เสียงร่ำลือไปทั่วนอกวังหลวง เอ่ยว่าคุณหนูหลี่จวนแม่ทัพจิตใจอำมหิตหวังฆ่าคุณหนูจวนตระกูลเหลียงให้ตายด้วยการผลักตกน้ำ สร้างความไม่พอใจให้กับราชครูหลี่ตั๋วเหลินเป็อย่างมาก หลี่เยี่ยนฟางถูกเรียกเข้าวังทุกสามวันต่ออาทิตย์เพื่อค่อยอยู่เป็เพื่อนองค์รัชทายาท กู่อี้เฉินเวลาอ่านตำรา หลี่เยี่ยนฟางคอยฝนหมึกอยู่ข้าง ๆ แม้กู่อี้เฉิน จะรำคาญและก็ไม่สามารถขัดผู้เป็มารดาได้ เพราะฮองเฮาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็เป็น้องสาวของราชครูหลี่ โดยที่ราชครูหลี่เองก็วางอำนาจมานานเขาคือผู้ที่อยู่เคียงข้างราชวงค์มาถึงสามรัชสมัย ั้แ่พระเ้ากู่เจี๋ย มาพระเ้ากู่ฮุ้ย และฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อย่างฮ่องเต้กู่ฉือเฉิง แม้ตำแหน่งราชครูจะไม่มีอำนาจในทางการเมืองแล้ว แต่เหล่าขุนนางฝ่ายใหญ่ ๆ ต่างก็เป็คนของเขาเกือบทั้งสิ้น ทั้งราชครูหลี่ และฮองเฮาคาดหวังให้หลานสาวของพวกเขาได้รับตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาท เพราะนางคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดและสกุลหลี่ยังคือตระกูลผู้ถืออำนาจฝ่ายฮองเฮามาตลอด แต่กู่อี้เฉินกลับแอบคบอยู่กับเหลียงหนิงอัน บุตรสาวเสนาบดีฝ่ายกรมคลังที่นอกจากจะสะสวยแล้ว นางยังเป็สตรีที่เพียบพร้อมดั่งตำราสามเชื่อฟังสี่จรรยา ซึ่งทำให้กู่อี้หานเองก็แอบชอบนางเช่นกัน เพราะ เหลียงหนิงอันเป็สตรีที่เหล่าบุรุษต่างมั่นหมายแล้วว่าหากได้คนเช่นนางมาเป็ภรรยาย่อมต้องเป็ที่เชิดหน้าชูตาแน่นอน ผิดกับหลี่เยี่ยนฟางที่เป็สตรีปากร้ายใจดำอำมหิต หลงอำนาจ ชอบเฆี่ยนตีบ่าวไพร ทั้งยังมีฮองเฮาและราชครูหลี่คอยให้ท้าย นางจึงยิ่งได้ใจกล้าทำความผิด
“คุณหนูของบ่าวสวยที่สุดในแคว้นตงหนานเลยเ้าคะ” เจียลี่เอ่ยชมดังเช่นทุกครั้งที่นางจะเข้าวังไปพบกับผู้ที่นางรัก และคาดหวังว่าเขาคือสามีในอนาคตของนาง
“ให้น้อย ๆ หน่อย แม้ข้าจะสวยเพียงไร ก็ใช่ว่าความสวยจะอยู่คู่กับข้าไปจนชั่วชีวิตหลอกนะ” หลี่เยี่ยนฟางลุกยืนก่อนจะเดินออกไปนั่งเกี้ยวรถม้าของจวน เจียลี่ได้แต่เกาศีรษะตนเองด้วยความงุนงง เหตุใดนายตนถึงได้เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
หลี่เยียนฟางแง้มหน้าต่างเกี้ยวเพื่อมองดูชาวบ้านที่กำลังเดินไปมาในตลาดเพราะเป็ทางผ่านเข้าราชวัง เธอดูรู้สึกสนุกไปกับชีวิตในยุคสมัยนี้ที่ดูแปลกใหม่สำหรับเธอ หลี่เยี่ยนฟางยกยิ้มไปมองดูชาวบ้านไปจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครรคนหนึ่งได้มองเห็นรอยยิ้มของเธอจากบานหน้าต่างเล็ก ๆ นั่น รถม้าผ่านประตูใหญ่ด้วยกันสองชั้น ก่อนถึงเขตพระราชฐานชั้นใน หลี่เยี่ยนฟางตื่นเต้นในความยิ่งใหญ่อลังการของพระราชวัง เธอไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดผู้คนถึง้าอำนาจนักหนา เหล่าทหารองครักษ์ต่างยืนเรียงรายตามจุดต่าง ๆ ของพระราชวัง ก่อนที่รถม้าจะผ่านไปยังตำหนักจินเยว่ซึ่งเป็พระตำหนักที่พักขององค์รัชทายาทกู่อี้เฉิน เธอมองเห็นอุทยานสวนดอกไม้ที่มีดอกเหมยเริ่มบานเต็มสวน ช่างดึงดูดอยากให้เข้าไปชมใกล้ ๆ เสียยิ่งกว่าต้องไปนั่งฝนหมึกจนเมื่อยมือในตำหนัก จินเยว่เป็ไหน ๆ
รถม้าหยุดนิ่งก่อนจะมีนางกำนัลมายืนรอรับเธอเป็แถวยาวนับได้สิบสองนาง หลี่เยี่ยนฟางหรี่มองไปยังประตูตำหนักที่มีทหารยืนเฝ้าด้านนอกอดใจเต้นแรงไม่ได้เพราะนี่เป็ครั้งแรกที่เธอจะได้พบกับตัวละครหลักอย่างพระเอก เธออยากรู้ว่าใบหน้าที่บรรยายในหนังสือนั้นจะเป็เช่นไรหากได้เห็นด้วยตาตนเอง เพราะขนาดกู่อี้หานที่เป็เพียงพระรองยังงดงามราวเทพเซียน นี่เป็ถึงพระเอกเธอคงต้องเตรียมผ้าไว้ซับเืกันบ้าง
“ทูลฝ่าา คุณหนูหลี่มาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขันทีแก่เปล่งเสียงสุดกำลังะโเข้าไปยังห้องทรงงาน หลี่เยี่ยนฟางได้แต่ค่อย ๆ ก้าวเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ เธอมองเห็นบุรุษในชุดสีครามเข้มที่รวบผมไว้เพียงครึ่งศีรษะรัดตึงด้วยกวาน นิ้วยาวเรียวจับตำราเล่มหนา ก่อนที่มือนั้นจะค่อย ๆ วางลง
//พระเ้า....นี่ฉันคิดว่าถ้าอิตาพระเอกไม่ได้อยู่ในที่นี้ เห็นทีวงการไอดอลชายคงถึงคราวหายนะ// หลี่เยี่ยนฟางแอบคิดทันทีที่เธอได้เห็นใบหน้าเต็ม ๆ ขององค์รัชทายาทกู่อี้เฉิน
“ไร้มารยาท!!” น้ำเสียงเข้มดุดังขึ้น จนร่างบางสะดุ้งเธอยืนมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาจนลืมแสดงความเคารพต่อเขา
“ถะ...ถวายพระพรไท่จื่อเพคะ” หลี่เยี่ยนฟางยอบกายลง ก่อนจะยืนนิ่งก้มหน้า
“เปิ่นหวางได้ข่าวว่าเ้าเจ็บป่วยอยู่หลายวัน” เสียงห้วน ๆ ที่เอ่ยออกมาแต่ละคำช่างทำให้เธอรู้สึกเหมือนราวจะขาดอากาศหายใจ หรือเพราะฐานะของเขาในตอนนี้มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“หม่อมฉันดีขึ้นแล้วเพคะ” เธอกล่าวขณะที่แววตายังจับจ้องไปที่พื้น
“นั่งก่อน เปิ่นหวางเพียงแค่อยากอ่านตำราก่อนเท่านั้นยัง ส่วนฎีกาคงอีกยาม” กู่อี้เฉินมองร่างบางที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อย่างสงสัยยามปกตินางมักจะเข้ามาเกาะแขนของเขาเสมอราวกับว่าเขาเป็ไม้ค้ำยันให้กับนาง แต่เพลานี้นางกับยืนรอให้เขาเอ่ยเชิญเสียก่อน แถมยังนั่งเสียตั้งไกล
//หวังว่าเขาคงไม่เอ่ยหาเื่เราเหมือนกู่อี้หานหลอกนะ// หลี่เยี่ยนฟางแอบกลัวเื่ที่เรือคว่ำ เธอค่อย ๆ ลุกเดินดูตำราต่าง ๆ ในห้องทำงานของเขาเพราะขึ้นเกียจนั่งรอเขาอ่านตำราจบ จนไม่ได้สังเกตเลยว่าแววตาเขากำลังจับจ้องมายังเธอ
“เ้ามาฝนหมึกให้เปิ่นหวางตรงนี้ม่ะ” เขาเรียกนางขณะที่ร่างบางกำลังหยิบตำราบนชั้นมาอ่านมันเป็ตำราที่เก็บไว้นานจนเขาเองก็ลืมไปแล้วว่ามันคือตำราอะไรบ้าง แต่พอเขาเอ่ยเรียกร่างบางถึงกับสะดุ้งโยนตำรานั้นลงกับพื้น
“ไท่จื่อท่าน....” หลี่เยี่ยนฟางทำหน้าเหยเกเหลือบมองเขาที ตำราทีมันเป็ตำราบุปผางามที่เป็หนังสือภาพสตรีที่ไร้อาภรณ์ห่มร่างในอิริยาบทต่าง ๆ ที่ดูหวือหวา กู่อี้เฉินเหลือบมองใบหน้าที่ขาวซีดกลับแดงชาดขึ้นมายังใบหู
“มิใช่ของข้า ตำรานั่นข้าแทบไม่ได้หยิบเลย และก็ไม่รู้ว่ามาอยู่ได้เยี่ยงไร” กู่อี้เฉินรีบปฏิเสธ
“เพคะ...” หลี่เยี่ยนฟางค่อย ๆ ขยับตัวมานั่งลงข้าง ๆ จานหมึก เธอพยายามไม่เข้าใกล้เขาเกินไปเพราะกลัวเขาจะอึดอัด ตามในนิยายได้บรรยายว่ากู้อี้เฉินเบื่อหน่ายเวลาที่หลี่เยี่ยนฟางมานั่งเฝ้าเขาราวสุนัขนั่งมอง
“เ้ากลัวข้าจะจับเ้ากินหรืออย่างไรนั่งเสียห่างเช่นนั้น” กู่อี้เฉินเอ่ยขึ้นพร้อมแววตาที่สงสัยเพ่งมองมายังเธอที่อยู่ห่างเขาราวสองศอก
“ป่ะ..เปล่าเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่กลัวไท่จื่อจะอึดอัดก็เท่านั้น” หลี่เยี่ยนฟางรีบปฏิเสธ
“ข้าจะออกไปอุทยานท้ายพระราชวัง เ้าก็ไปด้วยซิ” อยู่ ๆ กู่อี้เฉินก็ลุกขึ้นยืนทำให้เธอเห็นว่ารูปร่างของเขาช่างสูงกำยำและดูแข็งแกร่งราวชายชาตรี
//ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางร้ายอย่างหลี่เยี่ยนฟางถึงได้ลุ่มหลงเขาเช่นนี้// หลี่เยี่ยนฟางอดคิดถึงรูปร่างของเขายามไร้อาภรณ์ห่มร่างนี่จะดูเซ็กซี่ขนาดไหน คิดได้ก็รีบส่ายศีรษะไปมาเพื่อสลัดภาพนั้นออกจากความคิดไป
“เ้าจะไม่ไปรึ”
“ป่ะ...ไปเพคะ” ร่างบางรีบวิ่งตามหลังเขาไม่ทันระวังเมื่อร่างสูงหยุดนิ่งทำให้เธอที่กำลังวิ่งตามกลับชนไปเต็ม ๆ
“ระวังกิริยาเ้าด้วย เสด็จแม่ทรงเห็นคงมิชอบใจ” เขาหันมาบอกก่อนที่จะเดินนำออกไป ทิ้งให้เธอได้แต่เดินลูบจมูกที่เชิดรั้นนั้นด้วยความเจ็บเล็ก ๆ
สวนดอกไม้หลากสายพันธุ์ที่ประดับอยู่ในอุทยานบานชูช่อต้อนรับฝูงแมลงให้บินวนดูดกินน้ำหวาน กู่อี้เฉินเดินไปราวกับมิได้มายืนชมความงามเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้เธอจะสงสัยแต่ก็คิดว่าเขาคงกำลังจะสร้างความเหนื่อยล้าให้กับเธอจนเธอต้องหนีกลับจวนแน่ ๆ หลี่เยี่ยนฟางเหลือบเห็นผ้าสีชมพูคล้ายชุดสตรีหลังประตูท้ายวัง แต่เมื่อเห็นกู่อี้เฉินเดินตรงออกไปพร้อมกับโบกมือไล่ทหารและองครักษ์เธอก็รู้ได้ทันทีว่าผู้ที่อยู่หลังประตูนั่นคือใคร
//ถ้าจะแอบมาพบนางเอกทำไมต้องหอบลากเรามาด้วยเนี่ย// หลี่เยี่ยนฟางได้แต่ยืนรอเก้อ ๆ บริเวณสวนด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ความจริงเธออยากเดินออกมาจากตรงนั้นเสียให้ได้ แต่คิดมาคิดไปพระเอกคง้าให้เธอเป็ไม้กันหมาให้แก่เขาขณะที่มาพบกับนางเอก ทั้งสองยืนคุยกันอยู่นานจนเธอเองก็เริ่มเมื่อยขาอยู่ ๆ กู่อี้เฉินก็จูงมือเรียวนั้นเข้ามาในเขตอุทยาน
“คาราวะคุณหนูหลี่” ใบหน้าที่ดูอ่อนหวานริมฝีปากเล็กเหยียดยิ้มชวนมอง
“คาราวะคุณหนูเหลียง” เธอเอ่ยรับอย่างไม่เข้าใจ จนคนมองอาจจะว่าเธอดูเฉยชาก็เป็ได้
“ข้าต้องขออภัยที่เข้ามาขัดจังหวะไท่จื่อกับคุณหนูหลี่นะเ้าคะ ข้าเพียงแค่นำขนมมามอบให้ไท่จื่อ”
“ไม่หลอก ข้าเองก็กำลังจะกลับจวนอยู่พอดี” หลี่เยี่ยนฟางเห็นทีท่าไม่ดี ดูเหมือนตอนนี้เป็เธอมากกว่าที่เข้าไปขัดจังหวะพระนางเสียด้วยซ้ำ
“เ้าจะไปไหน เกิดฮองเฮาเสด็จมาจะว่าอย่างไร” กู่อี้เฉินรีบเอ่ยดักเสียจนเธอต้องหยุดก้าวขาทันที
//จริง ๆ ด้วย ไอ้พระเอกนี่ใช้เราเป็ไม้กันหมาซินะ//
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะรอไท่จื่อที่ศาลาสระบัวนั้นเพคะ เชิญฝ่าาตรัสตามสบายเถิด” หลี่เยี่ยนฟางผายมือราวเชิญให้ทั้งสองพูดคุยกัน แม้กู่อี้เฉินจะแปลกใจในท่าทางต่าง ๆ ของนางในเพลานี้แต่ก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ก็เท่านั้น
“คุณหนูหลี่คงโกรธหม่อมฉันที่ทำเรือคว่ำเป็แน่เพคะ” เหลียงหนิงอันรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่พวกเขาทั้งสี่ไปพายเรือชมเหลียงฮวา นางขึ้นนั่งเรือพร้อมกับหลี่เยี่ยนฟาง แต่เมื่อไปถึงกลางสระอยู่ ๆ หลี่เยี่ยนฟางก็บอกให้นางลุกมาสลับที่กันทำให้เรือที่นั่งโคลงเคลงจนพลิกคว่ำลง โชคดีที่กู่อี้เฉินช่วยนางไว้ได้ แต่หลี่เยี่ยนฟางที่จมลงไปพร้อมกันกลับยังไม่มีใครช่วยขึ้นมาจนองครักษ์นั่นช่วยนางขึ้น แต่ตอนนั้นนางก็หมดลมไปเสียแล้ว ยังดีที่กู่อี้หานทำให้นางกลับมาหายใจได้อีกครั้ง
“เ้าอย่าเอ่ยโทษตนเองไปเลยอันเอ๋อร์ โชคดีที่เ้าไม่เป็อะไรมาก” กู่อี้เฉินเอ่ยปลอบพร้อมกับยกนิ้วเรียวเกลี่ยช่อผมที่ตกลงมาปรกหน้าออกให้นางอย่างแ่เบา
