"ข้าบอกเ้าแล้วอย่างไร ว่าเื่เงินทองเหล่านี้ เ้าไม่ต้องกังวลให้มากนัก"
จางเจิ้นอันรู้สึกว่าอันซิ่วเอ๋อร์นั้นเพียบพร้อมดีงามทุกอย่าง เสียเพียงแต่ว่านางมักจะเคลือบแคลงในความสามารถหาเลี้ยงครอบครัวของเขาอยู่เสมอ วาจาเพียงสองสามคำของนาง บางครั้งก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างบอกไม่ถูกขึ้นมา
เขารู้สึกว่านางยังไม่ได้วางใจในตัวเขาอย่างแท้จริง ดูเหมือนนางจะยังขาดความมั่นคงทางใจ ไม่กล้าที่จะฝากชีวิตไว้กับเขาเต็มร้อย ราวกับว่าต่อให้วันหนึ่งไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง นางก็ยังสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ด้วยตนเอง ความรู้สึกเช่นนี้ผุดขึ้นในใจ ทำให้เขาไม่สบอารมณ์นัก
"ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นใดเลย เพียงแต่อยากจะช่วยประหยัดมัธยัสถ์สักหน่อยเท่านั้น"
อันซิ่วเอ๋อร์สังเกตเห็นสีหน้าของเขา จึงเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า "อย่างไรเสียพวกเราก็ยังอายุน้อยด้วยกันทั้งคู่ ข้าเชื่อมั่นในความสามารถของท่านเสมอ วันข้างหน้าพวกเราอยากได้สิ่งใดก็ย่อมหามาได้ ไม่เห็นจำเป็ต้องรีบร้อนในตอนนี้เลย"
วาจาปลอบประโลมเหล่านี้ช่วยให้จางเจิ้นอันรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง เขาทราบดีว่านางแม้อายุยังน้อย แต่ก็มีความคิดความอ่าน เฉลียวฉลาด และรู้จักวางแผนชีวิต นางคือยอดสตรีที่เหมาะแก่การเป็แม่ศรีเรือนอย่างแท้จริง การได้นางมาเป็คู่ชีวิต ถือเป็วาสนาของเขาแล้ว
กระนั้น ภายนอกก็ยังมีผู้คนมากมายปากเสีย นินทาว่านางเป็ดั่งดอกไม้งามที่ปักอยู่บนกองมูลสัตว์ ซึ่งก็อาจจะจริงอยู่บ้าง สตรีที่ดีพร้อมเช่นนาง กลับต้องมาแต่งให้กับคนอย่างเขา ทั้งยังมีอายุต่างกันมาก นางทั้งอ่อนเยาว์และงดงาม ส่วนเขาเป็เพียงชาวประมงธรรมดาๆ ที่มีปัญหาทางสายตา ช่างดูไม่คู่ควรกันเลยแม้แต่น้อย
"ท่านพี่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือเ้าคะ?"
อันซิ่วเอ๋อร์สังเกตเห็นว่าเขากำลังเหม่อลอย จึงใช้มือโบกไปมาตรงหน้าเขาเบาๆ
"ไม่มีสิ่งใด" จางเจิ้นอันดึงสติกลับคืนมา อันซิ่วเอ๋อร์ก็ลุกขึ้นยืน เก็บข้าวของบนโต๊ะให้เข้าที่ พลางกล่าวว่า "ข้าไปทำอาหารก่อนนะเ้าคะ ว่าแต่... พรุ่งนี้พวกเรากลับไปเยี่ยมบ้านข้ากันดีหรือไม่?"
“สมควรยิ่งนัก เราต้องไปแสดงความขอบคุณท่านพ่อตาท่านแม่ยายให้มากๆ” จางเจิ้นอันพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินเขาตอบรับโดยง่ายดาย ก็อมยิ้มแล้วหันกายเดินเข้าครัวไป อันที่จริง จาก่เวลาที่อยู่ด้วยกันมา นางคิดว่าตนเองพอจะเข้าใจอุปนิสัยของเขาได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว ทราบดีว่าข้อเรียกร้องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ เขาคงไม่อาจปฏิเสธนางได้ และก็เป็ไปตามที่นางคาดการณ์ไว้จริงๆ
ยามค่ำคืน หลังอาหารเย็นผ่านพ้นไป อันซิ่วเอ๋อร์เก็บล้างถ้วยชามเรียบร้อยแล้ว ก็เห็นจางเจิ้นอันนั่งอยู่เฉยๆ ที่หน้าประตู ไม่ได้ทำสิ่งใด ในใจนางพลันเกิดความคิดสนุกๆ ขึ้นมา นางแอบไปดึงหญ้าคาแห้งจากในครัวมาหนึ่งกำ ซ่อนมือไว้ด้านหลัง แล้วค่อยๆ เดินย่องเข้าไปหาเขา จางเจิ้นอันเห็นนางแย้มสรวลเดินเข้ามาใกล้ ท่วงท่าอ่อนช้อยงดงาม สายตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะฉายแววลุ่มหลงออกมาจางๆ
"ท่านพี่ พวกเรามาทำอะไรสนุกๆ กันดีหรือไม่เ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา จ้องมองเขาด้วยสายตาหวานเชื่อม
"อะไรสนุกๆ?" คำพูดของอันซิ่วเอ๋อร์ช่างแฝงความนัย
จางเจิ้นอันกวาดสายตามองนางั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า ท่าทางออดอ้อนประจบประแจงของนางในสายตาเขาตอนนี้ล้วนดูเป็การเชื้อเชิญอย่างเปิดเผย
หืม? หรือว่าแม่นางผู้นี้ ในเื่อย่างว่า... กลับกลายเป็คนกระตือรือร้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ? หรือว่าเป็เพราะเมื่อคืนเขานุ่มนวลต่อนางเกินไป นางจึงยังไม่อิ่มเอมใจ?
"ก็ดีสิ!" เมื่อมีสาวงามมาเชื้อเชิญถึงที่ มีหรือที่เขาจะปฏิเสธได้
จางเจิ้นอันจึงรีบยื่นมือออกไปหมายจะคว้าข้อมือนาง ดึงนางมานั่งบนตัก ทว่าจังหวะที่มือเขาคว้าหมับเข้าที่มือนาง แรงดึงนั้นทำให้นางเสียหลักเล็กน้อย กำหญ้าคาแห้งกรอบในมืออีกข้างที่ซ่อนไว้ก็พลันสะบัดขึ้น ฟาดเข้าที่สันจมูกของเขาอย่างจัง ทำให้เขาจามออกมาติดๆ กันหลายครั้ง
เขาลูบจมูกตัวเองป้อยๆ มองดูนางที่กำลังยืนหัวเราะคิกคักพลางพยายามกลั้นขำอยู่ตรงหน้า ความคิดพิศวาสที่เพิ่งก่อตัวขึ้นเมื่อครู่ ก็พลันอันตรธานหายไปจนสิ้น
"ที่เ้าว่าสนุก... คือการเล่นหญ้าคาเนี่ยนะ?"
ก่อนหน้านี้จางเจิ้นอันยังรู้สึกว่านางเติบโตเป็ผู้ใหญ่ มีความคิดความอ่านเป็เื่เป็ราวอยู่หรอก แต่ยามนี้เห็นนางกำหญ้าคามากำมือหนึ่งแล้วบอกว่าจะมาทำ ‘สิ่งสนุกๆ’ กับเขา ก็รู้สึกว่านางยังคงมีมุมที่เป็เด็กน้อยซุกซนอยู่ไม่น้อย ดูท่าว่าเขาคงจะคิดลึกไปเองเสียแล้ว
"ใช่แล้วเ้าค่ะ วันนี้ข้าเพิ่งนึกออกว่าหญ้าคานี่มีประโยชน์มากมายนัก"
อันซิ่วเอ๋อร์ยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งลงตรงหน้าเขา พลางกล่าวว่า "ท่านดูนะเ้าคะ หญ้าคาเนี่ย นอกจากจะใช้เป็เชื้อไฟได้แล้ว ยังเอามาสานเป็ของเล่นน่ารักๆ ได้อีกด้วย"
นางพูดไปพลาง มือก็ขยับสานหญ้าคาไปด้วยอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก ในมือของนางก็ปรากฏร่างของตั๊กแตนสานตัวหนึ่งที่ดูเหมือนจริงอย่างยิ่ง นางประคองมันด้วยสองมือ ยื่นส่งให้เขา พลางกล่าวว่า "นี่เ้าค่ะ ข้ามอบให้ท่าน"
"มอบแมลงให้ข้าตัวหนึ่ง?" จางเจิ้นอันถึงกับหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือของนางช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ราวกับมีเวทมนตร์ สามารถเปลี่ยนของธรรมดาให้กลายเป็สิ่งสวยงามได้
เพียงแต่เขานึกเสียดายอยู่บ้าง หากคนที่มีฝีมือเช่นนี้เป็ตัวเขาเอง บางทีเขาอาจจะประดิษฐ์สิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้มาเอาใจให้นางเบิกบานได้ แต่วันนี้ ตัวเขาซึ่งเป็บุรุษอกสามศอกกลับต้องมารับของขวัญเป็แมลงสานเช่นนี้ ในใจจึงรู้สึกกระดากอยู่บ้าง
อืม... ประหลาดก็ประหลาดไปเถอะ เขาเอื้อมมือไปรับตั๊กแตนสานตัวนั้นมาถือไว้ กล่าวว่า "เอาล่ะ ในเมื่อเป็ของที่เ้ามอบให้ ข้าก็จะรับไว้"
"ท่านชอบก็ดีแล้วเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ชี้ไปยังกองหญ้าคาที่เหลืออยู่บนพื้น กล่าวต่อว่า "มา มา ต่อไปข้าจะสอนท่านสานตั๊กแตนดูบ้าง รอวันหน้าพวกเรามีลูก ท่านในฐานะบิดาก็จะได้แสดงฝีมือให้ลูกๆ ดู"
"ลูก?" จางเจิ้นอันหัวเราะฝืดๆ รู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าลูกนั้น ยังดูห่างไกลจากชีวิตของเขาในตอนนี้นัก
"ใช่แล้วเ้าค่ะ ลองคิดดูสิ หากท่านทำอะไรเก่งๆ ได้ ลูกๆ ก็จะต้องชื่นชมท่านอย่างแน่นอน เหมือนกับข้าไม่มีผิด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็สิ่งที่ท่านพ่อเคยสอนข้า ตอนเด็กๆ ข้าจึงชื่นชมท่านพ่อมาก รู้สึกว่าท่านเก่งกาจ สามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง"
อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พร้อมกับยัดหญ้าคาใส่มือเขา
นางเองก็หยิบหญ้าคาขึ้นมาสองสามเส้น กล่าวว่า "มาเ้าค่ะ ดูให้ดีนะ"
นางพูดพลางก็ลงมือสาธิตให้ดู จางเจิ้นอันตอนแรกเห็นท่าทีจริงจังของนางเช่นนี้ ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ทว่านางกลับตั้งอกตั้งใจสอน คอยดูว่าเขาสานถูกหรือไม่ หากทำผิดพลาดก็ช่วยแก้ไขให้ ด้วยเหตุนี้ แม้จะเงอะงะอยู่บ้าง แต่เขากลับสามารถสานตั๊กแตนรูปร่างบูดๆ เบี้ยวๆ ขึ้นมาได้ตัวหนึ่งจนสำเร็จ
"ท่านพี่ท่านมือไวมาก ข้าสอนเพียงครั้งเดียวท่านก็ทำได้แล้ว ดูท่าท่านจะมีพร์ในด้านนี้เหมือนกันนะเ้าคะ"อันซิ่วเอ๋อร์เม้มปากยิ้มอย่างพอใจ พลางกล่าวต่อไปว่า "เอ... หญ้าคานี่ นอกจากจะสานเป็ตั๊กแตนได้แล้ว ยังสานเป็รองเท้าแตะได้ด้วยเ้าค่ะ พวกเรามาลองสานรองเท้าแตะกันดีหรือไม่เ้าคะ?"
จางเจิ้นอันได้ยินดังนั้นก็พลันหรี่ตามองนางอย่างรู้ทัน เ้าเห็นข้าเป็คนโง่หรืออย่างไรกัน? ข้าว่านี่ต่างหากคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของเ้า!
"ท่านว่าอย่างไรเ้าคะ? อย่างไรเสียก็ยังเหลือหญ้าคาอีกตั้งมากมาย ข้าจะไปขนมาจากในครัวเพิ่มอีก" นางกล่าวอย่างกระตือรือร้น ทำท่าจะลุกเดินไปยังลานหลังบ้าน
จางเจิ้นอันมองดูท่าทางกระวีกระวาดของนาง รอจนนางกลับมาพร้อมกับกองหญ้าคาอีกกองใหญ่ เขาก็ถึงกับเปลือกตากระตุก กล่าวถามเสียงเรียบว่า "เ้าคงไม่ได้หมายมั่นปั้นมือจะให้ข้าเรียนสานรองเท้าแตะ เพื่อเป็อาชีพหาเลี้ยงชีพหรอกกระมัง?"
"จะใช่ได้อย่างไรกันเ้าคะ"
อันซิ่วเอ๋อร์รีบสั่นศีรษะปฏิเสธ กล่าวว่า "ข้าเพียงแค่อยากจะมีกิจกรรมอดิเรกทำร่วมกับท่านบ้างเท่านั้นเอง ยามที่ข้าสานรองเท้าแตะ ท่านก็จะได้อยู่เป็เพื่อนข้า ท่านลองคิดดูสิ พวกเรานั่งสานรองเท้าแตะด้วยกันไป พูดคุยกันไป ดีกว่าที่ท่านจะมานั่งเหม่ออยู่หน้าประตูคนเดียวตั้งเยอะ ไม่สนุกกว่าหรือเ้าคะ?"
"ที่เ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล แต่ข้ายังไม่ได้สนใจในเื่นี้" จางเจิ้นอันปฏิเสธเสียงแข็ง ให้เขาไปหาปลา ผ่าฟืน ทำไร่ไถนา เขาลุยได้ทั้งสิ้น แต่ให้เขามานั่งจุ้มปุ๊กสานรองเท้าแตะเนี่ยนะ? เขานึกภาพตัวเองหาบรองเท้าแตะเป็พวงๆ ไปเร่ขายตามตลาดไม่ออกจริงๆ เพียงแค่คิดก็รู้สึกขนลุกขนพองไปทั้งตัวแล้ว
"เช่นนั้นก็แล้วไปเ้าค่ะ ข้าทำเองก็ได้ ท่านช่วยคอยส่งหญ้าคาให้ข้าก็แล้วกัน ตกลงไหมเ้าคะ?"
อันซิ่วเอ๋อร์ยอมลดราวาศอกลงเล็กน้อย สั่งงานเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า "ตอนนี้ท่านช่วยข้าดึงแกนในของหญ้าคาเหล่านี้ออกมาก่อน ข้าจะได้เริ่มสานรองเท้าเสียที"
"ข้าก็ไม่ได้จะสวม เ้าทำไปจะมีประโยชน์อันใด?" จางเจิ้นอันรู้สึกว่าเขาต้องดับความคิดนี้ของนางลงให้จงได้
"วันนี้ข้าทำรองเท้าฟางให้พี่รองของข้าแล้ว พี่สะใภ้รองของข้าก็ต้องมีด้วยสิเ้าคะ จะละเลยนางไปได้อย่างไร" อันซิ่วเอ๋อร์แย้มยิ้มหวานอีกครั้ง
จางเจิ้นอันจำต้องก้มหน้ารับชะตากรรม นั่งลงช่วยนางจัดการกับกองหญ้าคาเ่าั้ คอยดึงแกนในที่อ่อนนุ่มส่งให้นางทีละเส้น
แต่เดิมเขาคิดว่าการสานรองเท้าแตะจากหญ้าคาก็คงเป็งานง่ายๆ เบาๆ เหมือนกับการสานตั๊กแตนเมื่อครู่ แต่พอนั่งมองดูนางทำไปเรื่อยๆ เขาก็พบว่างานนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิดเลย ในแต่ละจุดที่สาน นางต้องออกแรงดึงอย่างมหาศาลเพื่อให้รองเท้าแตะที่ได้นั้นแน่นและละเอียด จางเจิ้นอันสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนฝ่ามือขาวผ่องของนาง ปรากฏรอยแดงเป็ทางยาวจากการเสียดสี
รอจนนางสานรองเท้าแตะเสร็จไปข้างหนึ่ง และกำลังจะเริ่มสานข้างที่สอง เขาก็รวบกองหญ้าคาที่เหลือทั้งหมดเก็บไป กล่าวว่า "พอแล้ว ไม่ต้องสานต่อแล้ว"
"ทำไมล่ะเ้าคะ? เหลืออีกเพียงข้างเดียวเท่านั้น หากข้าไม่สานให้เสร็จ ก็เท่ากับทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ น่ะสิ!" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางก็เอื้อมมือไปหมายจะแย่งหญ้าคาคืนจากมือเขา
"ไม่ต้องสานแล้ว" จางเจิ้นอันกอดกองหญ้าคาเ่าั้ไว้แน่น เดินตรงไปยังลานหลังบ้าน
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขาทำเช่นนี้ ก็ร้อง "เอ๊ะ!" ออกมาอย่างขัดใจ รีบเดินตามไป กล่าวว่า "ทำไมกันเ้าคะ? ท่านไม่ยอมเรียนกับข้าไม่พอ ยังจะห้ามไม่ให้ข้าสานเองอีกหรือไร?"
"หญ้าคามันหยาบกระด้าง จะบาดมือเ้าเอาน่ะสิ" จางเจิ้นอันตอบเสียงเรียบ
"แต่ข้าก็เหลืออีกเพียงข้างเดียวเท่านั้นเองนะเ้าคะ!"
เดิมทีนางหมายมั่นจะหลอกล่อให้เขามาเรียนสานรองเท้าแตะด้วยกัน บัดนี้ไม่เพียงแต่แผนการจะล้มเหลว แม้แต่นางเองก็จะสานต่อให้เสร็จก็ยังไม่ได้อีกหรือ?
"ไม่ต้องให้แล้ว เ้าคิดว่าพี่สะใภ้รองของเ้าจะตั้งตารอรองเท้าแตะที่เ้าสานให้อย่างใจจดใจจ่อหรืออย่างไร? ข้าว่าหากเ้าอยากจะขอบคุณนางจริงๆ สู้ไปหาซื้อของขวัญเล็กๆ น้อยๆ หรือส่งปลาสดๆ ไปให้นางสักตัวยังจะดีกว่า"
กล่าวพลาง เขาก็หันกายเดินกลับเข้าเรือนไป ในมือยังคงถือรองเท้าแตะหญ้าคาข้างที่นางเพิ่งสานเสร็จติดมาด้วย
นางเดินตามเขาเข้าไป เห็นเขากลับเข้าห้องไปเปิดห่อผ้าที่นางเตรียมไว้สำหรับกลับบ้านเดิม เขาหยิบรองเท้าฟางที่นางเคยทำให้เขาออกมาจากห่อนั้น แล้วกล่าวเสียงเข้มว่า "รองเท้าฟางคู่นี้ เ้ามอบให้ข้าแล้ว ห้ามยกให้พี่รองของเ้าเด็ดขาด!"
"ท่านนี่ช่างเอาแต่ใจตัวเองนัก! ตัวท่านเองก็ไม่ชอบ ยังจะหวงก้าง ไม่ยอมให้ข้าส่งต่อให้ผู้อื่นอีกหรือ?" อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ
"ใครบอกว่าข้าไม่ชอบ? ในเมื่อเ้ามอบให้ข้าแล้ว ก็คือของๆ ข้า ห้ามส่งต่อให้ใครทั้งนั้น!" จางเจิ้นอันเถียงพลางก็นั่งลงบนขอบเตียง ถอดรองเท้าผ้าเก่าๆ ที่สวมอยู่ออก แล้วเปลี่ยนไปสวมรองเท้าฟางเปิดหน้าเท้าคู่นั้นแทน จากนั้นก็ลองเดินวนไปวนมาในห้องสองสามรอบ ทำท่าพึงพอใจอย่างยิ่ง กล่าวว่า "ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกว่ารองเท้าฟางนี่ก็ใส่สบายดีเหมือนกัน"
"ชิ!" อันซิ่วเอ๋อร์สะบัดหน้าไปอีกทาง ไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะบอกเองว่าไม่ชอบรองเท้าแบบนี้อย่างชัดเจน นางไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเขาจะเปลี่ยนใจได้รวดเร็วปานนี้ หรือว่าเขาจะเป็คนขี้อิจฉาจริงๆ? แม้กระทั่งเื่ที่นางจะส่งของบางอย่างให้พี่ชาย เขาก็ยังอิจฉาด้วยงั้นหรือ?
ทว่าในความเป็จริง เหตุผลที่จางเจิ้นอันเปลี่ยนใจนั้น เป็เพราะตอนแรกเขาไม่รู้เลยว่าการสานรองเท้าฟางหรือรองเท้าแตะนั้นมันยากลำบากเพียงใด ต้องออกแรงมากถึงเพียงนี้
แต่บัดนี้เขาได้เห็นกับตาแล้วว่ามันต้องใช้ทั้งแรงกายและความตั้งใจมากเพียงใด เขาจึงเกิดความรู้สึกเสียดายและหวงแหนรองเท้าฟางที่นางอุตส่าห์ทำให้อย่างแท้จริง แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมยกมันให้ผู้อื่นไปง่ายๆ อีกต่อไป
"เอาล่ะ รองเท้าฟางคู่นี้ ต่อไปข้าจะเก็บไว้ใส่เดินเล่นในบ้านหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วก็แล้วกัน"
จางเจิ้นอันเดินวนไปมาในห้องอีกรอบ แล้วก็เปลี่ยนกลับไปสวมรองเท้าผ้าเก่าๆ ของตนดังเดิม จวนจะค่ำแล้ว เขาต้องไปล้างหน้าล้างตา แต่ก่อนจะเดินออกจากประตูห้องไป ก็ไม่ลืมที่จะหันมากำชับอันซิ่วเอ๋อร์อีกประโยคว่า "นี่เป็รองเท้าของข้า ห้ามแอบเอาไปให้ใครเด็ดขาด แล้วก็ห้ามแอบสานรองเท้าแตะให้พี่สะใภ้รองของเ้าอีกนะ วันหน้าหากเ้ามีเวลาว่าง ก็ทำรองเท้าให้ตัวเองใส่เพิ่มอีกสักสองสามคู่ ส่วนของคนอื่นนั้น ไปหาซื้อเอาที่ตลาดก็พอแล้ว"
เขากล่าวจบ ร่างสูงใหญ่ก็หายลับไปที่หน้าประตู อันซิ่วเอ๋อร์ได้แต่มองตาม รู้สึกว่าเขาช่างเป็คนเอาแต่ใจตัวเองเสียจริง แต่ทว่า เมื่อนางก้มลงมองดูรอยแดงจางๆ บนฝ่ามือของตนเอง นางกลับรู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมาอย่างประหลาด ลองนวดคลึงฝ่ามือเบาๆ รอยแดงเหล่านี้ดูเหมือนน่ากลัว แต่เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ได้เ็ปอันใดเลย
เดิมทีนางคิดจะทำตามที่เขาบอก คือพักผ่อนอยู่ในห้องเฉยๆ แต่ทว่านางกลับเป็คนประเภทที่อยู่นิ่งๆ ไม่เป็ นั่งไปได้ไม่นาน ก็เริ่มลุกขึ้นมาเช็ดโต๊ะเช็ดม้านั่ง จัดข้าวของให้เข้าที่ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหยิบกระจาดเครื่องมือเย็บปักถักร้อยออกมา
ช่างเถิด อย่าหาเื่ให้วุ่นวายใจเลย การนั่งปักผ้าเช็ดหน้าเพิ่มอีกสักสองสามผืน น่าจะคุ้มค่ากว่าการไปนั่งสานรองเท้าแตะให้เมื่อยมือเปล่าๆ ส่วนเขาน่ะหรือ... ปกติก็ทำตัวตามสบาย ไม่ค่อยคิดเล็กคิดน้อยเช่นนั้นอยู่แล้ว ก็ปล่อยให้เขาเป็เช่นนั้นต่อไปเถอะ บางทีเขาอาจจะมีความสุขที่ได้ทำตามใจตัวเองแบบนั้นก็ได้
