“อืม” ดวงตาที่หลุบต่ำเผยความระอาชั่วแวบหนึ่ง สำหรับท่าทีของหลิวเสี่ยวหลัน เขารู้สึกขยะแขยงมาตลอด โชคดีที่เขาช่างสังเกต แล้วสั่งให้องครักษ์ไปสืบเื่ราวข้อเท็จจริง
เพียงแต่ด้วยเหตุผลบางประการ เขาไม่อยากดึงให้หลิวเต้าเซียงให้มาข้องเกี่ยว
“ข้านั้นจู้จี้อยู่ในบ้านของท่านใน่ที่ผ่านมา บวกกับบุญคุณที่ช่วยชีวิต เพียงแต่ครั้งนี้ต้องจากไปกะทันหัน เกรงว่าคงทดแทนไม่หมด ขอท่านลุงกับท่านป้าอย่าได้ถือสา” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นิ้วมือเรียวยาวที่ขาวผุดผ่องก็เคาะจังหวะอยู่ตรงโต๊ะ เหมือนกำลังบอกกับทุกคนว่า เขายังพูดไม่จบ
หลิวฉีซื่อเข้าใจได้เป็อย่างดี นางไม่พูดจา คนอื่นย่อมไม่ส่งเสียงใดๆ เพียงแต่ดวงตาของหลิวซุนซื่อนั้นกลอกไปมาอย่างอยู่ไม่สุข ไม่รู้ว่ากำลังคิดวางแผนอะไร ส่วนใบหน้าของหลิวจูเอ๋อร์เองก็เหมือนกำลังดูละคร ส่วนหลิวซานกุ้ยนั้นทำตัวประหนึ่งเสาในบ้าน
เป็ที่ชัดเจนว่าทั้งสามบ้านไม่ได้มีสิทธิ์ในการร่วมสนทนาเื่นี้ ส่วนนี่คือสิ่งที่หลิวฉีซื่อกับหลิวเสี่ยวหลัน้าที่สุด ขอเพียงหลิวจูเอ๋อร์กับหลิวชิวเซียง และหลิวเต้าเซียงไม่ไปให้ท่าซูจื่อเยี่ย หลิวเสี่ยวหลันก็มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าตนเองนั้นสามารถดึงดูดใจซูจื่อเยี่ยได้แน่
แต่นางไม่รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ลูกไม้อ่อนหัดของนางแค่นี้อยู่ในสายตาของซูจื่อเยี่ยหมด แต่ก็ปล่อยให้นางทำไป เขาดูแคลนนางที่เป็แบบนี้ การจะถกเื่ไปเป็สาวใช้ทงฝาง [1] หรือภรรยาน้อยคงไม่ต้องเอ่ยถึง
“โธ่ คุณชายพูดเช่นนั้นไม่ได้ บ้านเราได้ต้อนรับคุณชายน้อย นับว่าเป็บุญแต่ชาติปางก่อน” หลิวฉีซื่อผู้เคยรับใช้ปรนนิบัตินายท่านสูงศักดิ์มาก่อน คำพูดคำจาจึงยกยอปอปั้นอย่างไหลลื่น
ซูจื่อเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาของเขาไม่แยแส
“ขอบใจยิ่งนัก ข้าไม่มีทางทำให้พวกเ้าเหนื่อยเปล่า ต่อจากนี้หากข้ามีเวลาว่าง จะมาเยี่ยมเยียนอีก” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาชะงักเล็กน้อย และเอ่ยอย่างไม่จงใจ “แม่ครัวน้อยผู้นั้นอยู่ต่อก่อน”
คำพูดของเขาน่าแปลก คนในห้องฟังแล้วก็รู้สึกแปลก แน่นอนว่ามีหลิวฉีซื่อกับหลิวเต้าเซียงที่พอเดาได้รางๆ
แต่ก่อนซูจื่อเยี่ยเคยรับปากนางไว้ หรือนี่คือวิธีที่เขาจะปกป้องนางอย่างนั้นหรือ?
ร่องรอยของความอบอุ่นค่อยๆ ไหลออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของนาง นับว่าเขาพอมีคุณธรรมอยู่บ้าง คุ้มค่ากับการที่นางต้องคอยคิดสรรหา ทำอาหารให้เขาสารพัด เพราะกลัวไม่ถูกปากเขา
ขณะเดียวกันในใจก็เกิดความรู้สึกหดหู่ ทำใจไม่ได้ เขาคือเพื่อนคนแรกอย่างแท้จริงั้แ่นางข้ามมิติมายังที่แห่งนี้
เพียงแต่ว่าหลิวฉีซื่อยังอยู่ นางจึงไม่สะดวกที่จะเอ่ยถามเขาว่า เหตุใดจึงไม่บอกั้แ่เมื่อคืน
ซูจื่อเยี่ยเองก็หดหู่อย่างมาก ไม่ง่ายเลยที่จะมีเวลาว่างมาหยอกล้อกับ ‘ของเล่น’ ของเขา แต่ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้กับทางนั้น ที่ส่งจดหมายเร่งด่วนมาวันละสามเวลาให้เขารีบกลับเมืองหลวง
หลิวฉีซื่อไม่รู้ความรู้สึกของทั้งสองคน ยากเย็นแสนเข็ญถึงเก็บคุณชายสูงศักดิ์มาได้ เดิมทีนึกว่าจะสามารถใช้เป็บันไดไต่เต้าได้ แต่ใครเล่าจะรู้ว่า อีกฝ่ายไม่ทันรอให้บุตรสาวตนเองเติบโตก็จะกลับเมืองหลวงแล้ว
นางเสียใจอยู่บ้าง เหตุใดตอนนั้นตนไม่ให้กำเนิดบุตรสาวให้เร็วกว่านี้?
แต่เมื่อได้ยินว่าซูจือเยี่ยพอใจกับฝีมือทำอาหารของหลิวเต้าเซียง และบอกว่าหากมีเวลาจะมาเยี่ยมเยียนที่นี่ จึงเกิดความดีใจ
“คุณชายน้อย ไม่ทราบว่าครอบครัวของคุณชายจะมาถึงตอนไหน กี่คนเ้าคะ? คุณชายน้อยโปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าแค่เกรงว่าอาหารที่เตรียมไว้จะไม่พอ และต้อนรับแขกได้ไม่ดีพอ”
ซูจื่อเยี่ยไม่ได้ปฏิเสธที่จะตอบ “แค่พ่อบ้านกับองครักษ์ไม่กี่คน”
พ่อบ้านและองครักษ์? นั่นล้วนเป็ผู้ชายนี่นา หลิวฉีซื่อรีบคิดอยากปีนขึ้นบันไดนี้ “ที่แท้คุณชายก็เป็คนจากตระกูลในเมืองหลวง จากที่แห่งนี้ไปเมืองหลวงระยะทางค่อนข้างไกล เกรงว่าคงต้องเดินทางหนึ่งถึงสองเดือน ถนนหนทางก็ขรุขระเกรงว่าจะส่งผลต่ออาการาเ็”
อาการาเ็บนร่างของซูจื่อเยี่ยนั้นสมานเพียงแค่ผิวเผิน แต่ยังไม่หายดี เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวฉีซื่อ สายตาก็ปรากฏความระแวง ด้วยเหตุนี้จึงตอบ “อืม เมื่อถึงไปตัวจังหวัดก็จะเป็ทางน้ำ อากาศนับจากนี้จะยิ่งร้อนระอุ การเดินทางขึ้นเหนือจะเย็นสบายกว่า”
หลิวฉีซื่อไม่คิดว่าเขาจะตอบเช่นนี้ นางยอมเปลี่ยนหัวข้อไปที่ตัวหลิวเสี่ยวหลัน
“นั่นก็ใช่ เพียงแต่คุณชายน้อยต้องใช้เวลาเดินทางหนึ่งถึงสองเดือน หากข้างกายไม่มีคนคอยปรนนิบัติดูแลคงไม่ใช่เื่ อีกอย่างร่างกายยังคงาเ็ ตลอดทางนั้นค่อนข้างโหดร้าย เกรงว่าคงดูแลกันได้ไม่ดีพอ”
ซูจื่อเยี่ยได้ยินน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกพร้อมกับสีหน้าใ จึงเอ่ย “ขอบคุณท่านป้าที่เตือน ข้าเองก็ลืมไป ในเมื่อต้องเดินทาง ข้าวก็ยังต้องกิน หรือไม่…”
สายตาของเขาหันมองรอบห้อง สุดท้ายจบอยู่ที่หลิวเต้าเซียง
มองเห็นนางราวกับกระต่ายน้อยตื่นตัว หูตั้ง กระทั่งลมหายใจก็ไม่กล้าพ่นออกมา
เช่นนี้ทำให้หัวใจของซูจื่อเยี่ยรู้สึกแย่
ฮึ แม่สาวน้อยได้ยินว่าข้าจะจากไป กลับไม่มีท่าทีเศร้าโศก ขืนไม่ขู่สักหน่อยจะเป็การรู้สึกผิดต่อตนเองไม่ใช่หรือ?
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าเ้าหมอนี่กำลังคิดแผนชั่ว จึงเค้นความคิดหาข้ออ้าง ขอเพียงซูจื่อเยี่ยเรียกชื่อนาง นางต้องรีบเอ่ยข้ออ้างที่มีจุดยืนหนักแน่นมากพอให้ได้ นางไม่้าไปเป็คนรับใช้ให้ผู้อื่น
สิ่งที่นางปรารถนาในชีวิตนี้คือการมีบ้านเรือนของตนเอง มีรถม้าและเป็เศรษฐินีที่มีที่ดินมากมาย
เมื่อเห็นนางแสร้งทําเป็ตาย ซูจื่อเยี่ยก็ไม่ได้ใจร้ายเรียกนางให้ไปเป็เด็กรับใช้
ขณะที่ทุกคนต่างครุ่นคิดแผนการของตนเองในใจ เขาก็เอ่ยปาก “มีแต่ผู้ชายในคณะเดินทาง เดาว่าคงต้องห้ามความอยากไว้ก่อน เฮ้อ การจะพาแม่ครัวน้อยไปทำอาหารให้ด้วยคงมิอาจสมปรารถนา”
เมื่อหลิวฉีซื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ แม้นจะหน้าหนาเพียงใด ก็คงมิกล้าเกริ่นให้หลิวเสี่ยวหลันตามไปด้วย เกรงว่าจะทำให้ผู้สูงศักดิ์โมโห วันรุ่งขึ้นจากไป คงลืมผู้มีบุญคุณเช่นนางไปจนหมดสิ้น
ถูกต้อง ขณะที่ซูจื่อเยี่ยเอ่ยถึงผู้มีบุญคุณ นางคิดว่าเขากำลังกล่าวถึงตนเอง
ในเวลาเดียวกัน ก็รู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถให้บุตรสาวของตนไต่เต้าผู้สูงศักดิ์คนนี้ได้สำเร็จ เพราะบุตรสาวนั้นได้รับถ่ายทอดวิชาจากนางมาโดยตรง
ซูจื่อเยี่ยประกาศเื่นี้จบก็ไม่ได้สนว่าหลิวฉีซื่อกับหลิวเสี่ยวหลันจะรู้สึกแย่เพียงใด เขาลุกขึ้นเงียบๆ และเดินไปห้องตะวันตกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จนกระทั่งเมื่อประตูห้องทิศตะวันตกปิดลง หลิวเสี่ยวหลันถึงเพิ่งได้สติ ในหัวใจของเขา นางไม่ได้สำคัญเช่นนั้น
เป็เช่นนี้ได้อย่างไร?
ั้แ่วินาทีที่นางช่วยชีวิตเขา นางก็ยืนหยัดแน่วแน่ว่าเขาคือเ้าบ่าวของตนเอง
หลิวฉีซื่อใเล็กน้อย มีท่าทีห่อเหี่ยว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีอารมณ์ด่าทอหลิวซุนซื่อกับหลิวจูเอ๋อร์ เพียงแต่โบกมือ บอกให้ทุกคนแยกย้าย
“ท่านพ่อ ข้าจะไปตักน้ำล้างเท้าให้” นานทีปีหนหลิวเสี่ยวหลันถึงขยันเช่นนี้
สำหรับบุตรสาวคนเล็กของตนนั้น หลิวต้าฟู่ก็รักใคร่เอ็นดูไม่น้อย
เขากลัวว่าหลิวเสี่ยวหลันจะเศร้าโศก จึงเอ่ยเสียงต่ำ “หลันเอ๋อร์เด็กดี อีกเดี๋ยวจะให้แม่ของเ้าไปช่วยพูดคุยเื่หมั้นหมายกับคนร่ำรวยที่นี่ คุณชายที่มาจากเมืองหลวง พ่อว่ากฎระเบียบมากเกินไปหน่อย”
มากไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่รู้ แต่ในใจเขากลับเข้าใจดีว่า ซูจื่อเยี่ยกับหลิวเสี่ยวหลันนั้นคนหนึ่งคือฟ้า คนหนึ่งคือดิน ส่วนที่ว่าฟ้ากับดินห่างกันมากฉันใด ซูจื่อเยี่ยกับหลิวเสี่ยวหลันก็ห่างกันฉันนั้น
แม้เขาจะพูดเหตุผลไม่ได้ แต่ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนนั้นห่างกันเกินไป แม้จะบอกว่าบ้านของเขาคือคนรวยที่สุดในหมู่บ้านสามสิบลี้ก็ตาม
“ท่านพ่อ ข้าจะไปตักน้ำให้ท่านเดี๋ยวนี้” หลิวเสี่ยวหลันรู้สึกว่านางกับพ่อนั้นไม่เคยพูดคุยกันเกินครึ่งคำ
นางไม่สนใจใยดีหลิวต้าฟู่เหมือนเช่นเคย หันหลังแล้วเอ่ยถึงหลิวฉีซื่อ “ท่านแม่ ไปห้องครัวกับข้าได้หรือไม่ ในนั้นค่อนข้างมืดสลัว ลูกเองก็กลัวเล็กน้อย”
สำหรับความรู้สึกของหลิวเสี่ยวหลันตอนนี้ หลิวฉีซื่อรู้ว่าเป็ที่เข้าใจได้
เห็นเป็ดที่เกือบจะจับได้บินหลุดมือไป ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหลิวเสี่ยวหลันจะเจ็บใจเพียงใด นางเองก็เจ็บใจไม่แพ้กัน
“ตกลง ลูกรัก แม่จะไปกับเ้า”
ทั้งสองไปถึงห้องครัว พบว่าหลิวซุนซื่อกับหลิวจูเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ข้างใน เพียงแต่ถ้วยชามของอาหารมื้อค่ำยังคงวางอยู่บนชั้น
หลิวฉีซื่อหยิบตะเกียงน้ำมันวางบนชั้น กลับรู้สึกว่าที่มือนั้นมีอะไรนิ่มๆ ฉับพลันก็รู้สึกขนลุก ก้มศีรษะมองดูเห็นหนูสีดำตัวอ้วนวิ่งหดตัวหนีไป
นางตื่นใพร้อมกับะโ ถึงกับลูกตาแทบถลนออกมา
“ท่านแม่ เมื่อครู่คือตัวอะไรหรือ? ข้าเห็นเพียงเงาดำของมันวิ่งผ่านไป” หลิวเสี่ยวหลันไม่ได้ใ เพราะเ้าก้อนสีดำหายไปแล้ว
หลิวฉีซื่อบ่นต่อว่า “ก็พี่สะใภ้รองที่ี้เีเหมือนหมูของเ้าน่ะสิ ดูสิว่านางทำเื่อะไรไว้ ถ้วยชามไม่ล้างก็วิ่งกลับห้องทิศตะวันออกไป ฮึ นางหมูี้เี อาศัยว่าแขกสูงศักดิ์ปรากฏตัว แล้วข้าจะไม่ด่านาง”
“ท่านแม่ พี่สะใภ้รองเหตุใดจึงเป็เช่นนี้ไปได้? มิน่าพี่รองได้เงินมาก็ไม่ส่งกลับมาให้ท่านแม่ เกรงว่าคงถูกพี่สะใภ้รองเป่าหูอย่างร้ายกาจ”
หลิวเสี่ยวหลันเป็คนที่เห็นแก่ตัวที่สุด แต่เดิมนั้นคลุกคลีกับหลิวจูเอ๋อร์ หลิวซุนซื่อยังไม่ถูกหลิวฉีซื่อเล่นงาน ทั้งสามคนก็สนิทสนมกันเป็อย่างดี
อย่างไรก็ตาม นับแต่ครั้งล่าสุดที่หลิวซุนซื่อลากหลิวเสี่ยวหลันมาเกี่ยวข้องกับเื่เงินห้าตำลึง หัวใจของหลิวเสี่ยวหลันก็เหมือนกับมีหนามทิ่มแทง ไม่ว่าหลิวจูเอ๋อร์จะหาลูกไม้อะไรมาคืนดีกับนาง ก็เปรียบกับเงินห้าตำลึงไม่ได้
ตอนนี้หลิวฉีซื่อยิ่งรู้สึกไม่ชอบหลิวซุนซื่ออย่างหนัก ได้ยินดังนั้นก็เริ่มด่า “พี่สะใภ้ตัวดีของเ้า หากว่าทำให้ข้าเหลือทน ฮึ ข้าจะเปลี่ยนพี่สะใภ้รองที่เชื่อฟังให้เ้าเอง”
“ท่านแม่ จริงหรือ? พี่รองหน้าตาดูดี หากว่าเปลี่ยนได้ ต้องเปลี่ยนคนที่เชื่อฟัง นอบน้อมโอนอ่อนต่อท่านแม่ ทางที่ดีต้องเป็คนในตำบล แม้ว่าบ้านพ่อของพี่สะใภ้รองจะทำการค้าเนื้อ แต่บ้านนางก็ยังมีพี่ชายกับพี่สะใภ้ แล้วจะให้เงินนางได้เท่าไรกันเชียว?”
หลิวเสี่ยวหลันรู้สึกว่าหลิวซุนซื่อเปลี่ยนไป ไม่ดีกับนางเช่นแต่เดิม อีกทั้งยังแสดงท่าทีว่าไม่้าให้นางได้ผลประโยชน์จากแม่ของตนอีกด้วย
ฮึ เื่อันใด? นางเป็ถึงบุตรสาวแท้ๆ ของหลิวฉีซื่อ หลิวซุนซื่อก็แค่ลูกสะใภ้ที่ไม่มีสัมพันธ์ทางสายเื
เมื่อหลิวฉีซื่อพูดถึงเื่นี้ ก็ยิ่งไม่ชอบหลิวซุนซื่อ “อย่าไปพูดถึงนางตัวดีไม่เอาไหนเลย หลันเอ๋อร์ ข้าว่าคุณชายน้อยท่านนั้นไม่มีความคิดจะพาคนปรนนิบัติติดตัวไปด้วย แม่เองก็ไม่มีความคิดให้เ้าขายตัวไปเพื่อปรนนิบัติเขา เื่นี้ เห็นทีคงเร่งรีบไม่ได้”
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าหลิวฉีซื่อว่า สัญญาทาสนั้นเป็อย่างไร นั่นคือการที่กระทั่งชีวิตก็ไม่ใช่ของตนเองอีกต่อไป ผู้เป็นายสั่งให้อยู่ก็อยู่ สั่งให้ตายก็ต้องตาย การขายตัวเป็ทาส นั่นหมายความว่าได้กลายเป็สมบัติของผู้เป็นาย เป็ทรัพย์สินที่ไม่ใช่คน
ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่เคยคิดเื่ให้หลิวเสี่ยวหลันขายตัวเป็ทาส
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? รู้เช่นนี้ข้าคงไม่พร่ำฝึกการเย็บปักถักร้อยแล้ว สู้ไปเรียนการทำอาหารดีกว่า” พูดจบนางก็เห็นหลิวฉีซื่อสีหน้าไม่ดีนัก จึงรีบเอ่ย “ข้าแค่เพียงคิดว่าท่านพ่อกับท่านแม่อายุก็มากแล้ว อีกไม่กี่ปี ข้าเองก็ต้องออกเรือนไป จึง้ากตัญญูกตเวทีต่อท่านพ่อท่านแม่ ให้ได้กินอาหารที่ลูกทำบ้าง”
-----
เชิงอรรถ
[1] สาวใช้ทงฝาง 通房丫头 หรือสาวใช้ห้องเชื่อม คือสาวรับใช้ติดตัวที่ออกเรือนไปพร้อมกับคุณหนู ถือเป็สินเ้าสาว มีหน้าที่ช่วยเหลือคุณหนูในการร่วมรัก หรือกระทั่งช่วยปรนนิบัติสามีของคุณหนูได้ด้วย
