อาลู่เพิ่งจะลงมือฆ่าคน
บนหลังยังคงแบกน้องสาว
ก่อนจะเดินไปตรงหน้าชายชราแล้วดึงมีดออกจากร่างนั้น
จากนั้นจึงบรรจงเช็ดมีดให้สะอาดดังเดิม
ทุกขั้นตอนที่ลงมือนั้น มือของเด็กหนุ่มไม่สั่นแม้แต่น้อย
ต่อมาอาลู่จึงลงมือปลดเชือกให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งเป็ลมไป จากนั้นก็วางเขาลงบนพื้น แล้วจึงปลดเชือกให้เด็กหนุ่มอีกคนที่ยังดิ้นขลุกขลักอยู่แล้ววางเขาลงเช่นกัน
เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์เป็ตายมาหยกๆ เสี่ยวอู่เมื่อลงมาถึงพื้นแล้ว ก็คลานไปข้างกายอาสวินทันที
“อาสวิน เ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ มีคนมาช่วยพวกเราแล้วอาสวิน”
เสี่ยวอู่ไม่กล้าเขย่าตัวอาสวิน เพียงคุกเข่าอยู่ข้างกาย แล้วร้องเรียกด้วยความเศร้าโศกเท่านั้น ทว่าแม้แต่จะเสียงดังเขาก็ยังไม่กล้า ด้วยกลัวว่าจะเป็การดึงดูดคนอื่นให้มาที่นี่อีก
อาลู่นั้นแท้จริงก็หวาดกลัวเช่นกัน
ความจริงแล้วนี่เป็ครั้งแรกที่เขาลงมือฆ่าคน
เพียงแต่สายตาเขาดีนัก ยามเล็งจึงแม่นยำ ดังนั้นเพียงปามีดออกไป มีดนั้นก็ปักอยู่บนหัวใจของชายชราเสียแล้ว เพียงมีดเดียวเขาก็สิ้นลม
เป็เขาที่มาถึงก่อนชายชรา
จึงได้ยินสิ่งที่เด็กสองคนพูดกัน
อันที่จริงเขาไม่ได้ชอบยุ่งเื่ของคนอื่นนัก แม้กระทั่งเห็นความรักที่พี่น้องสองคนนี้มีให้กัน เขาก็ยังไม่คิดจะลงมือช่วยเหลือ
นี่คือรังโจรบนูเากระดูก
ที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้มนุษย์มีน้ำใจ
ทว่าเมื่อได้ยินเื่หญ้าเหอจื่อ เขาก็พลันชะงักค้าง สองขาที่เดิมทีคิดจะเดินจากไปก็พลันต้องหยุดลง
ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะบุ่มบ่ามเข้าไปช่วยสองคนนั้นทันที แต่กลับซุ่มดูอยู่ครู่หนึ่ง
จวบจนเขาเห็นชายชรานั้นยกชามเืขึ้นจรดปากดื่ม เขาก็ปามีดออกไปทันที
“ดื่มเืของตัวเ้าเองเสีย” อาลู่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
เสี่ยวอู่รู้สึกอึ้งไปครู่หนึ่งก็จะยกชามเืขึ้น แล้วบีบปากอาสวินให้เปิดออก จากนั้นก็กรอกเืลงไปในปากเขาเสีย
อาลู่อยากจะกล่าวว่าผู้ที่ดื่มเืมนุษย์นั้น ย่อมไม่นับว่าเป็คนอีกแล้ว
ทว่าเมื่อเห็นท่าทางของเด็กหนุ่ม สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ทัดทานอะไร
“ยังเดินได้หรือไม่”
เสี่ยวอู่พยักหน้าตอบแรงๆ
แม้เขาจะรู้สึกว่าร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทว่าก็ยังพยายามบังคับตัวเอง ความยินดีในขณะนี้นั้นช่างทำให้เขาฮึกเหิมนัก
เขาฝืนกายลงไปอุ้มอาสวินขึ้นมาแบก ร่างกายยามยืนขึ้นจึงเซเล็กน้อย
ยามนั้นเขาจึงได้เห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังลากชายหลังค่อมที่นอนแผ่อยู่บนพื้น เดินออกไปทางปากถ้ำ
เสี่ยวอู่จึงแบกอาสวินเดินตามเด็กหนุ่มไป
อาสวินสลบไปเสียแล้ว ทว่ายังไม่ตาย เขายังได้ยินเสียงหัวใจอาสวินเต้น แม้มันจะแ่เบาเหลือเกิน
กระนั้นสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดนั้น แท้จริงคือการไปจากถ้ำแห่งนี้
เมื่อเดินมาจนมีแสงตะวันสาดส่องลงมารำไร
หัวใจของเด็กหนุ่มก็พลันบีบเกร็ง
ไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้วที่เขาและอาสวินอาศัยอยู่แต่เพียงในถ้ำแห่งนี้ นั่งมองดวงตะวันขึ้นเหนือขอบฟ้าจวบจนมันลับหายไป มองต้นหญ้างอกงามจนมันโรยราเป็สีทองไปทั้งทุ่ง
เมื่อก่อนยามออกมาจากถ้ำ พวกเขาก็ต้องรอให้ถึงพลบค่ำ จึงจะแอบออกมาเงียบๆ
บัดนี้เขากำลังเดินตามหลังเด็กหนุ่มอยู่ แดดที่ส่องมาก็ช่างเจิดจ้าเหลือเกิน
เขาไม่กล้าแบกอาสวินกลับเข้าไปในถ้ำ
แม้แต่ตาเฒ่าหลิวยังไล่ล่าพวกเขาเช่นนี้ คนอื่นๆ ในถ้ำไม่นานก็คงทำตามเช่นกัน
อาหารนั้นนานวันก็ยิ่งน้อยลงจนพวกเขากลับกลายเป็อาหารเสียเอง
พี่ชายของเ้าทารกนั่นร้ายกาจนัก
ตอนจัดการตาเฒ่าหลิว เขาใช้เวลาเพียงสองชั่วอึดใจเท่านั้น
เมื่อเขามองเ้าทารกบนหลังเด็กหนุ่ม ในใจก็พลันรู้สึกผ่อนคลาย
คนคนหนึ่งสามารถเลี้ยงดูทารกน้อยให้เติบโตได้เช่นนี้ คงไม่ได้เป็คนชั่วร้ายอะไรนัก
ต่อมาเขาก็เห็นเด็กหนุ่มลากตาแก่หลิวไปจนถึงสระกระดูก จากนั้นก็โยนร่างของชายชราลงไปในสระกระดูกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
อาลู่มองสองมือที่เพิ่งเปลี่ยนเป็ว่างเปล่าของตน ที่แท้มันก็รู้สึกเช่นนี้นี่เอง ในหัวของเด็กหนุ่มพลันมีภาพของนายท่านสามผุดขึ้นมา
เสี่ยวอู่ที่ยืนมองก็ตัวสั่นราวกับลูกนก ขาทั้งสองข้างพลันชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินตามเด็กหนุ่มต่อ
เมื่อมาถึงด้านนอกก็พบว่าแสงแดดนั้นช่างทำให้แสบตานัก
ในคราแรกนั้นใบหน้าเด็กหนุ่มของเสี่ยวอู่นองไปด้วยน้ำตาเต็มหน้า ดวงตาทั้งสองข้างรู้สึกปวดแสบปวดร้อน ในใจก็คิดขึ้นว่า โชคดีที่อาสวินสลบไปเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงจะปวดตาเช่นกัน
เสี่ยวอู่เดินตามเด็กหนุ่มด้านหน้าตนไปอีกพักใหญ่
สำหรับเขา ่เวลาที่เดินอยู่ราวกับมันช่างยืดยาวไม่จบสิ้น
ทันใดเขาก็ได้กลิ่นของลมโชยมา ไม่ใช่กลิ่นสาบเก่า เป็กลิ่นหอมสดใหม่ของหญ้า
เขาััได้ถึงความอบอุ่นของแสงแดด เขาไม่ได้รู้สึกร้อนเลยสักนิด มันช่างทำให้ร่างกายรู้สึกปลอดโปร่งเหลือเกิน รู้สึกสบายกายเสียจนอยากะโออกมาดังๆ
ณ ขณะนั้น เสี่ยวอู่เพิ่งจะค้นพบว่าความฝันของตนช่างสามัญนัก เขา้าแค่ทุ่งหญ้าสักแห่งที่เขาสามารถนอนอาบแดดได้โดยไม่มีใครมาลอบฆ่า สามารถกินอิ่มนอนหลับได้ทุกมื้อ
ภาพฝันเช่นนี้แค่คิดออกมาก็รู้สึกว่ามันช่างงดงาม
เขาได้ยินเด็กหนุ่มคุยกับทารกน้อยบนหลัง
“น้องสาวเ้าไม่ต้องกลัวไป พี่ชายร้องเพลงให้เ้าฟังดีหรือไม่”
“ดี”
“ปอ ตัว ฮา หลู่ จิ้น จือ ซี เยี่ยน......”
เสี่ยวอู่ไม่เคยได้ยินเพลงเช่นนี้ เนื้อเพลงช่างเข้าใจยากราวกับกำลังร่ายกลอนก็ไม่ปาน
แม้ว่าเสียงแหบแห้งของเด็กหนุ่มที่เปล่งออกมาจะฟังดูแข็งทื่อ ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับทำให้ใจเขารู้สึกสงบอย่างประหลาด จึงเร่งจ้ำอ้าวตามหลังเด็กหนุ่มไป
ในที่สุดเขาก็มองเห็นม้า ซ้ำยังมีหลายตัวกระทั่งเห็นเป็ฝูง
เขายังเห็นกระท่อมอีกด้วย กระท่อมนั้นมีหลังคา ด้านหลังยังมีกระท่อมไม้เล็กๆ อีกหลัง
เมื่อเงยไปยังเห็นนกอีกตัวหนึ่ง เ้านกนั้นช่างมโหฬารนัก
เพียงพริบตา เสี่ยวอู่คิดว่าตัวเองคงตายแล้วเป็แน่ บัดนี้เขาคงไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์อีกแล้ว
เขาเดินตามเข้าไปในกระท่อมไม้หลังนั้น เพียงครู่เดียวร่างกายก็รู้สึกอบอุ่นขึ้น
หัวใจที่ราวกับแขวนอยู่บนเส้นด้ายก็ค่อยๆ ผ่านคลายลงเช่นกัน
ด้านนอกนั้นแสงจ้าเกินไป แม้เขาจะรู้สึกตื่นเต้น แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่คุ้นเคยนัก
ทว่าบรรยากาศในกระท่อมนี้นับว่าไม่เลว
กำแพงสี่ด้านล้อมรอบ บนหน้าต่างมีหลังคามุงอยู่
เสี่ยวอู่วางอาสวินลงข้างกองไฟ ส่วนตัวเขาเองนั่งพิงกำแพงอยู่ด้านข้าง ส่วนตำแหน่งที่เขาเลือกที่จะนั่งลงนั้นก็ยังเป็ตำแหน่งที่อยู่ใกล้ประตูมากที่สุด เผื่อว่าหากมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ก็จะได้หนีไปได้ทันท่วงที
อาลู่ไม่ได้กล่าวอะไร
เพียงมองเ้าเด็กหนุ่มนั่งอยู่ข้างประตู ก็รู้สึกว่าท่าทีนั้นช่างดูคล้ายกับเขาในอดีตเหลือเกิน
เขาวางน้องสาวลง แล้วนำสมุนไพรออกมา
บนพื้นมีเด็กหนุ่มอีกคนนอนอยู่ ผิวพรรณของเ้าเด็กนี่ช่างขาวผ่อง เมื่อมองเทียบกับน้องสาวตนแล้ว ก็ช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
น้องสาวของเขาออกจะผิวคล้ำไปเสียหน่อย ส่วนเ้าเด็กหนุ่มนี่ก็ขาวราวกับเผือก ขาวจนแทบจะโปร่งแสง ซ้ำยังผอมกะหร่อง โดยเฉพาะขาทั้งสองข้างนั้น ผอมแห้งราวกับวัชพืชเหี่ยวๆ จนทำให้มองแล้วแปลกๆ พิกล ใบหน้าของเ้าเด็กหนุ่มก็ซูบตอบ ทว่าใบหูทั้งสองข้างของเขานั้นกลับใหญ่โตนัก
อาลู่ยามพินิจใบหน้าของเด็กหนุ่มก็รู้สึกสนเท่ห์ไปครู่หนึ่ง
ทว่าเขานั้นไม่ใช่อาลู่ เด็กชายที่เพิ่งขึ้นมาอยู่บนเขาแห่งนี้อีกแล้ว บัดนี้เขาคิดอ่านสิ่งใดก็ล้วนไม่แสดงออกออกมาโดยง่าย
เขาค่อยๆ จัดการทำแผลให้เด็กหนุ่มอย่างคล่องแคล่ว
เสี่ยวอู่นั่งมองอยู่ด้านข้างด้วยความกังวล เห็นเด็กหนุ่มหยิบสมุนไพรขึ้นมาใส่ปากแล้วเคี้ยวทันที.....
“กินไม่ได้นะ มันมีพิษ” เสี่ยวอู่โพล่งออกมาด้วยความร้อนรน
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วทีหนึ่งก่อนจะคายสมุนไพรออกมา แล้วยื่นก้อนสมุนไพรที่ยังมีน้ำลายเปรอะอยู่ให้เขา
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงใช้สมุนไพรที่ยังเลอะน้ำลายนั้น ทาลงบนแผลให้อาสวิน
เมื่อถึงตาเขา เขาก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ร่างกายข้ายังดีอยู่ ไม่จำเป็ต้องสิ้นเปลือง เดี๋ยวก็หายเองได้”
อาลู่มองท่าทางของเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงลงมือกดตัวเด็กหนุ่มไว้ราวกับกดหัวลูกไก่ก็ไม่ปาน
จากนั้นก็พลิกตัวเขาให้หันหลัง
พบว่าบนหลังของเด็กหนุ่มมีแผลยาวอยู่แผลหนึ่ง ปากแผลนั้นเปรอะไปด้วยเืสีแดง ดูแล้วคล้ายกับริมฝีปากคนที่กำลังอ้าออก
เสี่ยวอู่พยายามขัดขืน ทว่าเด็กหนุ่มบนหลังตนก็ยังคงโยนสมุนไพรเข้าปาก แล้วคายออกมา จากนั้นจึงทาลงหลังเขา ทันใดเขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นที่แผ่ซ่าน
ท่าทีขัดขืนของเสี่ยวอู่จึงค่อยๆ อ่อนลง
นี่เป็ครั้งแรกทีเขาโดนกดลงกับพื้น แต่กลับรู้สึกมีความสุขนัก
ซ้ำยังได้ทายาอีกด้วย
ต่อมาอาลู่จึงเริ่มลงมือทำอาหาร เขายังคงทำน้ำแกงหมั่นโถวข้นๆ พร้อมใส่เนื้อแห้งลงไปนิดหน่อย เมื่อคิดไปคิดมา เขาก็ตัดสินใจเดินไปยังแปลงผักด้านหลังแล้วเด็ดผักมาหัวหนึ่งก็โยนใส่ลงไปในหม้อ แล้วจึงใส่น้ำเพิ่มอีกถ้วยใหญ่ ทำให้น้ำแกงนั้นดูเต็มหม้อขึ้นทันตา
เสี่ยวอู่ั้แ่เห็นอาลู่หยิบหมั่นโถวออกมา ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็ไม่อาจละสายตาไปภาพตรงหน้าได้
เฉินโย่วน้อยนั้นเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นอีกแล้ว ร่างน้อยๆ จึงพิงร่างของอาสวินแล้วหลับไป
เสี่ยวอู่ยังคงทำตาโตจ้องหม้อตรงหน้าตน ราวกับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่ยอมละสายตา
ด้วยกลัวว่าตนจะหลับไป จึงเอาแต่พล่ามเลื่อนเปื้อนไม่หยุด
“ข้ามีนามว่าเสี่ยวอู่ เขามีนามว่าอาสวิน พวกข้ามิใช่พี่น้องแท้ๆ เพียงแต่ผ่านความเป็ความตายมาด้วยกันจนนับว่าเป็พี่น้องกัน”
“อาสวินนั้นปราดเปรื่องนัก ทว่าร่างกายอ่อนแอไปสักหน่อย ส่วนข้านั้นไม่นับว่าฉลาดนัก แต่ข้านั้นแข็งแรง จึงสามารถแบกเขาไหว”
อาลู่คนน้ำแกงในหม้อต่อ ไม่ได้เงยหน้ามอง
หมั่นโถวและผักในหม้อเริ่มเปื่อยจนเป็เนื้อเดียวกัน สีเขียวอ่อนๆ ในหม้อนั้นดูแล้วช่างน่ากินนัก
เมื่ออาลู่เงยหน้าขึ้น ก็เห็นทั้งสามคนนอนรวมกันเป็ก้อนกลม
น้องสาวของเขาที่นอนแผ่อยู่ตรงกลางนั้น มีเสียงกรนเบาๆ ดังขึ้น
“ข้ามีนามว่าอาลู่ ส่วนนางมีนามว่าเฉินโย่ว พวกเราเองก็ไม่ใช่พี่น้องแท้ เพียงผ่านความเป็ความตายมาด้วยกันจนนับว่าเป็พี่น้องกัน” อาลู่เอ่ยตอบเสียงเบา