เด็กน้อยตัวเล็กเท่านั้น ช่างไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ใช้ทุกวิถีทางจนถึงที่สุดจริงๆ ดูท่าแล้วคงตามราวีนางจนถึงที่สุด
เคยได้ยินแต่กันขโมยพันวัน ไม่เคยได้ยินว่าต้องป้องกันขโมยทุกเช้าค่ำ
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งวันนางถูกตามฆ่าไปแล้วสองรอบ จากเหตุการณ์นี้แล้ว เช่นนั้นภายหน้าก็อย่าได้คิดจะสงบสุขเลย
ฮองเฮาเอ๋ยฮองเฮา ท่านคิดจริงหรือว่าข้ามู่จื่อหลิงเป็ลูกพลับนิ่มที่บีบง่ายดายปานนั้น เดิมอยากค่อยๆ เล่น ค่อยๆ สู้กับท่าน
แต่ท่านไม่เล่นตามกฎกติกาดีๆ ้าไล่ต้อนทุกฝีก้าว ไม่เลิกรา แผนร้ายสูงส่งขึ้นทุกที โหดร้ายขึ้นทุกรอบ
โชคดีที่ข้าเป็แมลงสาบที่ฆ่าไม่ตาย ถูกลอบฆ่าติดต่อกันหลายครั้ง ในเวลาคับขันก็มักจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นร่ำไป ทว่าปาฏิหาริย์ย่อมมีวันที่หลับใหล
ดังนั้นอดทนจนมิอาจอดทนได้แล้ว ข้าก็จะไม่ค่อยๆ เล่นกับเ้าแล้วเช่นกัน แม้ข้ามู่จื่อหลิงไม่มีความสามารถขุดรากถอนโคนท่านผู้เป็มารดาแห่งแผ่นดิน
แต่หนามยอกเอาหนามบ่ง ความสามารถนี้ข้าก็มี
ท่านมิใช่ว่าทำได้ทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธีการหรือ? เช่นนั้นข้าก็จะเรียนรู้จากท่าน ครั้งนี้จะต้องทำให้ท่านสำนึกจนลำไส้เน่า
ตอนนี้จะจับโจร ต้องจับหัวหน้าโจรเสียก่อน!
ฮองเฮา ท่านมิได้สูงส่ง มิได้เป็นายแห่งวังหลังหรือ? นี่สมปรารถนาข้าพอดี จะออกมาผสมโรง จำต้องมีที่พึ่งพิงที่แข็งแกร่งและพึ่งพาได้
ในเมื่อกำจัดศัตรูไม่ได้ เช่นนั้นก็เปลี่ยนศัตรูให้เป็คนของตน ที่พึ่งพิงอันดีเพียงนั้น ไม่ใช้ประโยชน์ก็เสียดายเปล่า ฮองเฮาผู้สูงส่งใช้งานขึ้นมาก็ดูเหมือนจะได้ดั่งใจคล่องไม้คล่องมือดี
มู่จื่อหลิงมองแขนของตนเองที่ได้รับาเ็ มุมปากยกขึ้นเป็รอยยิ้มเย็นอย่างเบาบาง ดวงตาใสกระจ่างปรากฏการครุ่นคิดอันเ้าเล่ห์
เสิ่นซือหยางเอาแต่ลูบเคราแพะของตนเองไม่เลิกรา หนังตาแยกออกน้อยๆ ดวงตาสีเข้มที่เหมือนธารน้ำมรกตเหมือนจะดูออกว่ามู่จื่อหลิงกำลังวางแผนร้ายใครอยู่
แม้เขาไม่รู้ว่านางหนูผู้นี้คิดอะไรอยู่ แต่เขารู้ว่ายายหนูผู้นี้ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก สืบคดี แต่เจอเื่ขัดขวางไม่หยุด อันตรายแสนสาหัส ลอบสังหารอย่างต่อเนื่อง
ยายหนูผู้นี้เก็บกดมานานเพียงนี้ เกรงว่าครั้งนี้คงถูกยั่วโทสะเข้าแล้วจริงๆ และไม่รู้ว่าครั้งนี้ใครจะเป็ผู้โชคร้าย
ทว่าเห็นท่าทางเช่นนี้แล้วนางเหมือนจะรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใครคอยชักใยอยู่เื้ั ต้องเป็ผู้ที่รับมือไม่ง่ายแน่ มิเช่นนั้นยายหนูนี่จะเก็บกดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?
จู่ๆ เสิ่นซือหยางก็เข้าไปใกล้มู่จื่อหลิง กำชับอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “แม่หนู จำเอาไว้ ไม่ว่าจะฆ่าคนหรือวางเพลิงก็ช่าง ก็ต้องจำเอาไว้ว่าต้องทำลายหลักฐาน”
แม่หนู สรรพนามนี้ในตอนนี้เสิ่นซือหยางเรียกได้อย่างไม่เคอะเขิน เป็ธรรมชาติ
มู่จื่อหลิงเบิกตาโตขึ้นมาทันที มองเสิ่นซือหยางอย่างไม่อยากเชื่อ แววตาที่มองนั้นราวกับมองเทพเซียนก็มิปาน
เสิ่นซือหยางก็ส่งสายตาลุ่มลึกยากคาดเดากลับไปว่า “เ้าเข้าใจ?”
มุมปากมู่จื่อหลิงกระตุกน้อยๆ ดังคาด ขิงแก่ก็ยังเผ็ดกว่า
แต่ เสิ่นซือหยางเป็ซื่อชิงแห่งศาลต้าหลี่อันยุติธรรม พูดกับนางเช่นนี้ ดีจริงๆ หรือ?
นี่มิใช่ตำรวจกำลังสั่งสอนโจรว่าควรขโมยสิ่งของอย่างไรมิให้ถูกจับหรือ?
แล้วยังจะฆ่าคนหรือวางเพลิงก็ช่างอีก อาชีพเขามิได้ต้องกำจัดอาชญากรรมพรรค์นี้โดยเฉพาะหรือ?
มู่จื่อหลิงตบหน้าผากอย่างพูดไม่ออก เงยสายตามองฟ้าอย่างเงียบๆ
โลกนี้เป็อะไรไปแล้ว?
แม้แต่เสิ่นซือหยาง ซื่อชิงแห่งศาลต้าหลี่ผู้ที่สัตย์ซื่อมือสะอาด เคร่งครัดในกฎหมายก็ยังมีวันที่ ‘เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว!’
มู่จื่อหลิงมอบกู่ปรสิตให้เสิ่นซือหยางไปครึ่งหนึ่ง ให้เขากลับไปรายงาน เป็เช่นนี้แล้ว ความบริสุทธิ์ของนางก็ถือว่าล้างมลทินแล้ว
ยามนี้มีแผนการใหม่ จะบีบตัวคนร้ายที่วางกู่ออกมาได้หรือไม่วันหน้าค่อยพูดกัน จะมีสักวันที่ความจริงปรากฏขึ้นเหนือน้ำ
ส่วนกู่ปรสิตที่เหลืออยู่ นางย่อมต้องเก็บไว้ให้ตนเองเลี้ยง
หนอนกู่เป็สิ่งหายากเพียงใด ยิงปืนหนึ่งนัดได้นกสองตัว ไม่แน่ว่าวันหน้ากู่ปรสิตก็สามารถช่วยชีวิตคนได้ กู่ควบคุมใจมิใช่ตัวอย่างที่ดีหรือ และยังสามารถป้อนเป็ของกินเล่นของเสี่ยวไตกูได้อีกด้วย
ส่วนการใช้กู่ปรสิตทำร้ายคน นางไม่มีเจตนานั้น และไม่้า
เพราะพวกเสิ่นซือหยางมาแล้ว ดังนั้นมู่จื่อหลิงจึงสมปรารถนาในที่สุด ไม่ต้องลากสังขารอันอิดโรยเดินกลับไป
-
มู่จื่อหลิงกลับไปจวนฉีอ๋อง อยู่อย่างเงียบสงบเป็เวลาสองวัน
ในเวลาสองวันนี้ นอกจากกินข้าวกับนอนแล้ว นางล้วนหมกตัวอยู่ในระบบซิงเฉินสกัดยาพิษทดแทนยาพิษที่ขาดทุนไปเปล่าๆ วันนั้น
แน่นอนว่านางไม่ได้ลืมเื่ไปคิดบัญชีกับฮองเฮา ดังนั้นนางจึงนำกู่ควบคุมใจที่ฮองเฮา ‘ตั้งใจ’ เตรียมไว้ให้นางมาดัดแปลงเป็พิเศษ
ดังที่เสิ่นซือหยางว่าไว้ ต่อให้ฆ่าคนหรือวางเพลิง ท้ายที่สุดต้องรู้วิธีกำจัดหลักฐาน
ดังนั้นกู่ควบคุมใจที่ถูกนางดัดแปลง ย่อมต้องไม่ให้ผู้ใดมองออก ในโลกนี้นอกจากนางแล้ว ต่อให้เป็ผู้ที่เชี่ยวชาญการเลี้ยงกู่ก็สังเกตไม่พบ
นางมู่จื่อหลิงไม่ทำก็ไม่ทำ ถ้าจะทำต้องทำอย่างไร้รอยตะเข็บ ไร้ช่องโหว่ ทำให้คนมองเงื่อนงำไม่ออก
ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือการหาที่พึ่งพิง ย่อมหาที่พึ่งพิงที่ทั้งปลอดภัยทั้งรับรองได้ให้ตนเอง
อีกอย่าง นางยังอยากทำให้ฮองเฮาสำนึกเสียใจที่สุดต่อเื่ที่ฮองเฮากระทำต่อนาง
ดังนั้น กู่ควบคุมใจที่นางพัฒนาใหม่ย่อมไม่อาจทำให้ฮองเฮาเป็เช่นศพเดินได้ ฟังคำสั่งอย่างไร้หัวคิด
นาง้าให้ฮองเฮาคิดได้อย่างเป็ปกติ และทำให้ชีวิตฮองเฮาอยู่ในการควบคุมในมือนาง
ทำให้ฮองเฮารู้ว่าตนเองถูกควบคุม ทำให้นางรู้ว่าชีวิตตนเองถูกควบคุมไว้ในมือคนอื่น ปล่อยให้ใจฮองเฮารู้ชัดเจนว่าเกลียดนางจนแทบตาย แต่กลับทุกข์ทรมานพูดออกมาไม่ได้
ถ้าปล่อยให้นางรู้ว่าตนเองถูกควบคุมเป็เพียงการแทงมีดบนกายหนึ่งครั้ง เช่นนั้นถ้าให้นางทุ่มกำลังและความคิดหาวิธีการจัดการคนที่นางเกลียดแค้นแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ก็เท่ากับการดึงมีดออกมาช้าๆ แล้วแทงซ้ำลงไปที่เดิมอย่างแรงอีกครั้ง
ศัตรูโเี้ เช่นนั้นนางต้องโเี้กว่าศัตรู ฮองเฮาคิดแผนเป็ร้อยเป็พันเอาชีวิตของนาง ยามนี้สมควรที่จะเป็เวลาต้องตอบแทนแล้ว
เพียงแต่ ตอนนี้คิดวิธีต่อกรฮองเฮาขึ้นมาได้ เช่นนั้นปัญหาก็มาแล้ว นางควรวางพิษกู่ฮองเฮาอย่างไร?
ย่อมเป็...พ่อค้าหน้าเืที่ช่วยชีวิตนางไว้ วันนั้นเขาเผ่นหนีไปลำพังไม่ร่ำลา จะให้นางเสียใจหน่อยก็ไม่ได้! มู่จื่อหลิงยกมุมปากยิ้มอย่างยากคาดเดา
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พ่อค้าหน้าเืขูดรีดทรัพย์สินจากนางไปครึ่งหนึ่ง ก็ไม่ได้ช่วยนางจนถึงที่สุด ไหนเลยจะมีเื่ง่ายดายเพียงนั้น?
มู่จื่อหลิงตัดสินใจในใจ กำชับเสี่ยวหาน แล้วเตรียมตัวออกจากจวน แต่นางเพิ่งจะออกจากประตูตำหนักอวี่หาน ก็ถูกกุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ยที่ไม่รู้ว่าผุดมาจากไหนรั้งไว้เสียก่อน
กุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ยตระหง่านเหมือนเสาไม้ที่ไม่ล้ม สองมือกอดกระบี่ ตัวสูงตรงแน่วยืนอยู่หน้ามู่จื่อหลิง บดบังทางของนางไว้ทันที
“ถอยไป!” มู่จื่อหลิงเห็นเสาไม้ที่ไม่ขยับแม้แต่น้อยตรงหน้า ก็ขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน โมโหจนหายใจไม่ออก
หลงเซี่ยวอวี่ที่น่ารังเกียจพาคนงามของเขาออกไปอย่างอิสรเสรี แม้แต่กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยที่ไม่เห็นแม้แต่ในวันปกติก็ไม่พาไปด้วย แล้วยังให้พวกเขาเฝ้านางไว้ที่นี่ รังแกกันเกินไปแล้ว!
สองวันมานี้นางไม่ได้ออกจากตำหนักอวี่หาน ไม่รู้แม้แต่น้อยว่ามีคนคอยเฝ้าอยู่ข้างนอก นี่แตกต่างอันใดกับถูกคุมขังกัน น่ารังเกียจจริงๆ!
“หวางเฟย นายท่านสั่งไว้แล้ว ท่านไม่สามารถออกไปได้” กุ่ยหยิ่งสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงนอบน้อมกลับเจือแววมิอาจต่อต้านได้โดยง่าย
“ถอยไป เปิ่นหวางเฟยจะออกไป” สีหน้ามู่จื่อหลิงเคร่งขรึม น้ำเสียงน่าเกรงขามเป็อย่างยิ่ง
เพียงแต่ ต่อให้นางน่าเกรงกลัวขึ้นไปอีก เสาไม้สองต้นนี้ก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
“นายท่านสั่งไว้แล้ว ไม่มีคำสั่งของเขา มิอาจให้ท่านออกไปได้” กุ่ยเม่ยยังคงพูดด้วยความเคร่งขรึมนอบน้อม
มู่จื่อหลิงสองมือเท้าเอว โมโหจนกระทืบเท้า “นายท่านๆ หลงเซี่ยวอวี่เป็เ้านายของพวกเ้า ไม่ใช่เ้านายของข้า มีสิทธิ์อะไรมาให้ข้าเชื่อฟังคำสั่งเขา”
หลังจากได้เห็นมู่จื่อหลิงที่ตบหน้าหลงเซี่ยวอวี่ในวันนั้นยังอยู่รอดปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ยามนี้กุ่ยเม่ยกุ่ยหยิ่งจึงได้รู้ตำแหน่งของหวางเฟยของพวกเขาในใจนายท่านอย่างชัดเจน
แต่ว่า เมื่อได้ยินมู่จื่อหลิงเรียกนามของฉีอ๋องตรงๆ อีกครั้ง ในใจพวกเขายังคงมีความหวาดกลัวอยู่ไม่มากก็น้อย แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ขยับเยื้อน
“หวางเฟย ท่านเข้าไปดีกว่า อย่าได้ทำให้ข้าน้อยลำบากใจ” สีหน้ากุ่ยเม่ยไม่เปลี่ยน ท่าทีแน่วแน่
ไม้แข็งใช้ไม่ได้ มาไม้อ่อน!
มู่จื่อหลิงสูดลมหายใจเข้าลึก ทำให้ตนเองสงบลง “ข้าเองก็ไม่อยากทำให้พวกเ้าลำบากใจ พูดมาเถิดต้องทำอย่างไรพวกเ้าจึงจะให้ข้าออกไปได้?”
สีหน้ากุ่ยเม่ยเคร่งขรึมเหมือนพูดเหตุผลออกมาไม่ได้แม้แต่นิด “นายท่านพูดไว้แล้ว ไม่มีคำสั่งจากเขาท่านมิอาจออกไป ถ้าท่าน้าออกไป ก็รอเขากลับมาก่อนค่อยพูด”
เล่นตลกอะไรกัน!
รอหลงเซี่ยวอวี่กลับมา เช่นนั้นต้องรอไปปีใดเดือนใด? ถ้าไม่มีวันที่เขาจะกลับมา นางก็ออกไปไม่ได้ตลอดเลยงั้นหรือ?
อีกอย่าง รอทรราชบ้าอำนาจผู้นั้นกลับมา เช่นนั้นนางออกไปหาเย่จื่อมู่ก็มิยากกว่าการขึ้น์หรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ นางไม่อยากอยู่แม้แต่สักเค่อ [1] และไม่อยากอยู่แม้แต่น้อย
มู่จื่อหลิงจ้องพวกเขาอย่างเย็นเยียบ น่าเกรงขาม “หากเปิ่นหวางเฟยดึงดันจะออกไปเล่า พวกเ้าจะใช้ไม้แข็งกับเปิ่นหวางเฟยหรือ?”
“ข้าน้อยไม่กล้า แต่นายท่านพูดไว้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามมิให้ท่านออกไป ดังนั้น...” กุ่ยเม่ยชะงักคำที่จะพูดไป แต่ในใจเขาก็กลับรู้สึกหนาวเหน็บ หวางเฟยพูดจริงจังขึ้นมา ก็ไม่ต่างอะไรกับนายท่านของพวกเขาเลย
มู่จื่อหลิงโมโหจนกำหมัดแน่น นางไหนเลยจะไม่รู้คำที่กุ่ยเม่ยพูดไม่จบ ก็ไม่ใช่ว่า ถ้านางยืนกรานจะออกไป เช่นนั้นที่พวกเขาจะใช้กำลังกับนางก็ใช่ว่าเป็ไปไม่ได้
บัดซบ! ไม้อ่อนไม้แข็งก็ล้วนใช้ไม่ได้
สองกำปั้นของนางยากต่อกรสี่มือ ยิ่งกว่านั้นเป็สี่มือที่มีวรยุทธ์ นี่มิใช่นำไข่ไก่ไปทุบหินหรือ?
ทว่า วันนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องออกไป
สองตาของมู่จื่อหลิงจ้องกุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยตรงๆ ราวกับจะพ่นไฟ “พวกเ้าไม่เคยได้ยินประโยคนี้หรือ ยินยอมล่วงเกินผู้อ่อนแอ ทว่ามิอาจล่วงเกินสตรี!”
“ข้าน้อยไม่เคยได้ยิน!” กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยตอบพร้อมกัน
มู่จื่อหลิงโกรธจนแทบอยากจะหาเต้าหู้สักก้อนมาชนให้ตาย!
เอาเถอะ นางจะทนไว้!
อธิบายกับเ้าเสาไม้สองต้นนี้ก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง ดูท่าพวกเขาคงรั้งไว้จนถึงที่สุด ถ้าไม่ใช้ลูกไม้เล็กน้อยก็ไม่มีทางออกไปได้
ั์ตางามของมู่จื่อหลิงเคลื่อนไหว มุมปากหยักโค้งเป็รอยยิ้มเ้าเล่ห์บางเบา ในใจมีแผนการแล้ว
นางแสร้งทำเป็กระฟัดกระเฟียด สะบัดแขนเสื้อแรงๆ ถกกระโปรง วิ่งตึงตังกลับเข้าไปในตำหนักอวี่หาน
กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยเห็นเงาที่หายไป สบตากันก็เหมือนจะเข้าใจได้โดยไม่ต้องพูด ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน
บางทีกุ่ยหยิ่งอาจจะไม่เข้าใจเท่าใด แต่กุ่ยเม่ยจะมากจะน้อยก็เคยติดตามหวางเฟยมาระยะหนึ่ง ย่อมเข้าใจอยู่เล็กน้อย นางไม่ยินยอมโดยง่ายเช่นนี้แน่
เห็นได้ชัดว่าการคาดเดาในใจกุ่ยเม่ยนั้นถูกต้อง!
ไม่ถึงครู่หนึ่ง มู่จื่อหลิงก็ถกกระโปรงวิ่งออกมา......
-----------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เค่อ คือหน่วยเวลา เท่ากับสิบห้านาที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้