำลังโมโหอยู่หรือ?” หลี่ลั่วถาม “แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านจึงโมโห”
“ข้าเปล่า” กู้จวิ้นเฉินตอบ
บนหน้าเขียนไว้ตัวเบ้อเริ่มว่า ‘ข้ากำลังโมโห’ แต่กลับไม่ยอมรับ หลี่ลั่วจนคำพูด “ท่านพี่ฉีอ๋อง ข้าทายใจไม่เป็ ต่อให้ทายถูกหนึ่งครั้งสองครั้งก็เป็เพียงแค่เื่บังเอิญเท่านั้น ดังนั้นหากท่านไม่บอกกับข้าว่าท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ข้าไฉนเลยจะรู้ได้เล่า? หากเป็ความผิดของข้า ท่านไม่บอกกับข้า ข้าจะแก้ไขได้อย่างไรเล่า?” แม้หลี่ลั่วจะรู้สึกว่าวันนี้เขาไม่ได้ทำความผิดอันใดก็ตาม หรือว่า? หลี่ลั่วคิดออกในทันใด “ท่านกำลังกังวลเกี่ยวกับข้าใช่หรือไม่?”
กังวลหรือ? กู้จวิ้นเฉินร้องฮึขึ้นเสียงหนึ่ง “ไม่ใช่” มีหลี่ฉางเฉิง อั้นจิน และอั้นมู่อยู่ เขาจะกังวลไปทำไมเล่า แต่... “จากจวนโหวไปจวนฉีอ๋อง นั่นไม่ใช่เส้นทางเพียงเส้นเดียว”
หลี่ลั่วกะพริบตาปริบๆ ดังนั้นแล้วจะทำไมเล่า?
กู้จวิ้นเฉินบีบมือของเขา “มืออวบแล้ว”
เ้าบ้า มือของเขาต่างหากที่อ้วน หลี่ลั่วดึงมือของตนกลับ คิดจะลงไปนั่งข้างๆ สิ่งที่ผู้ชายไม่ชอบที่สุดก็คือมีคนมาบอกว่าเขาอ้วนนั่นแหละ แต่มือทั้งคู่ของกู้จวิ้นเฉินกลับกักตัวเขาไว้ ไม่ให้เขาขยับไปไหน “อ้วนแล้วก็ดี ลูบแล้วสบาย”
“ฮึ” หลี่ลั่วแค่นเสียงเ็า พ่นลมออกจากจมูก เขาก็โกรธเป็นะ
เมื่อมาถึงจวนฉีอ๋อง หลี่ลั่วก็สะบัดมือของกู้จวิ้นเฉินออกแล้วเดินเข้าไปข้างในด้วยตนเอง
“เสี่ยวโหวเหฺย”
“คารวะเสี่ยวโหวเหฺย”
สาวใช้ที่อยู่ระหว่างทางต่างค่อยๆ หลบออกไป คารวะตามธรรมเนียมอย่างเคารพ หลี่ลั่วนั้นคุ้นเคยกับจวนฉีอ๋องยิ่งนัก จึงวิ่งไปทางเรือนหลัก จากนั้นหันกายเข้าไปในห้องโถงใหญ่ “รีบๆ ยกกับข้าวขึ้นเร็วเข้า ข้าหิวแล้ว”
กู้จวิ้นเฉินเดินตามเข้ามา “ไม่มีกับข้าวแล้ว เย็นแล้วจึงเททิ้ง” พร้อมกับพูดเสียงเย็นออกมาประโยคหนึ่ง
“อะไรนะ?” หลี่ลั่วงงเป็ไก่ตาแตก
กู้จวิ้นเฉินพิงปากประตู มือทั้งคู่กอดอก “ข้าคิดว่าสำหรับเสี่ยวโหวเหฺยแล้วนั้นการดูละครฉากเล็กๆ บนถนนคงจะสำคัญกว่าการมาจวนฉีอ๋อง คิดว่าเสี่ยวโหวเหฺยดูอย่างเพลิดเพลิน ไฉนเลยยังจะมีเวลาคิดถึงเื่กินได้อีก”
หลี่ลั่วกระจ่างแจ้งโดยพลัน ที่แท้เขาโมโหสิ่งนี้นี่เอง ช่างขี้ใจน้อยอะไรเช่นนี้ “ละครบนท้องถนนจะมีความสำคัญกว่าท่านพี่อ๋องฉีได้อย่างไร ข้าเพียงแต่ได้ยินว่าหญิงสาวที่ถูกล่วงเกินนั้นเป็พี่สาวของท่านพี่ ก็นับว่าเป็พี่สาวของข้าด้วย จึงให้ฉางเฉิงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ จึงเสียเวลาไปพักหนึ่ง” จากนั้นเขาก็หันไปยิ้มให้กับกู้จวิ้นเฉิน “ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าท่านพี่อีกแล้ว”
ช่างน่ารัก...เหมือนเต่า
หึงหวงด้วยเื่เช่นนี้เนี่ยนะ
กู้จวิ้นเฉินไม่ลืมตา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตวัดสายตามาเห็นว่าหลี่ลั่วยังคงยิ้มให้เขา จึงโกรธขึ้งขึ้นมา “เ้าคันก้นขึ้นมาอีกแล้วใช่หรือไม่?”
มีการข่มขู่คนเช่นนี้ด้วยหรือไร?
“ข้าเพียงแต่หิวแล้ว รอให้ท่านพี่เลี้ยง” หลี่ลั่วพูดอย่างน่าสงสาร
กู้จวิ้นเฉินจึงเดินมาข้างโต๊ะอาหาร อุ้มเขานั่งลงบนเก้าอี้ บ่าวรับใช้เห็นเช่นนี้จึงรีบยกอ่างน้ำเข้ามา กู้จวิ้นเฉินม้วนแขนเสื้อให้หลี่ลั่ว ช่วยเขาล้างมือด้วยตนเอง ั้แ่ฝ่ามือ หลังมือ และง่ามนิ้วล้วนล้างจนสะอาดสะอ้าน หลี่ลั่วมองเขาเงียบๆ นาทีนี้เขารู้สึกว่าการอยู่อย่างเงียบๆ เช่นนี้ก็ดีไม่น้อย
เขายังเล็ก กู้จวิ้นเฉินก็ยังเล็ก โลกของพวกเขาต่างเป็อีกฝ่าย
กระบอกตาของหลี่ลั่วพลันแดงก่ำขึ้นมา น้ำตาหยดลงดังแหมะๆ ร่วงหล่นลงบนมือของกู้จวิ้นเฉิน กู้จวิ้นเฉินใรีบใช้ฝ่ามือรองรับหยดน้ำตาของเขา “เป็อันใดไปเล่า?” เขาเห็นดวงตาทั้งคู่ของเด็กน้อยเริ่มแดงก่ำแล้ว
หลี่ลั่วส่ายหน้า “ข้าเพียงแต่...เพียงแต่ปรารถนาให้ยามนี้เวลาหยุดลงที่นี่” เขาเพียงแต่คิดไม่ถึงว่ามาถึงโลกใบนี้จะได้พบหนุ่มน้อยผู้นี้ เขาดีต่อตนมากเช่นนี้ ราวกับว่าตนเป็สิ่งของล้ำค่าในฝ่ามือของเขา
“คนโง่” กู้จวิ้นเฉินเชยหน้าของเขาขึ้นเช็ดน้ำตาให้เขา “ข้าเคยพูดไว้ว่า ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ เ้าก็จะมีชีวิตเช่นนี้ตลอดไป” ตลอดไป...ใช้ชีวิตอย่างที่้า ทำในเื่ที่อยากจะทำ
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านเสียใจภายหลัง” หลี่ลั่วกล่าวต่อ แม้จะสูญเสียการควบคุมตัวเองไปเล็กน้อย “ไม่ทำให้ท่านผิดหวังที่เลือกข้า”
ใจของกู้จวิ้นเฉินสั่นะเื ทว่าเขากลับยกมุมปากโค้งขึ้น ราวกับกำลังยิ้ม “เป็ฝ่าาที่พระราชทานสมรสให้ต่างหากเล่า”
หลี่ลั่วโต้กลับอย่างอวดดี “หากท่านพี่ฉีอ๋องคิดจะปฏิเสธ ฝ่าาก็คงไม่ฝืนใจท่านหรอก”
กู้จวิ้นเฉินมองเด็กน้อยที่ทั้งร้องไห้ทั้งยิ้มในเวลาเดียวกันแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “อาจจะเป็เช่นนี้ก็ได้”
พ่อครัวคนใหม่ที่จวนฉีอ๋องจ้างมานั้นแตกต่างจากเมื่อก่อน ครั้งนี้อาหารที่พ่อครัวทำนั้นรสชาติค่อนข้างจืด หลี่ลั่วชอบกินอาหารรสชาติจืด ยกตัวอย่างเช่นหากเป็อาหารรสชาติจืดเขาจะกินมากหน่อย หากมีรสชาติเข้มข้น เขาก็จะกินน้อยลงหลายคำ โดยเฉพาะกับข้าวที่ทำจากเนื้อไก่จานหนึ่ง เนื้อไก่หั่นเป็สี่เหลี่ยมทรงลูกบาศก์ ชิ้นเล็กๆ ต้มจนนิ่ม สำหรับเด็กน้อยอย่างหลี่ลั่วซึ่งยังเป็ฟันน้ำนมแล้วนั้นช่างดียิ่ง
พ่อครัวก่อนหน้านี้ทำกับข้าวที่หลี่ลั่วชมชอบ แต่กับข้าวบางอย่างไม่ได้คำนึงถึงเื่ฟันของหลี่ลั่ว วันนี้พ่อครัวที่กู้จวิ้นเฉินจ้างมานั้นเฟ้นหามาเพื่อหลี่ลั่วโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับความโปรดปรานของโหวเหฺยท่านนี้เสียหน่อย
หลี่ลั่วกำลังค่อยๆ เคี้ยวเนื้อให้ละเอียดแล้วก็กลืน จากนั้น...เขาก็นิ่งอึ้งไปเลย น้ำตาเอ่อล้นดวงตา ตะเกียบในมือตกลงบนโต๊ะ เขารีบยกมือขึ้นปิดปากของตน จากนั้นคายสิ่งของที่อยู่ในปากออกมา
“เป็อันใดไปเล่า?” กู้จวิ้นเฉินถูกทำให้ใเสียแล้ว อยู่ดีๆ ไฉนร้องไห้อีกแล้ว
ไม่ใช่หลี่ลั่วอยากร้องไห้ แต่เดิมทีการรับแรงกดดันของเด็กน้อยนั้นอ่อนแออยู่แล้วเมื่อเจ็บตัว น้ำตาจึงไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาปิดปากของตน นิ้วมือชี้สิ่งที่คายออกมา
กู้จวิ้นเฉินขมวดคิ้วมองด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ ปรากกฎว่าบนเนื้อที่เคี้ยวละเอียดนั้น มองเห็นฟันขาวสะอาดซี่หนึ่ง ฉีอ๋อง...ทึมทื่อไปเสียแล้ว นี่...ฟันหลุดหรอกหรือ? หลี่ลั่วรักและถนอมฟันของเขายิ่ง ทุกวันบ้วนปากทำความสะอาดฟันอย่างประณีต ฟันร่วงมาแล้วหนึ่งซี่ เขาย่อมปวดใจแทบตาย
“เจ็บหรือไม่? ให้เมิ่งเต๋อหลางดูให้เ้าสักหน่อย” กู้จวิ้นเฉินตื่นเต้นทันใด “ไปนอนบนเตียง” พูดแล้วเขาก็อุ้มหลี่ลั่วขึ้นมา
หลี่ลั่วผลักเขาออก “แค่ฟันหลุดเท่านั้น เจ็บนิดหน่อยเอง” โดยปกติคนจะเริ่มผลัดเปลี่ยนฟันน้ำนมใน่อายุหกขวบ ถึงแม้ว่าขาดอีกสามเดือนจึงจะหกขวบ แต่การที่ฟันน้ำนมหลุดเร็วขึ้นทำให้หลี่ลั่วรู้ว่าตนจะเจริญเติบโตเร็วขึ้นเช่นกัน นั่นก็คือ การเจริญเติบโตเร็วขึ้นทำให้เขาสามารถสูงขึ้นได้อีก
แน่นอนว่านี่ไม่มีหลักฐาน เป็ความคิดของหลี่ลั่วเอง
“ไปเตรียมน้ำแข็งมาประคบ” กู้จวิ้นเฉินรีบสั่งการบ่าวรับใช้
“ไม่ต้องขอรับ” หลี่ลั่วหยิบตะเกียบคีบฟันซี่นั้น “ธรรมเนียมบ้านเกิดของพวกเรา ฟันที่หลุดออกมาต้องเก็บไว้ให้ดี ต่อไปฟันจึงจะขึ้นอย่างเป็ระเบียบ” คุณปู่ในยุคสมัยปัจจุบันของหลี่ลั่วให้ความสำคัญกับประเพณีชาวบ้านเป็พิเศษ อย่างเช่น ฟันบนหลุดต้องโยนฟันขึ้นไปบนหลังคาบ้าน ฟันล่างหลุดต้องโยนเข้าไปใต้เตียง
เมื่อตอนที่หลี่ลั่วผลัดฟันนั้นรูปร่างยังเล็ก บ้านของครอบครัวพวกเขามีสี่ชั้น ด้วยร่างกายของเขาต่อให้ไปถึงชั้นสามก็ยังโยนไปไม่ถึงหลังคาบ้านอยู่ดี แต่ฟันนี้ต้องเป็คนที่ใกล้ชิดเป็ผู้โยนจึงจะดี พ่อของเขารังเกียจว่าสกปรกไม่ยอมช่วย แม่ของเขาไปร่วมงานแฟชั่น ท้ายที่สุดแล้วฟันซี่นี้เป็คุณปู่ของเขาเป็คนโยน คุณปู่ไปถึงชั้นสามตรงระเบียงห้องของหลี่ลั่วเพื่อโยนฟันซี่นั้น
ครั้งแรกโยนไม่สำเร็จ ตกลงมาบนพื้น ฟันซี่เล็กเกินไปจึงหาไม่เจอ พ่อของเขาบอกว่าช่างเถอะ ยามนั้นเขากลัวว่าฟันของตนจะขึ้นมาอย่างบิดๆ เบี้ยวๆ จึงร้องไห้อยู่นานมาก ต่อมายังคงเป็ปู่ของเขาที่หาฟันซี่นั้นจนเจอ
ความทรงจำคลุมเครือแสนไกล ยามนี้คิดขึ้นมา กลับรู้สึกว่าชัดเจนยิ่งนัก
แววตาของกู้จวิ้นเฉินเป็ประกายครู่หนึ่ง “วางไว้ให้ดี? วางไว้ที่ใดเล่า?” เขาครุ่นคิด ฟันของเ้าสารเลวตัวน้อยวางไว้ที่เขาดูจะปลอดภัยที่สุด แต่วางฟันไว้ในห้องนอนอย่างไรก็รู้สึกแปลกๆ การเสียสละของเขานี้ยิ่งใหญ่เกินไป
“ฟันบนหลุดต้องโยนขึ้นหลังคาบ้าน ฟันล่างหลุดต้องโยนเข้าใต้เตียง ฟันของข้าเป็ฟันบนขอรับ” หลี่ลั่วกล่าว จากนั้นใช้ตะเกียบคีบฟันซี่นั้นยื่นให้กู้จวิ้นเฉิน “ข้าโยนไม่ถึงหลังคาบ้าน มีเพียงญาติใกล้ชิดเท่านั้นที่จะช่วยได้”
กู้จวิ้นเฉินมองฟันซี่นั้นด้วยความรู้สึกพะอืดพะอม คิ้วของเขาขมวดแน่น ด้านหนึ่งก็เพราะคำพูดของหลี่ลั่วประโยคที่ว่า ญาติใกล้ชิด อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าฟันนั้นเปื้อนเนื้อ สกปรกเกินไปจริงๆ
อย่าว่าแต่กู้จวิ้นเฉินเลยที่คิดว่าสกปรก แม้แต่หลี่ลั่วเองก็ยังรู้สึกว่าสกปรก
“พวกเ้า” กู้จวิ้นเฉินออกเสียงทันใด
“เพคะฝ่าา” สาวใช้ก้าวเข้ามา
“นำฟันของเสี่ยวโหวเหฺยไปล้างทำความสะอาด ใช้น้ำมันหอมที่ฝ่าาประทานมาล้าง ยิ่งสะอาดยิ่งดี”
“เพคะ”
ใช้น้ำมันหอมล้าง แถมยังเป็น้ำมันหอมที่เป็เครื่องบรรณาการอีก หลี่ลั่วจนคำพูด เขารู้สึกว่าฟันของตนซี่นี้ น่าจะเป็ฟันที่มีค่าที่สุดในใต้หล้า แต่เมื่อพูดถึงน้ำมันหอม หลี่ลั่วกลับคิดถึงอย่างอื่น
สาวใช้ล้างฟันน้ำนมเสร็จ ใช้ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมห่อแล้วส่งกลับมายังเบื้องหน้ากู้จวิ้นเฉิน หลี่ลั่วรู้สึกว่าฟันซี่นั้นของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหอม กลายเป็ของสะสมไปแล้ว ช่าง...พูดเช่นใดดี เขารู้สึกเขิน
กู้จวิ้นเฉินรับผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมมา ดวงตาทั้งคู่จ้องฟันน้ำนมซี่นั้น ที่จริงฟันน้ำนมที่ล้างสะอาดแล้วน่าดูยิ่ง เล็กๆ ขาวๆ...กู้จวิ้นเฉินขมวดคิ้ว แย่แล้ว ไฉนเขาจึงรู้สึกว่าฟันน้ำนมซี่นี้ยิ่งดูยิ่งงดงามเสียแล้ว จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น “ไป ไปโยนฟันกัน” เพียงแต่ว่าเขาใช้ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมห่อฟันเอาไว้แน่น กู้จวิ้นเฉินคิดว่าจะโยนทั้งผ้าเช็ดหน้าขึ้นไปบนหลังคา
โยนไปบนหลังคาอันไหนเล่า? กู้จวิ้นเฉินเลือกหลังคาห้องนอนของตน ฟันน้ำนมซี่หนึ่งและผ้าเช็ดหน้าผ้าแพรที่จริงแล้วไม่มีน้ำหนักอันใดสักเท่าใด กู้จวิ้นเฉินใช้กำลังภายในจึงโยนออกไปได้ “เรียบร้อยแล้ว ให้พ่อครัวต้มน้ำแกงให้เ้าดื่ม”
“อื้ม ขอบคุณท่านพี่ฉีอ๋องขอรับ” หลี่ลั่วจับมือกูจวิ้นเฉินอย่างดีใจ เมื่อกลับมาที่ห้องอาหารอีกครั้ง อาหารที่พวกเขากินเมื่อสักครู่ก็ถูกเก็บไปแล้ว บนโต๊ะเก็บกวาดเรียบร้อย เปลี่ยนเป็กับข้าวใหม่
กินอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว กู้จวิ้นเฉินไม่มีความเคยชินในการนอนยามบ่าย ทว่าหลี่ลั่วมี ดังนั้นทั้งสองจึงไปยังห้องหนังสือ หลี่ลั่วพักผ่อนอยู่ที่นั่น ส่วนกู้จวิ้นเฉินอ่านหนังสือตำราพิชัยาที่หลี่ลั่วไม่ชอบอยู่ในห้องนั้นเช่นกัน
“ท่านพี่ฉีอ๋อง เดือนหน้าวันเกิดฝ่าา ท่านเตรียมสิ่งใดเป็ของขวัญให้หรือขอรับ” หลี่ลั่วถามอย่างสงสัย
กู้จวิ้นเฉินตวัดสายตามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นย่อกายลง ขยับหยกพกข้างเอวเขาให้ตรง จากนั้นยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า “เ้าเล่า?”
ปากเล็กๆ ของหลี่ลั่วเชิดขึ้นอย่างถือดี “ไม่บอกท่าน ถึงเวลาท่านก็จะรู้เองขอรับ”
กู้จวิ้นเฉินเลิกคิ้ว “เช่นนั้นเ้าถามข้าเพื่ออันใด?”
ให้ตายสิ แบบนี้ก็มีด้วย หลี่ลั่วถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง “ท่านนี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย” หลี่ลั่วเอนกายลงบนเก้าอี้โยกที่เป็ของตนโดยเฉพาะแล้วห่มผ้าห่ม เริ่มเข้านอนกลางวัน
กู้จวิ้นเฉินไม่ได้อ่านตำราพิชัยาอย่างมีสมาธิเท่าใดนัก เงยหน้าขึ้นมองหลี่ลั่วเป็พักๆ แล้วค่อยหลุบตาลงอ่านหนังสือ ในห้องหนังสือที่เงียบสงบนอกจากเสียงพลิกหนังสือของกู้จวิ้นเฉินแล้ว ยังมีเสียงหายใจเบาๆ ของหลี่ลั่ว กู้จวิ้นเฉินทนไม่ไหวแล้ว เขาวางหนังสือลงแล้วเดินไปเบื้องหน้าหลี่ลั่ว จากนั้นอุ้มหลี่ลั่วขึ้นจากเก้าอี้โยก
“อืม” หลี่ลั่วครางเสียงต่ำ กายเอนพิงเข้ามาในอ้อมกอดของกู้จวิ้นเฉิน ปากขยับครั้งหนึ่ง แต่ไม่ตื่น
กู้จวิ้นเฉินวางเขาไว้ข้างกาย ให้ศีรษะของเขาหนุนขาของตน หลังจากเห็นว่าจัดท่าเข้าที่ดีแล้วจึงอ่านหนังสือต่อ เมื่อหลี่ลั่วตื่นขึ้นพบว่าตำแหน่งที่อยู่ของตนเปลี่ยนไป เขาก็มองกู้จวิ้นเฉิน กู้จวิ้นเฉินมองกลับมาด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ราวกับไม่รู้เื่รู้ราวใดๆ ทั้งสิ้น
“ท่านพี่ฉีอ๋อง ข้าละเมออีกแล้วหรือไร?” หลี่ลั่วถาม
มุมปากของกู้จวิ้นเฉินขยับเล็กน้อย จากนั้นพูดขึ้นเรียบๆ “อืม”
อืมมารดาท่านน่ะสิ หลี่ลั่วรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างหน้าไม่อายนัก “ขอบคุณท่านพี่ฉีอ๋องขอรับ ยังดีที่ข้าไม่ได้ละเมอะโลงไปจากหน้าต่าง ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องตกลงมาตายแล้ว”
สีหน้าของกู้จวิ้นเฉินเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ราวกับดำทะมึนลง “มีข้าอยู่ ไม่ให้เ้าตกลงไปได้หรอก”
“ข้าช่างโชคดีจริงๆ ขอรับ” หลี่ลั่วถอนใจ “เมื่ออยู่จวนโหวไม่มีท่านพี่ฉีอ๋องอยู่ข้างกายกลับไม่เคยละเมอ ท่านพี่ฉีอ๋อง ท่านว่า โชคดีเกินไปใช่หรือไม่?”
“...ใช่” กู้จวิ้นเฉินกัดฟันตอบคำนี้
หลี่ลั่วยิ้มตายิบหยี ชอบดูท่าทางความรู้สึกช้าเช่นนี้ของเขา
กู้จวิ้นเฉินหรี่ตาลง สายตามองไปที่ก้นน้อยๆ ของเขา อยากจะตียิ่งนัก ทำเช่นใดดี?
หลี่ลั่วนั้นอ่อนไหวกับก้นของตนยิ่งนัก กู้จวิ้นเฉินเหลือบตามองวูบหนึ่ง ก้นของเขาก็เกร็งขึ้นมาทันที “ท่านพี่ฉีอ๋อง ข้าควรกลับจวนโหวแล้ว”
“อืม ไม่ส่ง” อดกลั้นไว้ วันนี้ยอมปล่อยก้นของเขาไปก่อน ครั้งหน้าหากยังไม่รู้จักแยกแยะผู้ใหญ่หรือเด็กอีก เขาจะตีให้จงหนัก
“ลาก่อนขอรับ” หลี่ลั่วสวมรองเท้าแล้วเดินออกมา ความเร็วที่พุ่งออกไปนั้นราวกับลูกะเิลูกน้อยๆ
กู้จวิ้นเฉินบอกแล้วว่าไม่ส่ง แต่ก็ยังคงเดินมาที่ข้างหน้าต่าง มองดูเ้าสารเลวตัวน้อยะโโลดเต้นออกไป ข้างหลังมีหลี่ฉางเฉิงและองครักษ์อีกสี่นายติดตามไปด้วย สายตาของกู้จวิ้นเฉินพลันอ่อนโยน มุมปากยกขึ้น กระทั่งเงาของหลี่ลั่วลับหายไปต่อหน้าต่อตา กู้จวิ้นเฉินจึงวางหนังสือลง เดินออกไปห้องหนังสือ เขาเดินมาถึงหน้าห้องนอนของตนแล้วพลิกกายะโขึ้นไป พริบตาเดียวก็มองเห็นผ้าไหมผืนนั้น จากนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นขึ้นมา และะโลงจากหลังคา
องครักษ์ลับที่อยู่ในเงามืดแกล้งทำเป็ไม่เห็นเ้านายของตนที่อยู่ในอาการตกหลุมรัก
กู้จวิ้นเฉินรู้สึกว่าให้โยนขึ้นหลังคาบ้านแล้วจะทำให้ฟันขึ้นเป็นระเบียบอันใดกัน ล้วนโกหกคนทั้งเพ งมงาย ฟันน้ำนมซี่แรกของเ้าสารเลวตัวน้อยเก็บไว้ให้ดีจึงจะดี หากเ้าสารเลวตัวน้อยเติบโตขึ้นมาแล้วรู้เื่นี้เข้า ต้องขอบคุณตนจึงจะถูก ช่างเป็สิ่งที่เต็มไปด้วยความทรงจำ
และเป็บทพิสูจน์ว่าเด็กน้อยได้เติบโตแล้ว สะสมสิ่งของในสมัยเด็กของเขา ก็ถือว่าเป็เกียรติอย่างหนึ่ง
หากหลี่ลั่วจะรู้สึกขอบคุณเขาขึ้นมาจริงๆ ถึงยามนั้นก็คงจะร่วมสกุลกับเขาแล้ว
ณ สำนักการทูต
ในงานเลี้ยงฉลองพระราชสมภพของจ้าวหนิงฮ่องเต้ บรรดาทูตจากแคว้นต่างๆ ล้วนเข้ามาพักในสำนักงานการทูต
แคว้นฉวี่หลงเป็แคว้นเล็กๆ ที่มีนักรบผู้กล้าและถนัดการรบ เป็เพื่อนบ้านกับแคว้นจีน แต่ตำแหน่งที่ตั้งของแคว้นนี้ไม่ดี แคว้นของพวกเขาปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ ได้อย่างยากลำบาก ดังนั้นจึงมีพืชพันธุ์ทางการเกษตรหลายรายการที่ต้องมาซื้อจากแคว้นจีน แคว้นของพวกเขานั้นยากจนยิ่งนัก การเป็อยู่ของเขานั้นหนีไม่พ้นที่จะต้องอาศัยแคว้นจีน
หากแคว้นฉวี่หลงสามารถปลูกพืชผลได้เองแล้วละก็ พฤติกรรมเลวร้ายของพวกเขาในวันนี้คงจะหยิ่งผยองกว่านี้อีกเป็แน่
“เพียะ...” ทูตแห่งแคว้นฉวี่หลงอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงของฝ่ามือดังก้องขึ้น
ปัง...รูปร่างใหญ่โตเช่นองค์ชายฉวี่หลงถูกตีจนชนเข้ากับโต๊ะตัวหนึ่ง โต๊ะล้มลงกับพื้น บนพื้นเต็มไปด้วยเศษถ้วยชาที่แตกกระจาย น้ำชากระเด็นถูกกางเกงขององค์ชายฉวี่หลง เขาถลึงตามองหญิงสาวที่ตบตีเขาด้วยความโกรธ “ท่านพี่ นี่ท่านกำลังทำอันใดน่ะ?”
แคว้นฉวี่หลงนั้นไม่เหมือนกับแคว้นทั่วไป แคว้นของพวกไม่มีธรรมเนียมชายสูงส่งหญิงต่ำต้อย มีเพียงชนชั้นสูงและชาวบ้าน เพราะเป็แคว้นยากจน ชนชั้นสูงมีเงินทองสามารถซื้ออาหารสิ่งของได้ ชาวบ้านไม่มี และชาวบ้านมักจะถูกย่ำยีเสมอเพื่อให้มีข้าวกินหนึ่งมื้อ ดังนั้นความแตกต่างระหว่างชนชั้นสูงและชาวบ้านนั้นจึงสูงมาก
และอาจเป็ด้วยเหตุนี้แคว้นของพวกเขาจึงยากจนเสียจนไม่มีใครคิดถึงความแตกต่างระหว่างชายหนุ่มสูงศักดิ์หญิงสาวต่ำต้อย อีกอย่างหนึ่งก็คือแคว้นฉวี่หลงอนุญาตให้มีกษัตริย์เป็หญิงได้ พวกเขาไม่มีความคิดว่าต้องเป็บุตรชายมาสืบทอดตำแหน่งพระาา ขอเพียงมีความสามารถ จะเป็ลูกสาวก็ได้ หญิงสาวสามารถสู่ขอชายหนุ่มได้ เมื่อมีลูกให้ใช้สกุลเดียวกับมารดา
ในรัชสมัยนี้ท่านอ๋องของแคว้นฉวี่หลงก็คือผู้หญิง
องค์หญิงฉวี่หลงนั้นรูปโฉมงดงามยิ่งนัก แต่ความงดงามของนางไม่ได้เป็ความงดงามแบบสูงส่งจนเอื้อมไม่ถึง แต่เป็ความงดงามที่มีกลิ่นอายสูงศักดิ์ขององค์หญิง ทว่าก็มีความเป็กันเอง สายตาอ่อนโยน นี่เป็สิ่งที่มองเห็นจากรูปลักษณ์ภายนอกของคนผู้หนึ่ง มีความย้อนแยงในคนคนเดียวกัน รูปโฉมงดงามทำให้ผู้คนรู้สึกว่าสูงส่งยิ่งนัก แต่องค์หญิงฉวี่หลงกลับทำให้คนเกิดความรู้สึกที่ดีต่อนาง เสมือนน้ำชาที่มีรสชาติและกลิ่นััที่เข้มข้น แต่เมื่อดื่มลงไปนั้นรสชาติกลับอ่อนจาง ความย้อนแย้งระดับสูงสุดนี้เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว ช่างดึงดูดผู้คนยิ่งนัก
ยามนี้พฤติกรรมของนางก็เป็อารมณ์อีกลักษณะหนึ่ง สายตานางเด็ดขาดและยืนกรานหนักแน่น นางมององค์ชายฉวี่หลงด้วยความโกรธขึ้ง “เ้าเวรตะไล นี่เ้าไม่รู้หรือไรว่าที่นี่คือแคว้นจีน?”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า?” ท่านอ๋องฉวี่หลงพูดเสียงเย็น “พวกเราเป็ชนชั้นสูงของแคว้นฉวี่หลง เป็เชื้อพระวงศ์ ชาวบ้านของแคว้นจีนต้องเคารพพวกเรา
“หุบปาก” องค์หญิงฉวี่หลงกล่าวเตือน “อยู่ในแคว้นจีน ที่พวกเขาเคารพมิใช่พวกเรา เป็ฮ่องเต้ของพวกเขา ฮ่องเต้แห่งแคว้นจีน”
“ท่านพี่ ถึงอย่างไรท่านก็เป็องค์หญิงนะขอรับ” องค์ชายฉวี่หลงกล่าว
“พวกเรามาแคว้นจีนก็เพื่อขอความช่วยเหลือ เ้าดูทหารชายแดนของแคว้นจีนเสีย ดูเมืองหลวงที่หรูหราของพวกเขา ดูชาวบ้านของพวกเขาที่มีชีวิตสุขสบาย แคว้นฉวี่หลงของพวกเราสามารถมีพื้นที่กว้างเช่นนี้ มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้หรือไม่?” องค์หญิงฉวี่หลงถาม