“จงอย่าละอายต่อการสำนึกตน”
ซูฉางอันท่องคำๆ นี้ซ้ำๆ ในใจเขาขมวดคิ้วมุ่น เดินเหม่อไปหยุดอยู่ที่ลานฝึกอย่างลืมตัว
เพราะเสียเวลากับอวี้เหิงไปเล็กน้อยเมื่อมาถึง ฉู่ซีฟงก็กอดดาบ และยืนรอได้สักพักแล้วสายลมในเดือนสามพัดลูบเส้นผมยุ่งเหยิงของฉู่ซีฟง เผยให้เห็นคิ้วที่กำลังขมวดมุ่นเป็ปมซูฉางอันจึงเดาได้ไม่ยากว่าคนตรงหน้ารู้สึกหงุดหงิดเต็มทีแล้ว
เมื่อรับรู้ได้ดังนั้นซูฉางอันก็สะดุ้งใ รีบวิ่งเข้าไปหาฉู่ซีฟงทันที
“มาแล้วรึ?” ยังไม่ทันที่ซูฉางอันจะได้กล่าวอธิบายฉู่ซีฟงก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“อืม” ซูฉางอันก้มหน้าลงต่ำ พลางตอบด้วยเสียงแ่เบาแม้จะรู้สึกเคารพยกย่องฉู่ซีฟงมากแต่ก็ยังอดรู้สึกหวาดกลัวผู้ชายที่ทั้งเ็าและเข้มงวดคนนี้ไม่ได้อยู่ดี
“เริ่มฝึกกันเถอะ” น่าเหลือเชื่อที่ในครั้งนี้ฉู่ซีฟงไม่ได้ลงโทษเขา แต่กลับตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับการสอนวิชาในวันนี้แทน
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ซูฉางอันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแต่อย่างไรเสีย การไม่ต้องถูกลงโทษก็เป็เื่ดีเขาไม่ได้โง่จนถึงกับตามถามถึงสาเหตุหรอกนะ
สำหรับซูฉางอันแล้ว การฝึกวิชาดาบนับเป็เื่ที่จริงจังมาก ดังนั้นเขาจึงเก็บความคิดอื่นๆ และความรู้สึกต่างๆบนใบหน้ากลับไปทันที ซูฉางอันชักดาบบนหลังออกมาพลันใบหน้าก็เย็นะเืลงอย่างฉับพลัน
“หือ? ไม่เลวเลยนี่ ดูเหมือนการต่อยตีตลอดสองวันมานี้จะไม่เสียเปล่าเลยน่าสนใจจริงๆ” ฉู่ซีฟงยกมุมปากขึ้นพลางกล่าว
ทว่าซูฉางอันกลับทำราวกับไม่ได้ยินเขาคำรามเสียงดังลั่น จากนั้นก็ะโขึ้นสูงะเิพลังแห่งดาบและเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมาปกคลุมร่างเอาไว้อย่างมิดชิดในเสี้ยววินาที
ฉู่ซีฟงประกายลำแสงบางอย่างออกมาทางดวงตาเขาดูออก ว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา ซูฉางอันมีทักษะทางดาบก้าวหน้าขึ้นมาก
แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิดเพราะแม้จะกดพลังในตัวให้มีระดับอยู่เพียงระดับเก้าดาราแล้วแต่ฉู่ซีฟงก็มีทั้งประสบการณ์ด้านการต่อสู้ที่โชกโชนรวมไปถึงความเข้าใจที่มีต่อทักษะแห่งดาบในระดับสูงซึ่งอยู่เหนือกว่าซูฉางอันเป็อย่างมาก ดังนั้น หลังรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยร่างของเขาก็หายวับไปจากที่เดิมทันที เพียงเท่านั้นฉู่ซีฟงก็หลบจากการโจมตีอันแสนเฉียบคมของซูฉางอันไปได้แล้ว
เสียงหนึ่งดังกระหึ่มขึ้นส่งผลให้พื้นหินอ่อนของลานฝึกยุทธ์มีรอยแยกปรากฏขึ้นหลายแห่งพร้อมกัน
“หากเ้ายังใช้กระบวนท่านี้เป็แค่ท่าเดียวต่อให้ในอนาคต พลังของเ้าจะอยู่ในระดับเก้าดาราแล้วก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ทำอันตรายข้าไม่ได้อยู่ดี “ฉู่ซีฟงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เื่เช่นนี้เกิดขึ้นทุกวันนับั้แ่วันแรกที่เขาเริ่มฝึกดาบเลยก็ว่าได้เพราะเขาใช้เป็เพียงการเหวี่ยงฟันซึ่งเป็กระบวนท่าเพียงหนึ่งเดียวที่มั่วทิงอวี่เคยสอนเท่านั้นทว่ากระบวนท่าที่ฉู่ซีฟงสอนนั้น เขายังใช้ไม่เป็แม้แต่ท่าเดียวแต่นั่นก็ไม่ใช่เื่แปลกอะไรเพราะกระบวนท่าของฉู่ซีฟงซับซ้อนและลึกล้ำเป็อย่างมาก ในหนึ่งกระบวนท่าของเขามีวิธีการขับเคลื่อนพลังิญญา ความเร็วในการเหวี่ยงดาบใช้แรงมากและน้อยในการลงดาบผสมอยู่ซึ่งนักดาบต้องแสดงทั้งหมดออกมาพร้อมกันให้ได้ในครั้งเดียวไม่ใช่เื่ง่ายอย่างที่ตาเห็นเลยสักนิด
แน่นอนว่านั่นไม่ได้แปลว่าท่าเหวี่ยงฟันของมั่วทิงอวี่สู้กระบวนดาบของฉู่ซีฟงไม่ได้แต่อย่างไรเสีย ซูฉางอันก็ฝึกท่าเหวี่ยงฟันมานานถึงสองปีเต็มๆ แล้ว จนต่อมาตอนเดินทางผ่านเขาโยวหยุน เพราะพลังแห่งดาบและปราณดาราที่มั่วทิงอวี่ทิ้งเอาไว้ให้ ทำให้เขาฝืนแสดงท่านั้นออกมาได้ในที่สุดแต่ท่าเหวี่ยงฟันที่เขาแสดงออกมากลับมีพลังอ่อนด้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับตอนที่มั่วทิงอวี่เป็ผู้แสดงออกมา
คำพูดของฉู่ซีฟงปลุกให้ความอยากเอาชนะของซูฉางอันะเิขึ้นมาอีกครั้ง เขากัดฟันกรอดจากนั้นก็คำรามด้วยเสียงแ่ เส้นเืที่ท่อนแขนบวมปูดขึ้นในพริบตาดาบในมือถูกลากไปกับพื้นหินเบื้องล่างจนเกิดเป็เสียงครืดคราดก่อนตัวดาบจะถูกเหวี่ยงเข้าใส่ฉู่ซีฟงอย่างแรง
ฉู่ซีฟงเลิกคิ้วขึ้นราวเป็การชื่นชมขณะที่ปากก็ยังเอาแต่พูดเย้ยหยันขึ้นไม่หยุด “ช้าเกินไป! ”
ฉู่ซีฟงยกขาซ้ายขึ้นก่อนจะเคลื่อนปลายเท้าอย่างรวดเร็ว
กระบวนท่าแรกฉู่ซีฟงถีบปลายเท้าลงที่ข้างตัวดาบของซูฉางอัน ทำให้ซูฉางอันถึงกับผงะ
กระบวนท่าที่สองเท้าของเขาเหยียบลงบนมือที่กำลังถือดาบของซูฉางอันความเ็ปจึงปะทุขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ซูฉางอันกระตุกริมฝีปากด้วยความเ็ปทันที
กระบวนท่าที่สาม เขาดึงเท้ากลับมาก่อนจะถีบเสยขึ้นไปทาง้าอย่างแรงส่งผลให้ดาบของซูฉางอันลอยกระเด็นออกไปจากมือทันที
เคร้ง... เสียงหนึ่งกังวานขึ้นเป็จังหวะเดียวกับที่ดาบของซูฉางอันร่วงลงบนพื้นดินด้านหลัง
ซูฉางอันจมเข้าสู่ความตกตะลึงแม้ตอนนี้ฉู่ซีฟงกดพลังในตัวลง จนมีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราเท่านั้น
...สองวันที่ผ่านมานี้ซูฉางอันเอาชนะนักรบที่มีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราไปตั้งเท่าไรต่อเท่าไรแล้วทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฉู่ซีฟง เขากลับอ่อนแอมากเหลือเกินวินาทีที่ดาบร่วงลงบนพื้นดินความได้ใจที่เพิ่งเริ่มประกายออกมาในหัวใจก็ถูกทำลายลงจนไม่มีเหลือแล้ว
เขายืดตัวยืนขึ้นด้วยท่าทางท้อแท้จากนั้นก็นวดมือขวาที่ถูกเหยียบจนแดงเถือกเบาๆ ซูฉางอันมองไปที่ฉู่ซีฟงพลางพูดด้วยเสียงแ่เบา “ขอโทษขอรับท่านผู้าุโฉู่ ฉางอันยังใช้กระบวนท่าพวกนั้นไม่เป็อยู่ดี”
แต่ในครั้งนี้ ฉู่ซีฟงกลับไม่ได้ดุด่าหรือตำหนิอย่างที่เขาเคยคาดเอาไว้ แต่กลับยื่นฝ่ามือใหญ่มาลูบหัวซูฉางอันแล้วพูดขึ้นแทน “หากยังไม่เป็ก็แค่ต้องฝึกต่อไปเท่านั้น”
ซูฉางอันแหงนหน้าขึ้นอย่างตกตะลึงเขารู้สึกว่าฉู่ซีฟงในวันนี้แตกต่างไปจากเดิมมาก จึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ท่านไม่โกรธข้ารึขอรับ?”
ฉู่ซีฟงปรายตามองเขาแวบหนึ่งจากนั้นจึงพูดขึ้น “โกรธเ้างั้นรึ? เ้าเรียนวิชาไม่ได้เองเกี่ยวอะไรกับข้า? เหตุใดข้าต้องโกรธเ้าด้วย?”
คำพูดของฉู่ซีฟงไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไรแต่ซูฉางอันรับรู้ได้ถึงความเป็ห่วงเป็ใยในน้ำเสียงของเขา ซูฉางอันหัวเราะแห้งๆออกไปเล็กน้อย จากนั้นก็เก็บดาบที่ตกอยู่บนพื้นดินขึ้นมาแล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ในระนาบเดียวกันกับฉู่ซีฟง
สายลมพัดผ่าน ลูบให้ชายเสื้อของคนทั้งสองโบกไสวซูฉางอันมองดูสวนที่เต็มไปด้วยแมกไม้เขียวขจีตรงหน้ามองดูสำนักเทียนหลานที่แลดูอุดมสมบูรณ์ทว่าแท้จริงกลับเต็มไปด้วยความเงียบเหงาตรงหน้า จากนั้นจึงถามขึ้นอีกครั้ง
“ท่านผู้าุโฉู่ทำไมข้าถึงฝึกกระบวนท่าที่ท่านสอนไม่สำเร็จเสียทีขอรับ?” เขาเคยถามคำถามนี้กับอวี้เหิงมาก่อนเช่นกันและอวี้เหิงก็ให้คำตอบกับเขาแล้ว แต่เพราะคำตอบนั้นลึกลับซับซ้อนมากเกินไปเขาไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงอยากลองฟังคำตอบของฉู่ซีฟงดูอีกที
ฉู่ซีฟงชะงักนิ่งไปเล็กน้อยเหมือนจะนึกบางอย่างที่ไม่อยากจดจำขึ้นมาได้ หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งในที่สุดเขาก็พูดขึ้น “เ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็ผู้คิดค้นกระบวนดาบของข้า?”
“ใครกันหรือขอรับ?”
“ท่านปู่ของข้า นักรบแห่งดาราจักร...นภาหมอง ฉู่ต้วนเยว่”
ซูฉางอันคำนวณขึ้นในใจ ตอนนี้เผ่ามนุษย์มีนักรบแห่งดาราจักรที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหมดเจ็ดคนด้วยกันได้แก่มหาจักรพรรดิแห่งแผ่นดินต้าเว่ย อวี้เหิงกับไคหยางแห่งสำนักเทียนหลานนักพรตไท่ไป๋แห่งหอชมดาว ประมุขแห่งตระกูลกู่ในดินแดนทางเหนือ-กู่ชิงฟงปรมาจารย์สายประบี่แห่งเขาสู่ซาน-เยี่ยนกุยชิว และราชันนักสู้แห่งเหลียงโจจากดินแดนตะวันตก-ฝูซันเชียนแต่ในรายชื่อของคนเหล่านี้ กลับไม่มีชื่อของนภาหมอง-ฉู่ต้วนเยว่อยู่ด้วย จู่ๆซูฉางอันก็เข้าใจในอะไรบางอย่าง เขาก้มหน้าลงต่ำ และเงียบไปในทันที
ฉู่ซีฟงเห็นท่าทางที่ซูฉางอันแสดงออกมาอย่างชัดเจนเขาประกายรอยยิ้มขื่นขมออกมาทางใบหน้าที่เย็นะเืประดุจน้ำแข็งของตัวเองจากนั้นจึงกล่าวขึ้น “เขาตายไปแล้วตายไปั้แ่ตอนที่ข้ายังมีอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น”
“เขามอบวิชาดาบกับปราณดาราที่มีให้ข้าดังนั้น ข้าก็เป็เหมือนเ้า เป็ผู้สืบทอดของนักรบแห่งดาราจักร”
“วิชาของนักรบแห่งดาราจักรย่อมยากต่อการฝึกอยู่แล้ว เพราะข้าเองก็ไม่ใช่คนฉลาดอะไร ดังนั้น ในตอนนั้นข้าจึงโดนท่านปู่ลงโทษอยู่เป็ประจำ” เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ฉู่ซีฟงก็หันกลับไปหาซูฉางอัน จากนั้นจึงกล่าวขึ้นอีก “แต่เมื่อท่านปู่ตายท่านก็มอบปราณดาราให้ข้า ด้วยพลังในปราณดาราของเขา ข้าจึงรับรู้ได้ถึงวิชาดาบและเส้นทางแห่งพลังของเขา จึงก้าวมาถึงทุกวันนี้ได้ ก็เหมือนกับมั่วทิงอวี่หากไม่มีปราณดาราของเขา ต่อให้จะฝึกอีกสี่หรือห้าปีเ้าก็อาจยังไม่ได้แม้แต่เสี้ยวของเขาเลยด้วยซ้ำ”
ซูฉางอันฟังออกว่าฉู่ซีฟงกำลังพูดปลอบใจเขาแต่ดูเหมือนการปลอบใจเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ซูฉางอันรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิดเพราะในที่สุด เขาก็เข้าใจเสียทีว่าที่ตนฝึกท่าเหวี่ยงฟันของมั่วทิงอวี่ได้เป็เพราะได้รับการสืบดาราจากมั่วทิงอวี่เท่านั้น ทว่าความพยายามของเขากลับมีผลน้อยมากเหลือเกิน มากจนแทบจะมองไม่เห็นเลยก็ว่าได้
ดังนั้น เขาจึงก้มหน้าลงต่ำแล้วนิ่งเงียบไปอีกครั้ง
ฉู่ซีฟงเองก็ััได้ว่าดูเหมือนการปลอบใจของตนจะส่งผลตรงกันข้ามเสียแล้ว เดิมทีเขาก็พูดไม่เก่งอยู่แล้ว นี่เป็ครั้งแรกที่เขาตั้งใจจะพูดปลอบใจใครสักคนแบบนี้จึงไม่ได้คิดให้รอบคอบก่อนพูดออกไป
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “แต่เ้ามีพร์ด้านวิชากระบี่ไม่เบาเลยวิชากระบี่ของท่านอวี้เหิงถือเป็วิชาที่ล้ำเลิศและยอดเยี่ยมมากนอกจากเยี่ยนกุยชิวแห่งเขาสู่ซานแล้วเกรงว่าคงไม่มีใครในโลกที่จะต้านทานมันเอาไว้ได้อีก ทว่าเ้ากลับเรียนรู้มันได้รวดเร็วยิ่งนักทั้งยังล้ำหน้ากว่าฟ่งอวี้เสียอีก เด็กคนนั้นน่ะแม้นางจะมีนิสัยดื้อรั้นซุกซนไปหน่อยแต่นางก็นับเป็ยอดอัจฉริยะที่หาได้ยากในบรรดาคนรุ่นหลังเชียวนะแม้ข้าจะอยู่ไกลถึงดินแดนตะวันตกแต่ข้าก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของนางมามากเหมือนกันหากนางทุ่มความตั้งใจไปที่วิชากระบี่ล่ะก็ ในอนาคต นางต้องไปได้ไกลมากแน่แต่ตอนนี้เ้ากับนางกลับมีความสามารถด้านวิชากระบี่ที่กินกันไม่ลงแค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้ว ว่าเ้ามีพร์เื่ศาสตร์แห่งกระบี่มากขนาดไหน”
นี่น่าจะเป็การชื่นชมที่ดี ฉู่ซีฟงคิดเช่นนั้นแม้เขาจะเข้มงวดมาก แต่ความจริงแล้ว เขาชอบเ้าเด็กซูฉางอันคนนี้มากเลยทีเดียวแม้ซูฉางอันจะใสซื่อ และไม่เข้าใจเื่ทางโลกเอาเสียเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังอีก ทว่าเมื่อยามวัยแรกรุ่น ใครบ้างไม่เป็เช่นนี้? วัยรุ่นก็เป็เหมือนลูกวัวที่ไม่กลัวเสือขย้ำหากไม่ถึงทางตัน ก็ไม่มีวันหันหัวกลับ
ตอนนี้ฉู่ซีฟงไม่ใช่เด็กหนุ่มวัยรุ่นเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วแต่นั่นก็ไม่ได้เป็อุปสรรคที่จะขัดขวางไม่ให้เขารู้สึกชอบซูฉางอันเด็กหนุ่มที่เป็เหมือนตนในวัยหนุ่มเลยสักนิด
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงก็คือคำชมของเขาไม่ได้ทำให้ซูฉางอันรู้สึกดีใจ หรืออารมณ์ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“แต่ข้าชอบดาบนี่ขอรับ” ซูฉางอันพูดขึ้นเช่นนั้น เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฉู่ซีฟง น้ำเสียงของเขาเบามากทว่าก็มีความมุ่งมั่นอยู่เต็มเปี่ยม “ข้าชอบท่านอาจารย์และชอบท่านผู้าุโด้วย พวกท่านทั้งสองคนต่างก็มีอาวุธเป็ดาบดังนั้นข้าจึงอยากจะใช้ดาบเป็อาวุธด้วยเช่นกันข้าเองก็อยากเป็นักดาบเหมือนพวกท่าน”
ช่างเป็เหตุผลที่เรียบง่ายอะไรเช่นนี้เรียบง่ายมาก จนแทบเข้าขั้นไร้สาระเลยทีเดียว
แต่ฉู่ซีฟงกลับชะงักอึ้งไปเขามองเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่มีรูปร่างค่อนข้างผอมตรงหน้าอย่างอึ้งๆ ผ่านไปนาน จู่ๆความเย็นะเืบนใบหน้าของเขาก็สลายหายไปอย่างกะทันหัน เขากล่าวถามขึ้น “ฉางอันเ้ารู้ไหมว่าเมื่อนักรบแห่งดาราจักรตายลง พวกเขาจะไปที่ไหน?”
ซูฉางอันไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรฉู่ซีฟงจึงถามคำถามนี้ออกมาแต่เขาก็ตอบกลับไปอย่างจริงใจ “ได้ยินมาว่าหลังตาย ร่างของนักรบแห่งดาราจักรจะถูกฝังอยู่ในโลกทว่าดวงิญญาของพวกเขาจะกลับเข้าสู่ทะเลแห่งหมู่ดาว”
“แต่ข้าไปที่นั่นไม่ได้” ฉู่ซีฟงหันกลับไปอีกทางแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน ตอนนี้ยังเป็เวลากลางวันเมฆครึ้มบนท้องนภาบดบังแสงอาทิตย์ไปบางส่วน ดังนั้น แม้ท้องฟ้าจะสว่างเจิดจ้าแต่ก็ไม่ได้แสบตาสักเท่าไร “แม้ข้าจะได้เป็นักรบแห่งดาราจักรข้าก็ไปที่นั่นไม่ได้อยู่ดี”
ซูฉางอันแหงนหน้าขึ้นแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้าตามฉู่ซีฟงอย่างลืมตัว นอกจากเมฆสีขาวท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากนี้ “เพราะอะไรหรือขอรับ?” ซูฉางอันถามอย่างสงสัย
“เพราะข้าเลือกเดินทางของท่านปู่ไม่ใช่เส้นทางของตัวข้าเองยังไงล่ะ เหตุนี้ หากสามารถจุดชีพดาราขึ้นมาได้ก็จริงแต่ชีพดาราดวงนั้นย่อมเป็ชีพดาราที่ท่านปู่ทิ้งเอาไว้อยู่แล้วนั่นเป็ชีพดาราของเขา ไม่ใช่ของข้า” ฉู่ซีฟงกล่าวอย่างขมขื่น “เมื่อไม่มีเส้นทางแห่งพลังเป็ของตัวเองย่อมไม่มีชีพดาราเป็ของตัวเองด้วยเช่นกัน เมื่อไม่มีชีพดาราแล้วจะเดินทางไปที่ทะเลแห่งหมู่ดาวนั่นได้อย่างไรล่ะ?”
นี่เป็ครั้งแรกที่ซูฉางอันได้ฟังเื่เช่นนี้หลังชะงักอึ้งไปสักพัก ในที่สุดเขาจึงถามขึ้นอีกครา “เช่นนั้น ทำไมท่านไม่เลือกเดินเส้นทางของตัวเองล่ะทำไมไม่จุดประกายชีพดาราของตัวเอง?”
ฉู่ซีฟงส่ายหน้า “เพราะคนตระกูลฉู่รอต่อไปไม่ไหวแล้วพวกเขา้านักรบแห่งดาราจักรและข้าก็คือคนที่ต้องกลายเป็นักรบแห่งดาราจักรให้ได้”
ซูฉางอันไม่รู้ว่าทำไมตระกูลฉู่ถึง้านักรบแห่งดาราจักรแต่เขารู้สึกว่าเื่นี้ไม่ถูกต้อง จึงกล่าวขึ้น “แบบนั้นไม่...”
“ไม่ถูกต้องใช่ไหม?” ฉู่ซีฟงปรายตามาที่เขาแล้วพูดต่อประโยคอย่างกะทันหัน
ซูฉางอันนึกถึงคำพูดที่อวี้เหิงบอกกับเขาภายในห้องเมื่อครู่จึงหน้าแดงขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ในที่สุดก็ยังพยักหน้า แล้วตอบกลับไปดังนี้ “ใช่ ข้าว่ามันไม่ถูกต้อง”
ฉู่ซีฟงหัวเราะขึ้นแต่เพราะไม่อยากพูดเื่นี้ต่อไปอีก จึงพูดขึ้นดังนี้ “เมื่อสิบสองปีก่อนหลังเหยากวงอาจารย์ปู่ของเ้าตายไป ดาวเหยากวงก็ไม่มีแสงสว่างขึ้นอีกเลย...แต่เมื่อกลายเป็นักรบแห่งดาราจักรชีพดาราที่มั่วทิงอวี่จุดขึ้นกลับไม่ใช่ดาวเหยากวง เมื่อลองคิดเช่นนี้แล้วดูเหมือนเขาจะเลือกเดินทางของตัวเองไปแล้ว ลำพังแค่เื่นี้เขาก็เหนือกว่าข้าไปมากแล้ว”
เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ฉู่ซีฟงก็ชะงักนิ่งไปอีกครั้ง ก่อนจะมองมาที่ซูฉางอัน แล้วถามขึ้น “ฉางอัน เ้าอยากเจอเขาไหม?”
ซูฉางอันชะงักอึ้งไปแต่ก็เข้าใจความหมายที่อีกฝ่าย้าจะสื่อได้ในทันทีเขามองไปยังฉู่ซีฟงอย่างอึ้งๆ มองเครารุงรังบนใบหน้าของเขา มองเส้นผมยาวๆที่ถูกลมพัดโบก ในที่สุดจึงพยักหน้าหนักๆ แล้วตอบกลับไป “อยาก!”
“ในเมื่อฝึกวิชาดาบของคนอื่นไม่ได้เช่นนั้นก็เลิกฝึกเสีย”
“ในเมื่อเ้าชอบดาบเช่นนั้นก็สร้างวิชาดาบที่เหมาะกับตัวเองขึ้นมาใหม่เสีย”
“เมื่อวิชาดาบของเ้าสำเร็จลุล่วงวันนั้น เ้าจะได้เป็นักรบแห่งดาราจักรอย่างเต็มตัว”
“จำเอาไว้นะ ฉางอัน” พูดจบ ฉู่ซีฟงก็มองมาที่ซูฉางอันแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“เลือกเดินในเส้นทางของตัวเองนักรบแห่งดาราจักรที่มีเส้นทางเป็ของตัวเองจึงจะเป็นักรบแห่งดาราจักรได้อย่างแท้จริง”