ตอนที่หลิ่วจิ้งกลับมาก็เห็นว่าสาวใช้สองคนเดินเข้ามาหาเหมือนกับพวกนางมองเห็นดวงดาวแห่งการช่วยเหลือที่จะช่วยพวกนางปลดเปลื้องภาระหนักอึ้งลงได้
“ฮูหยิน ท่านดูสิเ้าคะ” อิ๋งเหอชี้ไปที่เด็กหนุ่มซึ่งยังคงนอนกรนครอกๆอยู่ที่ห้องทางด้านข้าง
ยามนั่งดุจหินผา ยามนอนดั่งก้อนหิน เล็กน้อยราวกับว่าเขาเป็เพียงเม็ดดินท่ามกลางโลกแห่งธุลี
มองเด็กหนุ่มนอนหลับสบายอยู่บนพื้น รอยหยิกเป็จุดๆ แต้มๆตามเนื้อตัวที่เผยออกมาจากเสื้อผ้าช่างน่าในัก หลิ่วจิ้งสั่งอวี้จิ่นเสียงเบาว่าให้ไปตามหมอมาคนก็ช่วยกลับมาแล้ว ย่อมไม่อาจปล่อยให้เสียหายยามอยู่ในมือนางกระมัง
หั่วอี้เลิกคิ้วมองหลิ่วจิ้งอยู่ตลอดเขายังไม่รู้เื่ที่หลิ่วจิ้งช่วยคนกลับมา
เมื่อเห็นว่าหลังจากหลิ่วจิ้งกลับมาที่เรือนหลังก็เอาแต่พุ่งความสนใจไปที่ตัวเด็กหนุ่มซึ่งอยู่ในห้องข้างมองผ่านเ้าของเรือนเช่นเขาไปเสียสนิท อารมณ์ที่ดีๆอยู่เมื่อครู่นี้จึงถูกบั่นทอนไปในทันใด
ท่านหมอหวังถูกอวี้จิ่นดึงตัวมา เขาเป็กังวลว่ามีเ้านายคนใดเกิดเื่อีกจึงรีบเอาหีบยาแล้วออกมาทันที
“ฮูหยินไปเอาบุรุษน้อยนี่มาจากที่ใด”หั่วอี้ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเกิดไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเขาจงใจเรียกเด็กหนุ่มว่าเป็บุรุษน้อย
เมื่อเอ่ยคำออกจากปากแล้วก็กลับรู้สึกว่าขัดเขินยิ่งนัก หั่วอี้จึงรีบอ้างว่าจะไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าแล้วรีบหลบออกไปทันใด
หลิ่วจิ้งมองหั่วอี้อย่างประหลาดใจ เหตุใดคนผู้นี้จึงพูดจาพิกลนัก
หั่วอี้ออกมาก็บังเอิญพบกับท่านหมอหวังเข้าพอดีเขากลับไม่หยุดรอให้อีกฝ่ายคารวะเขา แต่รีบเดินจากไปอย่างรีบร้อน
ท่านหมอหวังเพิ่งจะคารวะ หั่วอี้ก็เดินเลยผ่านเขาไปเสียแล้วท่านหมอหวังจึงได้แต่ก้มหน้ารอให้หั่วอี้จากไปก่อนเขาจึงค่อยเดินต่อไป
ตอนที่ท่านหมอหวังเข้าไปภายในเรือนหลัง อิ๋งเหอก็เขย่าเด็กหนุ่มจนตื่นขึ้นมาแล้วอย่ามองแค่ว่าเด็กหนุ่มนอนหลับไม่ขยับอย่างกับคนตายแต่พอมือของอิ๋งเหอเพิ่งจะวางลงบนไหล่เขา เขาก็พลันลืมตาขึ้นมาพร้อมกับมองทุกคนด้วยสายตาระวังตัว
เด็กหนุ่มเป็คนขี้ระแวง อายุน้อยเพียงเท่านี้กลับไม่รู้ว่าเขาเคยผ่านสิ่งใดมาบ้าง?
หลิ่วจิ้งสังเกตดูเขาด้วยสีหน้าราบเรียบเมื่อเห็นว่าท่านหมอหวังมาแล้วนางจึงกวักมือเรียก “ท่านหมอหวังช่วยมาตรวจดูเด็กหนุ่มผู้นี้สักหน่อย”
ท่านหมอหวังพบกับหั่วอี้ก่อน ยามนี้มาเห็นว่าหลิ่วจิ้งก็สบายดีจึงรู้สึกโล่งใจนัก ขอเพียงพวกเ้านายไม่เป็ไร ความกดดันของเขาก็จะน้อยลงไปมาก
เขาคารวะหลิ่วจิ้งก่อน แล้วกล่าวว่า "ขอรับฮูหยิน ข้าน้อยจะตรวจดูเขาให้"ท่านหมอหวังว่าพลางเดินไปข้างๆ เด็กหนุ่ม วางหีบยาลงเตรียมตรวจชีพจรให้เขา
เด็กหนุ่มได้ยินหลิ่วจิ้งพูดกับท่านหมอหวังแล้ว ย่อมรู้ว่าคนที่มาใหม่จะช่วยเขาตรวจร่างกาย แต่เขาก็ยังคงมีท่าทีต่อต้านอย่างหนักไม่ยอมให้ท่านหมอหวังแตะต้องตัวเขา พอเห็นว่าท่านหมอหวังเอื้อมมือมาหา เขาก็พลิกตัวไปตามสัญชาตญาณหลบมือท่านหมอหวังไป
ท่านหมอหวังแปลกใจนัก เขาเป็หมอมาหลายปีเคยพบเห็นคนที่ไม่ยอมรับการรักษาเช่นนี้มาบ้างเช่นกันแต่หลังจากเขามีท่าทีประหลาดใจในตอนแรกแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้ฝืนจะเข้าไปอีก
“เ้าหนู ข้าเห็นว่าสีหน้าเ้าหม่นหมองนัก เืลมไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายจะต้องเจ็บป่วยอยู่เป็แน่ เ้าอย่าละเลยโดยเด็ดขาด โรคภัยบางอย่างหากพลาดไปแล้วก็ล่วงเลยโอกาสที่จะรักษาไปได้”
หลิ่วจิ้งพยักหน้าเมื่อได้ยินคำของท่านหมอหวังนางเดินไปตรงหน้าเด็กหนุ่ม จ้องตรงไปหาเขาพลางกล่าวว่า “ไม่ว่าเ้าจะเคยประสบกับเื่ที่ไม่เป็ธรรมใดๆ มาก่อน หากเ้าเชื่อข้าก็ให้เ้ายื่นมือออกมา คนที่ยอมติดตามข้า ข้าจะปฏิบัติต่อเขาเป็อย่างดี”
หลิ่วจิ้งเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดนางต้องช่วยเหลือคนผู้นี้ให้มากนัก นางเพียงบังเอิญพบเขา ผู้คนที่มีชีวิตอยู่ภายใต้ความมืดมนในชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคมมีมากมายนัก เหตุใดนางจึงช่วยแต่เขาผู้เดียว หรือเพราะสายตาที่มีความสิ้นหวังและความเคียดแค้นปนเป ซึ่งเหมือนนางตอนบ้านแตกสาแหรกขาดเสียอย่างยิ่ง?
ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มจะฟังคำพูดของหลิ่วจิ้งเข้าหูหรือไม่ เพราะเขายังคงเอาแต่ตาลอยมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าไร้การตอบรับไม่ได้มองพวกของหลิ่วจิ้งแต่อย่างใด
“เ้าหนู ให้ข้าช่วยตรวจอาการของเ้าดีหรือไม่?” ท่านหมอหวังเอ่ยพลางลองยื่นมือออกไปจับมือเด็กหนุ่ม ครานี้เด็กหนุ่มก็ยังคงถอยหลังไปหลายก้าวเพียงแต่ไม่ได้ดึงมือที่ท่านหมอหวังจับเอาไว้ออก
เมื่อเห็นว่าเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นหลิ่วจิ้งก็ดีใจนัก
ในขณะที่ท่านหมอหวังกำลังตั้งใจจับชีพจรของเด็กหนุ่ม ยามนั้นเองก็มีเืไหลอาบลงมาจากท่อนแขนเขา
“อุ๊ย มีเืออกแล้ว” อิ๋งเหอเห็นเืจึงร้องเสียงหลงออกมา
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น ทำเหมือนว่าเืออกจากแขนคนอื่น ไม่เกี่ยวกับเขาเช่นนั้น
ท่านหมอหวังคลายมือที่จับชีพจรให้เด็กหนุ่มออก ก่อนเลิกแขนเสื้อของอีกฝ่ายขึ้น ทันใดนั้นทุกคนก็ต่างสูดหายใจลึก แม้แต่หลิ่วจิ้งก็ยังต้องะเืใจเหลือทน สีหน้านางหนักอึ้ง สองตาฉายแววสงสารและรู้สึกโกรธเคืองเป็ที่สุด
หลิ่วจิ้งมองตาเด็กหนุ่มคราหนึ่งแล้วรีบกวาดสายตาไปที่แขนเขาจากนั้นก็ทนมองต่อไปไม่ไหวอีก
บนแขนของเด็กหนุ่มปรากฏาแน้อยใหญ่ที่ต่อให้นับก็นับไม่ถ้วน มีหลายแผลผสานกันแล้ว แต่ก็คล้ายกับถูกคนเฆี่ยนจนกลายเป็แผลใหม่ บางแผลก็ยังสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าว่ามีหนอนสีขาวไชอยู่ข้างใน
“โอ้กๆ” อิ๋งเหอหน้าซีดไปหมด นางหันไปยันผนังห้องโกงคออาเจียนแห้งๆ หลายครั้ง
“อะ อะ ไอ้เดรัจฉานนี่” ท่านหมอหวังถึงกับเดือดดาลต่อความไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ ไม่มีใครทำให้ร่างกายของตนเองอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้หรอก จะต้องเป็ผู้อื่นทำแน่นอน
หัวใจของหลิ่วจิ้งเหมือนถูกเฆี่ยนหลายหน นางพยายามอดทนต่อความรู้สึกไม่สบาย ต้องฝืนตนเองอย่างยิ่งจึงสามารถกดความรู้สึกปวดใจสงสารลงได้
“อวี้จิ่น อิ๋งเหอ พวกเ้าออกไปก่อน” ไอเย็นเฉียบปรากฏอยู่เต็มใบหน้าของหลิ่วจิ้งนางเดาเอาว่าาแบนตัวของเด็กหนุ่มจะต้องมิได้มีเพียงแห่งเดียวเป็แน่ นางอยากให้ท่านหมอหวังทำแผลให้เด็กหนุ่มแต่ก็ไม่้าให้เด็กหนุ่มลำบากใจเกินไป
แม้จะมองออกว่าเด็กหนุ่มคล้ายมีท่าทีไม่ยี่หระต่อสิ่งใดแต่จากจิตสำนึกแล้วนางรู้ว่าเด็กหนุ่มกลับไม่ยินดีให้ผู้คนมากมายเห็นสภาพน่าอนาถของเขา
และมองออกว่าเด็กหนุ่มเป็คนที่มีความทะนงตนอย่างมากเพียงแต่เขาไม่มีความสามารถจะทำได้จึงต้องใช้วิธีการมองผ่านอย่างที่เป็อยู่นี้กระมัง
อิ๋งเหอยังคงรออยู่คอยช่วยต่อ แต่กลับถูกอวี้จิ่นดึงตัวออกไป
“อวี้จิ่น เ้าดึงข้าออกมาทำสิ่งใดฮูหยินบอกให้พวกเราออกไปนั้นไม่ผิด เพียงแต่เด็กหนุ่มผู้นั้นน่าสงสารนักข้าอยากจะช่วยเขา”
อิ๋งเหอไม่ได้มีท่าทีเหมือนยามที่นางเห็นเด็กหนุ่มในตอนบ่ายแล้ว นางรู้สึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้นางไม่เกรงใจต่อเด็กหนุ่มเกินไป
ด้วยเหตุที่ต่างก็เป็คนจากครอบครัวยากจนเช่นเดียวกัน อิ๋งเหอจึงเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเด็กหนุ่มในทันทีหากนางรู้ว่าบนตัวของเด็กหนุ่มมีาแมากมาย ซ้ำยังาเ็จนน่าใเพียงนี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่มีทางเอ่ยคำพูดร้ายๆเช่นนั้นออกไป
“ฮูหยินย่อมมีวิธีจัดการของฮูหยินพวกเราเป็บ่าวแค่ทำตามเป็พอแล้ว อย่าสร้างความวุ่นวายให้ฮูหยินเลย”อวี้จิ่นเอ่ยเตือนไปเรียบๆ
หลิ่วจิ้งไม่ได้ให้ท่านหมอหวังช่วยรักษาเด็กหนุ่มในทันที นางกดหัวที่เชิดขึ้นสูงของเด็กหนุ่มลงให้อีกฝ่ายสบตากับนาง
เด็กหนุ่มอยากหันหัวหนี แต่มือของหลิ่วจิ้งยังคงออกแรงหนักจ้องเขาตาเขม็งพลางกล่าวว่า “พวกเรามาคุยกัน” แต่เด็กหนุ่มก็หาได้สนใจนางไม่
หลิ่วจิ้งมองเขา นางััได้ถึงความไม่แยแสในใจของเด็กหนุ่มนางไม่กลัวว่าเด็กหนุ่มจะอาละวาดหรือร้องไห้แต่สิ่งที่นางกลัวที่สุดคืออาการไร้โทสะที่เงียบงันเสมือนคนตายนี้
ท่าทางต่อต้านของเด็กหนุ่ม กลับกระตุ้นความไม่ยอมแพ้และความขบถในก้นบึ้งหัวใจของหลิ่วจิ้งเห็นทีว่านางคงต้องจัดการบางสิ่งกับเด็กหนุ่มผู้นี้เสียแล้ว
_____________________________
