“พี่กลัวว่าผู้หญิงคนนั้นจะเกิดบ้าขึ้นมาแล้วให้คนมาจับตัวเรา หากเกิดอะไรขึ้น เราอย่าใ พยายามวิ่งไปในที่ที่มีคนเยอะๆ เวลาไปไหนก็อย่าไปคนเดียว ให้พาสือโถวกับโฉ่วหวาไปด้วย” เซี่ยโม่พูดต่อด้วยความเป็ห่วง
เซี่ยเฉิงเฟิงพยักหน้า “ครับพี่ พี่วางใจได้เลย”
เธอจะวางใจได้อย่างไร
ชาติที่แล้วหลังจากเกิดเื่กับน้องชาย เธอรู้สึกผิดเป็อย่างมาก แต่นึกถึงไปก็ไม่มีประโยชน์
ในชาตินี้เซี่ยเฉินซีได้ตายไปแล้ว หากหวางลี่ลี่กลับมา เซี่ยอวิ๋นจะต้องโยนความผิดทั้งหมดมาให้เธอ แม้เธอจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเื่นี้เลยก็ตาม คนใจแคบอย่างหวางลี่ลี่จะต้องมาหาเื่และระบายโทสะใส่เธอแน่นอน
เธอคำนวณในใจ อีกไม่กี่วันก็จะครบกำหนดสามเดือนที่หวางลี่ลี่ถูกส่งตัวไปยังค่ายแรงงาน พอถึงตอนนั้นเธอจะขอลาหยุดกับคุณครูแล้วไปคอยเฝ้าแถวๆ โรงเรียนน้องชาย
“พี่ครับ กำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ใช่ว่าจะไปท่องจุดชีพจรเหรอครับ” เซี่ยเฉินเฟิงถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นพี่สาวเอาแต่นั่งเหม่อ
โดนน้องชายทักเธอถึงค่อยดึงสติกลับมา แล้วเริ่มท่องจำจุดชีพจรของร่างกายมนุษย์อันน่าเบื่อหน่ายต่อ
แม้จะมั่นใจในสมองของตัวเอง แต่เื่นี้เป็สิ่งแปลกใหม่สำหรับเธอ กระทั่งถึงเวลาเข้านอนก็ยังท่องจำได้ไม่คล่องนัก
แต่จะให้น้องชายนอนไม่หลับเพราะเสียงท่องก็ไม่ได้ เธอเก็บหนังสือเตรียมตัวเข้านอนพร้อมเซี่ยเฉินเฟิง วางแผนว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยตื่นมาท่องต่อ
เซี่ยโม่ล้มตัวนอนลงบนเตียงอุ่น ในสมองปรากฏชื่อและตำแหน่งจุดชีพจรทั้งหมด เธอพยายามจดจำมันให้ได้มากที่สุด
ท่องไปได้สักครู่ พอเห็นว่าน้องชายเงียบผิดปกติจึงหันไปมอง น้องชายนอนนิ่งแววตาเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
หรือเื่ในวันนี้ทำให้น้องชายคิดถึงเื่เลวร้ายในอดีต พอรู้สึกเศร้าก็เลยนอนไม่หลับขึ้นมา
“ไม่ต้องคิดมากหรอก นอนเถอะ” เธอปลอบน้องชาย
“พี่ครับ ผมไม่กล้าหลับตา ผมกลัวตัวเองจะหลับ” คำตอบของเซี่ยเฉินเฟิงชวนให้งุนงงไม่น้อย
ในสมองของเซี่ยโม่ปรากฏเครื่องหมายคำถาม “ทำไมล่ะ หรือกลัวจะฝันร้าย?”
น้องชายส่ายหน้า “ผมกลัวว่าถ้านอนแล้วจะเผลอดิ้นไปเตะพี่อีก ถ้าเป็แบบนั้นสู้ไม่ต้องนอนดีกว่า พี่จะได้หลับได้”
เธอชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกซาบซึ้งจนเกือบจะหลั่งน้ำตา ทำไมน้องชายของเธอถึงได้ใสซื่อและน่ารักแบบนี้นะ”
มีน้องชายบ้านไหนบ้างที่เห็นพี่สาวสำคัญถึงขนาดนี้ แล้วเธอมีดีอะไรถึงได้มีน้องชายที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอถึงเพียงนี้
ในอนาคต น้องชายของเธอต้องเป็ผู้ชายอบอุ่นและเป็ห่วงเป็ใยเธอมากแน่
เธอสูดน้ำมูกพร้อมกับพูดปลอบ “ไม่ต้องกลัว นอนหลับให้สบายใจได้เลย เรานอนด้วยกันมาตั้งนาน มีแค่วันเดียวที่เรานอนดิ้นจนเตะพี่ พี่เองก็เคยนอนดิ้นจนเตะเราเหมือนกัน แต่เราคงไม่รู้ตัว อีกอย่างตอนนั้นพี่ตื่นอยู่ก่อนแล้วก็เลยรู้ ไม่ใช่ตื่นเพราะถูกเราเตะสักหน่อย”
น้องชายหันมาถามตาโต “จริงเหรอครับ”
“จริงสิ นอนกันเถอะ ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่ใช่ว่ามีประโยคหนึ่งพูดไว้ได้ดีมากเหรอ”
“อะไรเหรอครับ”
“บนโลกนี้ไม่มีอะไร มีแต่คนที่คิดไปเอง”
เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยฟังแล้วไม่เข้าใจความหมายทั้งหมด เลยซักถามด้วยความสงสัย “หมายความว่ายังไงครับ”
“หมายความว่า ความจริงแล้วมันไม่มีอะไรเลย มีแต่เราที่กังวลไปเอง เหมือนกับเราตอนนี้ไง”
“ผมรู้แล้วครับ” น้องชายเอาผ้าห่มปิดหน้าครึ่งหน้าด้วยความเขินอาย จากนั้นก็ปิดเปลือกตาลง
ต่อมาไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอของเซี่ยเฉินเฟิง
เมื่อเห็นว่าน้องชายหลับไปแล้ว เธอยื่นมือไปดึงผ้าห่มลงมา ท่าทางตอนนอนของน้องชายน่ารักเหลือเกิน เซี่ยโม่คลี่ยิ้มน้อยๆ จากนั้นจึงปิดตาเพื่อพักผ่อนบ้าง
ท่ามกลางราตรีอันเงียบสงัด แสงจากพระจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างมายังเตียง ส่องให้เห็นสองพี่น้องที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกันกำลังหลับสนิทอยู่บนนั้น
เช้าวันต่อมา เมื่อเซี่ยโม่ไปถึงโรงเรียนก็เห็นเด็กนักเรียนหลายคนกำลังมุงดูกระดานอะไรสักอย่างกัน ด้วยความสงสัยเธอจึงเดินเข้าไปดูกับเขาด้วย
ที่แท้บนกระดานมีกระดาษแผ่นใหญ่แปะเอาไว้ ในนั้นคือรายชื่อคนที่สอบได้สิบอันดับแรกของชั้นมัธยมปลายปีที่หนึ่งและปีที่สองนั่นเอง
เซี่ยโม่ดูแถวรายชื่อของชั้นมัธยมปลายปีที่หนึ่ง อันดับหนึ่งคือชื่อของเธอ
ด้านหลังชื่อมีคะแนนของแต่ละวิชาแจ้งเอาไว้ด้วย วิชาคณิตศาสตร์หนึ่งร้อยคะแนน วิชาภาษาและวรรณคดีเก้าสิบห้าคะแนน วิชาฟิสิกส์หนึ่งร้อยคะแนน วิชาเคมีเก้าสิบแปดคะแนน…
คะแนนที่ออกมาไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย เธอรู้สึกดีใจอย่างมาก
รายชื่ออันดับที่เก้าคือเพื่อนนักเรียนห้องเดียวกับเธอ เป็เด็กผู้ชายที่ค่อนข้างเรียนเก่งมากคนหนึ่ง
ส่วนอันดับที่เหลือเป็ชื่อที่เธอไม่คุ้น
ขณะที่เซี่ยโม่จะเดินไปห้องเรียน นักเรียนคนอื่นที่อยู่แถวนั้นจำเธอได้ก็พากันซุบซิบ “คนนั้นใช่เด็กม.ปลายปีหนึ่งที่ชื่อเซี่ยโม่ไหม เธอเก่งจังเลยเนอะ”
“ได้ยินว่าเธอไม่ได้เก่งแค่วิชาเลข วิชาภาษาและวรรณคดีก็เก่งเหมือนกัน คะแนนวิชาภาษาและวรรณคดีเป็อันดับสองของโรงเรียนเลยนะ วิชาฟิสิกส์กับเคมีก็ได้คะแนนเยอะ ข่าวลือก่อนหน้านี้ใครคือต้นตอก็ไม่รู้”
“นั่นสิ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้มีคนพูดจาดูถูกเธอ ตอนนี้เป็ยังไง เหมือนตบหน้าตัวเองไหมล่ะ”
“ได้คะแนนขนาดนี้ ไม่แน่ตอนสอบปลายภาคเธออาจจะข้ามชั้นอีกก็ได้นะ”
เซี่ยโม่เองก็คิดเื่นี้ ไว้รอให้ถึงตอนสอบปลายภาคค่อยคุยเื่นี้กับผู้อำนวยการหวางอีกที เธอ้าข้ามชั้น เพื่อจะได้เรียนจบในฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า และสอบเข้ามหาวิทยาลัยตอนปลายฤดูใบไม้ร่วงได้
ทันทีที่เธอเข้าไปในห้องเรียน เพื่อนทุกคนต่างมองมาทางเธอด้วยสายตาอิจฉา
มีเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับเธอ “โม่โม่ เธอเก่งจังเลย ตอนแรกพวกเรานึกว่าเธอเก่งวิชาเลขแค่วิชาเดียว ที่แท้วิชาอื่นเธอก็เก่งเหมือนกัน”
ได้ยินเช่นนี้ก็ทราบทันที ข่าวลือที่ว่าเธอเก่งอยู่แค่วิชาเลขต้องมาจากนักเรียนห้องเดียวกับเธอแน่นอน
ทุกคนคงเป็คนประเภทไม่ได้กินองุ่นก็เลยพูดว่าองุ่นมันเปรี้ยว
เซี่ยโม่มองใบหน้ากลมๆ ของเพื่อนที่เข้ามาถาม สีหน้าอีกฝ่ายดูคันปากอยากซุบซิบเป็ที่สุด เอาเป็ว่าเธอจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนพวกนี้ก็แล้วกัน
กับคนเหล่านี้อย่างมากก็จะเป็เพื่อนร่วมห้องกันไปอีกแค่สองเดือน เพราะเดี๋ยวเธอก็จะข้ามระดับขึ้นไปเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่สองแล้ว
“สอบครั้งนี้ฉันประมาทไปหน่อย ทำให้ทุกคนผิดหวังแล้ว” เธอตอบด้วยสีหน้ายียวน
ทุกคนนิ่งอึ้งไม่กล้าพูดอะไร ขนาดประมาทยังได้คะแนนสูงขนาดนี้ เพื่อนร่วมห้องคนนี้ยังจะให้พวกเขามีชีวิตอยู่อีกไหม
่พักระหว่างคาบใน่เช้า เสียงประกาศตามสายก็ดังขึ้น
“นักเรียนเซี่ยโม่ชั้นมัธยมปลายปีที่หนึ่งห้องหนึ่ง พี่ชายมารอพบที่หน้าประตูโรงเรียน”
เซี่ยโม่รู้ทันทีว่าคนที่มาหาคือพี่ซ่ง สองขารีบพาตัวเองวิ่งออกไป ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลากำลังยืนรออยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน
“พี่ซ่ง ทำไมถึงมีเวลามาหาฉันได้คะ”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำ แต่กลับแสดงความยินดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแทน “โม่โม่ ยินดีด้วยนะ”
เซี่ยโม่งุนงง พี่ซ่งรู้ได้อย่างไร ผลคะแนนเพิ่งจะประกาศออกมาเมื่อเช้านี่เอง พี่ซ่งต้องมีคนรู้จักอยู่ในโรงเรียนนี้แน่
เธอกล่าวอย่างถ่อมตัว “ก็แค่การสอบเล็กๆ ไม่นับเป็อะไรหรอกค่ะ”
“จำได้ไหม ฉันเคยบอกว่าถ้าสอบได้คะแนนดีแล้วจะเลี้ยงข้าว เธอมีเวลาไหม”
ตอนเที่ยงเซี่ยโม่ต้องนำข้าวไปส่งให้น้องชาย ตอนเย็นก็ต้องกลับบ้านไปทำอาหารและกินข้าวกับที่บ้านอีก
“พี่ซ่ง ช่างเถอะค่ะ ฉันไม่ค่อยมีเวลา ไว้รอปิดเทอมค่อยว่ากันดีกว่าค่ะ”
“ก็ได้ ฉันจะจำเอาไว้ว่าติดเลี้ยงข้าวเธอหนึ่งมื้อ”
เธอแอบขบขันในใจ ปกติแล้วมีแต่คนถูกเลี้ยงที่จะจดจำสัญญา แต่นี่เ้าภาพกลับเป็คนจำเสียเอง
“วางใจเถอะค่ะ ฉันไม่ลืมแน่นอน พอถึงตอนปิดเทอมฉันขอพาน้องชายไปด้วยนะคะ”
เื่เมื่อคืนทำเธอรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกิน เลยอยากพาน้องชายไปกินอาหารมื้อใหญ่ด้วยกัน
ชายหนุ่มทำท่าลังเลอยู่สักครู่ก่อนจะตอบ “ก็ได้”
ด้วยกลัวว่าพี่ซ่งจะแอบไม่พอใจแต่ไม่ยอมแสดงออกมา เธอจึงเล่าเื่เมื่อคืนให้ชายหนุ่มฟัง
“พี่ซ่ง คุณตาคุณยายอายุมากแล้ว คนที่จะอยู่กับฉันไปตลอดชีวิตคงมีแค่น้องชายคนเดียว ฉันอยากให้ทั้งสองคนสนิทสนมกันไว้” เซี่ยโม่ตบท้ายไปอีกหนึ่งประโยค
ได้ยินดังนั้นก็รู้ถึงฐานะของน้องชายในใจเด็กสาวทันทีว่าสำคัญเพียงใด ซ่งมู่ไป๋จึงให้คำมั่นสัญญา “น้องชายที่น่ารักและรู้ความแบบนั้น ฉันมีหรือจะไม่รักและเห็นเขาเป็เหมือนญาติของตัวเอง”
