ก่อนที่ฉู่อี้จะทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น การ์ดคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ท่านครับ สัตว์เลี้ยงที่สวมปลอกคอเป็สัตว์เลี้ยงที่มีเ้านายนะครับ ไม่สามารถเล่นได้ตามใจชอบ หากไม่ได้รับอนุญาตจากเ้านาย”
“ไม่เห็นเป็ไรนี่ แค่จับนิดจับหน่อยเอง” น้ำเสียงกะล่อน หื่นกามแว่วมา
ฉู่อี้เพียงแต่มองมองเ้าของเสียงนั้นแล้วหลุบตาลง ในสายตาของคนนอก เขาดูเหมือนสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ ตัวหนึ่ง แต่ฉู่อี้รู้ดีแก่ใจว่าเขาโชคดีมากแค่ไหนที่บังเอิญยืนอยู่ใกล้ประตูทางเข้าหอประชุม น่าประหลาดใจที่หอประชุมแห่งนี้มืดเสียยิ่งกว่าโรงละครหลังจากเริ่มการแสดง นอกจากแสงโคมไฟสลัวที่ส่องลงมายังเวทีเล็กๆ กลางหอประชุมแล้ว ก็ไม่มีแหล่งกำเนิดแสงอื่นๆ อีกเลย แม้ว่าด้านนอกของหอประชุมจะสว่างกว่าด้านใน แต่ก็ไม่ได้สว่างมากมาย เทียบได้กับทางเดินในร้านคาราโอเกะ แต่ถึงแม้ว่าไฟจะมืดแค่ไหน ฉู่อี้ก็ยังจำหน้าคนที่พยายามจะลวนลามตนได้ เขาคือคนที่ตนรู้จักในแวดวงธุรกิจ ต้องขอบคุณความสามารถในการจำคนแม่นของเขาสินะ? แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะจำเขาได้หรือเปล่า ฉู่อี้ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอคนรู้จักในสถานที่อโคจรแบบนี้ เดี๋ยวนี้คนชอบอะไรแบบนี้กันเยอะหรือไง?
“ร้านของเรามี MB ให้บริการและยังมีสัตว์เลี้ยงให้เลือกในระหว่างการแสดง ท่านสามารถเลือกได้ตามอัธยาศัยเลยครับ” การ์ดรักษาความปลอดภัยใช้น้ำเย็นเข้าลูบด้วยการยิ้ม พร้อมกับแนะนำบริการในร้าน
ในขณะที่การ์ดกำลังพูดอยู่นั้น กู้เฟิงก็คว้าข้อมือฉู่อี้เดินเข้าไปในหอประชุม จึงไม่ได้ยินบทสนทนาหลังจากนั้นไปโดยปริยาย แต่แทนที่จะเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนรู้จัก เขากลับสนใจมือของกู้เฟิงที่จับบนข้อมือของเขา และคำพูดสั้นๆ ที่การ์ดเอ่ยขึ้นเมื่อครู่
สัตว์เลี้ยงที่สวมปลอกคอไม่ได้รับอนุญาตให้ใครมาััตามใจชอบงั้นเหรอ? ดังนั้นสาเหตุที่กู้เฟิงสวมปลอกคอให้กับเขาั้แ่วันแรกที่ก้าวออกจากประตู ที่แท้เป็การปกป้องเขากลายๆ งั้นเหรอ?
ฉู่อี้ก้มมองมือของกู้เฟิงที่ฉุดลากข้อมือเขาไป แน่นอน ภายใต้แสงสลัวรางนี้ เขามองเห็นอะไรได้ไม่ชัด ดูเหมือนว่านี่จะเป็ครั้งแรกที่เขาถูกกู้เฟิงลากเดินไปแบบนี้ แม้จะไม่ได้จับมือ แม้ว่าระหว่างพวกเขาจะทำเื่ที่เป็ความลับยิ่งกว่านี้ลงไปแล้ว แต่การกระทำที่เรียบง่ายเช่นนี้ กลับทำให้เขาสบายใจมากกว่า
อุณหภูมิร่างกายกู้เฟิงค่อนข้างต่ำ มือหยาบกร้าน ทรงพลัง ลากเขาไปนั่งในที่ที่ห่างไกลผู้คนแต่วิสัยทัศน์การมองเห็นเหมาะเจาะแห่งหนึ่ง โดยไม่รอช้า ฉู่อี้พอจะมั่นใจว่าที่นั่งตรงนี้เป็ที่นั่งพิเศษสำหรับกู้เฟิง แต่สิ่งหนึ่งที่ฉู่อี้ไม่รู้เลยคือเขาเป็คนแรกที่ได้นั่งเคียงข้างกู้เฟิง
หลังจากกู้เฟิงนั่งลงแล้ว เขาก็ดึงตัวฉู่อี้มานั่งบนตักตัวเอง อันที่จริงท่านี้ออกจะน่าอายอยู่สักหน่อย เพราะฉู่อี้สูงกว่ากู้เฟิง และบึกบึนกว่าเล็กน้อย แต่กู้เฟิงกลับกดตัวเขาให้ลงนั่งบนตักตัวเอง
“นั่งดีๆ อย่าขยับ” กู้เฟิงจงใจสั่งเสียงเบา กลัวว่าคนในอ้อมแขนจะขัดขืน
ฉู่อี้เชื่อฟังเป็อย่างดี ไม่ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาตกลงกับกู้เฟิงแล้วว่าจะทำตัวเชื่อฟัง จะทำตามที่เขาสั่งโดยปริยาย ยิ่งเมื่อเขาพบว่าหลายๆ ครั้งสิ่งที่กู้เฟิงทำมันดีต่อตัวเขา
แต่เมื่อเทียบกับฉู่อี้ที่ถือว่าอารมณ์ดีอยู่บ้าง กู้เฟิงกลับดูหงุดหงิดเล็กน้อย วันนี้เขาจงใจออกมาช้านิดหน่อย และเข้ามาในวินาทีสุดท้ายก่อนที่การแสดงจะเริ่มขึ้น เพราะพยายามไม่ให้ฉู่อี้ัักับสถานการณ์แบบนี้ แต่ใครจะคิดว่าจะดันมาเจอกับไอ้โง่ไม่ดูตาม้าตาเรือพรรค์นั้น แม้แขกที่ทำตัวเกะกะระรานั้แ่เข้าร้านจะเป็ส่วนน้อย แต่พูดถึงจำนวนก็ไม่ใช่เล่นๆ ช่วยไม่ได้ ก็พวกเขามีลูกค้าร้อยพ่อพันแม่นี่นา พอหวนกลับไปนึกถึงปฏิกิริยาของฉู่อี้เมื่อครู่...
กู้เฟิงอาศัยจังหวะที่ดนตรีเปิดการแสดงดังขึ้น กระซิบถามเบาๆ ข้างหูฉู่อี้ “นายรู้จักคนเมื่อกี้เหรอ?”
ฉู่อี้หันขวับมองกู้เฟิงด้วยความประหลาดใจ แต่ด้วยแสงไฟสลัวรางทำให้ทั้งคู่มองไม่เห็นสีหน้าของกันและกัน ดังนั้นฉู่อี้จึงตอบกลับด้วยคำว่า ‘อืม’ คำเดียว โดยไม่มีคำอธิบายอื่นใดเพิ่มเติม
กู้เฟิงเองก็ไม่ได้ซักไซ้
เสียงสะบัดแส้ดังชัดในขณะนี้ เสียงเพลงพลันหยุดลง เป็สัญญาณเริ่มต้นการแสดง
สปอร์ตไลท์ไฟสลัวทั้งหมดส่องไปยังเวทีขนาดเล็กเป็จุดเดียว ยกเว้นทางเข้าด้านหนึ่ง แขกทุกคนนั่งอยู่รอบๆ เวที ใกล้มากจนสามารถเอื้อมมือไปััตัวคนบนเวทีได้
สิ้นเสียงแส้ ร่างกำยำของชายคนหนึ่งที่กำลังสะบัดแส้ก็ก้าวออกมาอยู่ใต้แสงไฟ ด้านหลังเขาเป็ชายวัยยี่สิบคนหนึ่งซึ่งถูกปิดตา สวมจุกอุดปาก รอบคอถูกพันธนาการด้วยเชือกปอ คลานตามเขามา รอยแดงพาดประสานตามส่วนต่างๆ บนร่างกายเปลือยเปล่าของชายผู้นี้ เมื่อมองดูก็จะรู้ว่ามีสาเหตุมาจากแส้หรืออะไรบ้างอย่าง
“เสียวอู่...” ใครบางคนในหมู่ผู้ชมกรีดร้องสุดเสียง
หลังจากได้ยินเสียงกรีดร้อง ครูฝึกบนเวทียกมุมปากด้านหนึ่งขึ้นบางๆ จากนั้นจูบแส้และโค้งตัวไปยังทิศทางของเสียงกรีดร้อง
เดี๋ยวนี้แม้แต่ครูฝึกก็มีแฟนคลับด้วยเหรอ? หน้าผากฉู่อี้มีเส้นดำๆ สามเส้นผุดขึ้นมา
จากนั้นเสียงทุ้มต่ำของครูฝึกเสียวอู่บนเวทีก็ดังขึ้น “วันนี้เป็การแสดงแรกของเสียวหมี่ ขอให้ทุกคนช่วยให้กำลังใจด้วยนะครับ” พูดจบก็มีเสียงสะบัดแส้อย่างแรงตามมา
แส้ถูกฟาดกระทบกับพื้นเวที ยังไม่ทันเฉียดตัวสัตว์เลี้ยงที่ชื่อเสียวหมี่ ก็เห็นได้ชัดว่าชายร่างกำยำที่กำลังคลานเข่าอยู่นั้นตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง จากนั้นเสียวหมี่ก็กดศีรษะลงจนปลายจมูกแตะพื้น ยกบั้นท้ายขึ้นสูงก่อนจะส่ายเบาๆ สองครั้ง ในตอนนี้เอง ฉู่อี้ก็มองเห็นว่ามีบางสิ่งที่คล้ายกับหางสัตว์ถูกสอดเข้าไปในร่างกายส่วนหลังของเสียวหมี่
ขณะเดียวกันนี้เอง เสียงปรบมือก็ดังออกมาจากหมู่ผู้ชม เพื่อเป็การให้กำลังใจการแสดงของพวกเขา
อันดับแรก เสียวอู่ดึงเชือกรอบคอเสียวหมี่แล้วเดินไปรอบๆ เวที พวกเขาเดินวนอย่างเชื่องช้า เนื่องจากแขกที่อยู้ใกล้ต่างเอื้อมมือไปตรวจสอบคุณภาพของเสียวหมี่กันยกใหญ่ บางคนแหย่มือเข้าไปในปากที่ถูกบังคับให้อ้าค้างจากอุปกรณ์ บางคนลูบคลำหน้าอก บั้นเอว และสะโพกของเสียวหมี่ แถมยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ััความเป็ชายของเสียวหมี่โดยตรง บางคนถึงขั้นดึงหางปลอมที่ติดอยู่ในช่องทางหลังของเสียวหมี่
“โซนที่ได้นั่งใกล้เวทีที่สุดคือโซน VIP ถ้าครูฝึกอนุญาต พวกเขาจะมีสิทธิ์ขึ้นมาเล่นกับสัตว์เลี้ยงบนเวที” กู้เฟิงััได้อย่างชัดเจนว่าฉู่อี้กำลังจกใตกลัว จึงอธิบายด้วยการกระซิบเสียงแ่ข้างหูฉู่อี้
ฉู่อี้เหลือบมองกู้เฟิงแวบหนึ่ง แต่ไม่พูดอะไร ก่อนจะหันเหความสนใจไปทางเวทีอีกครั้ง ทั้งที่รู้ว่าไม่มองจะดีกว่า แต่เขากลับละสายตาจากคนทั้งสองบนเวทีไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็ความคิดแบบมาโซคิสต์หรืออย่างไร แต่ฉู่อี้อยากรู้ว่าขอบเขตการทารุณกรรมสัตว์เลี้ยงในที่แห่งนี้จะไปสุดที่ตรงไหน
หลังจากเดินวนเสร็จ เสียวหมี่ก็ถูกพากลับมายังทางเข้าเวที จากนั้นเสียวอู่ก็ถอดผ้าปิดตาของเขาออก เสียวหมี่กวาดตามองไปรอบด้านด้วยความสับสน รู้ว่าเบื้องล่างของเวทีเต็มไปด้วยผู้คน แต่ด้วยแสงไฟที่มืดสลัว ทำให้เขามองเห็นได้ไม่ชัด
ตอนนี้เอง เสียวอู่ก็กดปุ่มบางอย่าง ทำให้แท่นทรงกลมที่มีเสาสี่ต้นโผล่ขึ้นมาตรงกลางเวที เสียวอู่เคาะแท่นนั้นด้วยแส้ เสียวหมี่จึงคลานเข้ามาใกล้และปีนขึ้นไปนั่งอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเสียวอู่ก็มัดแขนขาของเขาติดกับห่วงบนเสาทั้งสี่ต้น
บนแท่นนั้นมีร่องโค้งอยู่ เสียวหมี่วางศีรษะลงบนร่องนั้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นเพื่อให้ผู้ชมด้านล่างเวทีเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน ขาของเสียวหมี่ถูกยกสูง ทำให้ส่วนบั้นท้ายและปากถ้ำของเขาปรากฏหราต่อหน้าผู้ชมทุกคน
หลังจากมัดมือและเท้าเสร็จเรียบร้อย แท่นทรงกลมนั้นก็หมุนโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นสภาพของเสียวหมี่อย่างชัดเจน จากนั้นเสียวอู่ก็ดึงหางปลอมของเสียวหมี่ออก จนทำให้อีกฝ่ายกรีดร้องเสียงหลง เมื่อของสิ่งนั้นถูกดึงออกมา ฉู่อี้จึงได้รู้ว่าที่ปลายอีกด้านหนึ่งของหางนั้น ซึ่งก็คือส่วนที่สอดแทรกอยู่ในกายของเสียวหมี่ แท้จริงแล้วคือดิลโด้ขนาดใหญ่
แท่นกลางเวทียังคงหมุนอย่างเชื่องช้า เสียวอู่ทำการถอดจุกอุดปากของเสียวหมี่ออกเป็อันดับแรก จากนั้นหยิบไข่สั่นไร้สายจากไหนไม่รู้ออกมาหลายอัน ยืนอยู่ตรงขอบเวทีเพื่อแสดงให้ผู้ชมได้เห็น และเพื่อสาธิตประสิทธิภาพของไข่สั่น กดปุ่มเปิดการสั่นะเืทันที
เสียงเดียวที่ดังขึ้นในพื้นที่เล็กๆ เงียบสงัดแห่งนี้คือเสียงครางกระเส่าของเสียวหมี่และเสียงสั่นจากไข่สั่น แน่นอนว่ายังมีเสียงหอบหายใจหนักๆ ที่ดังสะท้อนอยู่รอบด้าน แต่ไม่แน่ชัดว่าต้นกำเนิดของเสียงนั้นมาจากไหน
จากนั้นเสียวอู่ก็เดินช้าๆ ตามทิศทางที่แท่นหมุนไป พร้อมกับสอดไข่สั่นในมือเข้าไปในร่างกายของเสียวหมี่ทีละชิ้นๆ ท่ามกลางสายตาของผู้ชม
หนึ่งอัน สองอัน สามอัน... ฉู่อี้มองการเขมือบกลืนของเสียวหมี่และนับตามโดยไม่รู้ตัว เสียงครวญคราวอันเย้ายวนของเสียวหมี่ถูกกลบด้วยเสียงอื่นๆ ในกลุ่มผู้ชม ราวกับพวกเขากำลังส่งเสียงฮึมฮัมอยู่ข้างหู
ไข่สั่นเจ็ดอันเต็มๆ! ไม่ใช่แค่เสียวหมี่ แม้แต่ฉู่อี้ที่เป็ผู้ชมยังเหงื่อแตกโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกของการมีไข่สั่นเจ็ดอันที่มีความถี่ต่างกันกระเด้งกระดอนอยู่ในร่างกายจะเป็อย่างไรนะ?!
ไข่สั่นเจ็ดอันอัดแน่นเต็มรูรักของเสียวหมี่ จนส่วนน่าอายนั้นนูนออกมาเล็กน้อย ทว่าเสียวอู่กลับเหวี่ยงแส้ฟาดเข้าที่ส่วนอ่อนไหวนั้นทันที ทำให้เสียวหมี่ครวญครางกระเส่าหนักขึ้น กลืนสิ่งนั้นเข้าไปอย่างแรง ตามด้วยเสียงเฆี่ยนตีไม่ยั้ง ตามต้นขา สะโพก หรือแม้แต่ดอกเบญจมาศของเสียวหมี่
ฉู่อี้เฝ้าดูตาไม่กะพริบ ยืดตัวออกราวกับเชือกที่กำลังจะขาดผึง เขารู้ดีว่ารสชาติของแส้ที่กระทบกับร่างกายเป็อย่างไร อันที่จริง เขาเพิ่งจะััประสบการณ์นั้นมาเมื่อตอนกลางวันนี้เอง
ฉู่อี้จ้องมองเวทีอย่างตั้งอกตั้งใจ ในขณะที่กู้เฟิงเฝ้ามองเขา กู้เฟิงรู้ว่าฉู่อี้ไม่ใช่ M หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ M อย่างเปิดเผย แม้ว่าคนเราจะมีจิตใต้สำนึกหรือแนวโน้มจะเป็ S หรือ M ซ่อนอยู่ในตัวไม่มากก็น้อย แต่การจะจับสังเกตได้ั้แ่ครั้งแรก และขุดมันขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้นนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของครูฝึกล้วนๆ โดยเฉพาะการฝึกคนที่ไม่ยอมรับความเป็ SM ในตัวให้กลายเป็สัตว์เลี้ยง ต้องใช้วิธีการและการตัดสินใจที่รอบคอบพอสมควร
เดิมทีบทเรียนวันแรกที่ฉู่อี้ได้รับเป็เพียงการกระตุ้นเบาๆ เท่านั้น การใช้ความเ็ปในระดับที่อีกฝ่ายรับได้ ร่วมกับการกระตุ้นทางเพศอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายจะสร้างปฏิกิริยาสะท้อนกลับแบบมีเงื่อนไข ทำให้เกิดการตื่นตัวทางเพศเมื่อได้รับความเ็ป และกลายเป็ M อย่างเต็มตัว นี้เป็จิตวิทยาอย่างง่ายที่สุด และยังเป็วิธีการที่กู้เฟิงใช้ประจำ สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไป คือหลังจากได้ยินเื่การแสดงของเสียวอู่ในเย็นวันนี้แล้ว เขาจึงเปลี่ยนอุปกรณ์ใน่บ่ายเป็ไข่สั่น สิ่งที่เขาต้องทำคือการทำให้ฉู่อี้รู้สึกแบบเดียวกับเสียวหมี่ที่อยู่บนเวที นอกจากการฝึกฝนร่างกายแล้ว การฝึกฝนจิตใจยากกว่าอย่างเห็นได้ชัด การจะทำให้คนธรรมดายอมรับว่าตนเองเป็ M หรือแม้กระทั่งยอมเป็สัตว์เลี้ยงได้ ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการเฆี่ยนตีเพียงไม่กี่ครั้ง มันคือาจิตวิทยา และสำหรับคนที่ใจเข็งแบบฉู่อี้ นี่เป็การเอาชนะที่ยากเป็พิเศษ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้