“ก็แค่รู้สึกว่าช่างน่าขันสิ้นดี ต่อให้เป็อัจฉริยะผู้โดดเด่นก็ไม่มีคุณสมบัติแตะต้องสมบัติสามชิ้นนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกไม่รู้หัวนอนปลายเท้าสองคนนี้!”
จิ้งหยากล่าวพลางเหยียดยิ้มเบา ๆ ทั้งยังปรายตามองพวกเย่เฟิงด้วยสายตาหยิ่งผยอง ในสายตาของนาง ศิษย์พี่เฉินซงของนางโดดเด่นที่สุด แต่หากเทียบกับอัจฉริยะระดับหัวกะทิ แน่นอนว่าศิษย์พี่ยังถือว่าด้อยกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น พวกไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างสองคนนี้ก็ไม่มีทางเทียบกับใครได้
เมื่อกล่าวจบ เฉินซงและจิ้งหยาเดินออกไปจากที่นี่ โดยมองเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์เป็เพียงคนโง่เขลาเบาปัญญา
“พวกหยิ่งยโส หากเราสองคนไม่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ป่านนี้ข้าคงซัดคนปากเสียพวกนั้นไปแล้ว!” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวพลางกัดฟัน นางไม่ชอบขี้หน้าเฉินซงและจิ้งหยาเป็อย่างมาก
“ช่างเถอะ พวกเราอย่าทำให้แผนการเสียเพราะไปทะเลาะกับสองคนนี้เลย” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้มจาง ๆ
ในเมื่อรู้ว่าหญ้าหนวดัจะปรากฏในงานประมูลวันพรุ่งนี้ที่หอการค้าเทียนจี๋ เย่เฟิงก็วางใจ ทั้งสองคนจึงกลับโรงเตี๊ยม
ภายในห้องพัก เย่เฟิงนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะ โดยมีแหวนมิติสี่วงอยู่บนโต๊ะนั้น ซึ่งเย่เฟิงหยิบแหวนมิติวงหนึ่งมาไว้ในมือ เขาพยายามเพ่งจิตเข้าไปในแหวนมิติ เพื่อที่จะปลดตราผนึกที่อยู่บนแหวนมิติและเอาของที่อยู่ในนั้นออกมา
พรุ่งนี้คือวันงานประมูลของหอการค้าเทียนจี๋ หญ้าหนวดัเป็ของล้ำค่า ทั้งยังมีผู้ฝึกยุทธ์จากทั่วสารทิศมาเข้าร่วม การแข่งขันต้องดุเดือดอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจำต้องเตรียมกำลังทรัพย์ของตนให้พร้อม
แม้เขาจะมีกำลังทรัพย์เพียงพอ แต่เื่เช่นนี้ต้องเตรียมให้พร้อมไว้จะดีกว่า หากเจอของอย่างอื่นในงานประมูล เย่เฟิงก็อาจสนใจและประมูลมันกลับมาด้วย
ทางเลือกที่ดีที่สุดของเย่เฟิงในตอนนี้คือแหวนมิติสี่วงจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะสี่คนแห่งสามกองกำลังจักรวรรดิจิ่วโยว
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะล้วนมีทรัพย์สมบัติอุดมสมบูรณ์ สมบัติในแหวนมิติของคนหนึ่งอาจจะมีมหาศาลจนถึงขั้นที่เย่เฟิงมิอาจประเมินได้ แล้วนับประสาอะไรกับแหวนมิติสี่วง
เย่เฟิงปลดปล่อยพลังจิตในสภาวะขีดสุด เพื่อที่จะพยายามเพ่งเข้าไปในแหวนมิติ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเพียงใด กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“ตราผนึกบนแหวนมิติของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะปลดไม่ได้ง่าย ๆ ตามที่คาดไว้”
เย่เฟิงลองไปครึ่งวัน แต่ยังคงทำไม่สำเร็จ จึงอดถอนหายใจไม่ได้
ต่อจากนั้นเย่เฟิงลองกับแหวนมิติอีกสามวง แต่ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เย่เฟิงทำได้เพียงขอคำชี้แนะจากราชันมารชื่อเทียนอีกครั้ง “ตาเฒ่า ข้าอยากนำของที่อยู่ในแหวนมิติสี่วงนี้ออกมา ท่านมีวิธีอะไรบ้างไหม?”
“เ้าน่าจะรู้ อันที่จริงแหวนมิติก็คืออาวุธชิ้นหนึ่งที่ผู้สร้างใช้วัตถุดิบประเภทพลังมิติที่สามารถเปิดมิติได้หลอมมันขึ้นมา”
พลันเสียงของราชันมารชื่อเทียนดังก้องในหัวของเย่เฟิง
“แก่นสารของอาวุธคือลวดลายเทวะ ในขั้นตอนการหลอมอาวุธ แม้เ้าจะทำตามขั้นตอนได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่หากสุดท้ายแล้ว ลวดลายเทวะที่สร้างออกมาไม่สมบูรณ์แบบ เช่นนั้นอาวุธที่เ้าหลอมออกมาก็ถือว่าล้มเหลว ดังนั้นลวดลายเทวะจึงถูกเรียกว่าเป็จิติญญาของอาวุธ เมื่อปรับเปลี่ยนลวดลายเทวะก็อาจจะปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของอาวุธได้ เช่นเดียวกับตอนที่เ้าปรับเปลี่ยนลวดลายเทวะบนเรือรบอินทนิลทองคำ ที่ข้าพูดไปเ้าเข้าใจหรือไม่?”
ราชันมารชื่อเทียนไม่ได้บอกวิธีปลดผนึกแหวนมิติกับเย่เฟิงตรง ๆ แต่เป็การชี้แนะเย่เฟิง
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เย่เฟิงพยักหน้า คำพูดของราชันมารชื่อเทียนทำให้เขานึกออกอย่างฉับพลัน “ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าตัวเองน่าจะปลดผนึกแหวนมิติพวกนั้นได้แล้ว”
ดวงตาของเย่เฟิงเป็ประกาย เขาถอนจิตออกจากสมองขณะเดียวกันก็พึมพำกับตัวเองว่า “ในเมื่อลวดลายเทวะคือจิติญญาของอาวุธ เช่นนั้นข้าก็จะปรับเปลี่ยนลวดลายเทวะเพื่อปลดผนึกแหวนมิติพวกนี้”
ทันใดนั้นเย่เฟิงปลดปล่อยพลังจิตออกมาอีกครั้ง พลันเก้าวัชรหุนหยวนโคจรเอง พร้อมกับภายในกายมีพลังหุนหยวนเริ่มไหลเวียน
เย่เฟิงเพ่งพลังจิตเข้าไปในแหวนมิติ โดยอาศัยสติปัญญาอันล้ำเลิศเรียนรู้ลวดลายเทวะที่ซ่อนอยู่ภายในแหวนมิติ
การหลอมแหวนมิติจำต้องใช้ลวดลายเทวะที่ละเอียดอ่อน ทุกลายเส้นที่ถักทอเข้าด้วยกันล้วนพิถีพิถัน ประหนึ่งเส้นชีพจรของอาวุธ
พลังจิตของเย่เฟิงจมปลักอยู่ภายในโลกของแหวนมิติ เขาเรียนรู้ลวดลายประหลาดเ่าั้ที่โลดแล่นอยู่ในนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าผ่านมานานเพียงใด เย่เฟิงคล้ายเข้าใจลวดลายเหล่านี้ จากนั้นแขนของเขาเริ่มขยับ พลันปลายนิ้วกลายเป็คมมีดที่วาดลวดลายบนแหวนมิติอย่างต่อเนื่อง
ทุกการเคลื่อนไหวจะปรากฏลวดลายที่เรืองรองแสงบนพื้นผิวของแหวนมิติ ไม่นานลวดลายเหล่านี้ที่เย่เฟิงวาดก็จมหายเข้าไปในแหวนมิติและถักทอเข้ากับลวดลายเดิม ทำให้ลวดลายเทวะอันเก่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องจนแสดงให้เห็นถึงรูปแบบที่หลากหลายออกมา
เมื่อวาดลวดลายเทวะหลาย ๆ ครั้ง ทำให้เย่เฟิงคุ้นชินกับพลังลวดลายเทวะ ดังนั้นหลังจากที่เขาตระหนักรู้ก็วาดลวดลายได้อย่างราบรื่น ประหนึ่งสายน้ำที่ไหลผ่าน ลวดลายประหลาด ๆ ปรากฏในสายตาเขาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีแสงเรืองรองออกมา
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเย่เฟิงก็ปรับเปลี่ยนลวดลายเทวะของแหวนมิติวงแรกสำเร็จลุล่วง บัดนี้มิติภายในแหวนจึงปรากฏที่เบื้องหน้าของเย่เฟิง
มิติแห่งนี้กว้างขวาง กระทั่งสามารถเก็บของทุกสิ่งไว้ในนี้ได้ ภายในนั้นมีขวดยาวางไว้อยู่มุมหนึ่ง พร้อมส่งกลิ่นหอมของสมุนไพรตลบอบอวล อีกด้านหนึ่งมีอาวุธมากมายวางไว้ตรงนั้น เทียบได้กับคลังแสงขนาดเล็ก อีกอย่างเย่เฟิงััได้ว่าระดับของอาวุธเหล่านี้ไม่ต่ำต้อย อย่างน้อยก็มีระดับสูงกว่าอาวุธที่เย่เฟิงพบเจอในตลาดที่ไปมาใน่นี้ และอาวุธเหล่านี้ยังสามารถขายได้ในราคาสูงอีกด้วย
ขณะนั้นเย่เฟิงหันไปมองที่ที่หนึ่ง ก่อนดวงตาจะลุกวาวเป็ประกาย เพราะตรงนั้นมีหินหยวนวางกองเป็ูเา ดูจากคร่าว ๆ แล้วส่วนใหญ่หินหยวนเ่าั้คือหินหยวนระดับสูง ซึ่งมีหลายพันก้อน ส่วนที่เหลือเป็วัตถุดิบราคาแพง นี่ทำให้เย่เฟิงใเป็อย่างมาก
“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะมั่งคั่งตามคาด!”
เมื่อเย่เฟิงเห็นทรัพยากรอันมหาศาลวางอยู่ตรงหน้าตัวเองก็อดตาเบิกกว้างไม่ได้ ในใจจึงยิ่งคาดหวังกับทรัพยากรที่อยู่ในแหวนมิติอีกสามวง
ในเมื่อเย่เฟิงปลดตราผนึกบนแหวนมิติได้แล้ว นั่นหมายความว่าเย่เฟิงคือเ้าของคนใหม่ของแหวนมิติวงนี้ ดังนั้นเย่เฟิงจึงไม่ได้นำสิ่งของเหล่านี้ออกไป อาจกล่าวได้ว่าเขาสามารถหยิบของเหล่านี้ออกไปได้ทุกเวลาและตอนไหนก็ได้
สองชั่วยามต่อมา เย่เฟิงใช้ประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนลวดลายเทวะ ในการปรับแก้ลวดลายเทวะบนแหวนมิติอีกสามวง แม้ลวดลายเทวะจะแตกต่างกัน แต่เย่เฟิงก็เอาชนะปัญหาเหล่านี้ได้ทีละนิด
แหวนมิติทั้งสี่วงล้วนบรรจุด้วยทรัพยากรอันมหาศาล มีทั้งหินหยวน เม็ดยา และอาวุธ ทว่าสมบัติในแหวนมิติของหญิงชราจากหมู่บ้านหานเสวี่ยอุดมสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งมีมากกว่าอีกสามคน นี่อาจจะเกี่ยวข้องกับฐานะและตำแหน่งในกองกำลังของแต่ละคน
เมื่อปลดผนึกแหวนมิติของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะทั้งสี่คนได้สำเร็จก็ทำให้เย่เฟิงกลายเป็คนมั่งคั่งในพริบตา แน่นอนว่าเย่เฟิงจะเข้าร่วมงานประมูลได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน
บัดนี้เย่เฟิงกลายเป็ผู้ได้รับการสนับสนุนกำลังทรัพย์จากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะทั้งสี่คน เกรงว่าไม่มีผู้ใดในแดนชิงอวิ๋นจะมั่งคั่งไปกว่าเย่เฟิงแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์ออกจากโรงเตี๊ยมมุ่งหน้าสู่หอการค้าเทียนจี๋ นอกจากพวกเย่เฟิง ยังมีผู้ฝึกยุทธ์ทั่วสารทิศมารวมตัวกัน ณ สถานที่แห่งนี้ เพื่อเข้าร่วมงานประมูล
งานประมูลกลายเป็จุดสนใจของชาวเมืองลอยฟ้าและผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่เพียงแต่มีชาวเมืองลอยฟ้าที่สนใจ แต่ผู้ฝึกยุทธ์จากทุกกองกำลังในแดนชิงอวิ๋นต่างก็เดินทางมาที่นี่ กระทั่งตระกูลสูงศักดิ์และเหล่าขุนนางจากหลาย ๆ อาณาจักรก็เช่นกัน
ผู้แข็งแกร่งล้วนปรากฏตัว ทั้งยังขี่สัตว์อสูรเหนือน่านฟ้าของเมืองลอยฟ้า ทำให้ผู้คนบนภาคพื้นดินต่างพากันใ แต่บางคนก็รู้สึกอิจฉาริษยา
“วี้ด!”
ขณะนั้นมีเสียงกู่ร้องของสัตว์อสูรประเภทนกดังกึกก้องทั่วฟ้า เหล่าผู้คนแหงนหน้ามอง ก่อนจะเห็นว่ามีนกั์สีขาวตัวหนึ่งบินโฉบผ่านเหนือหัวของพวกเขาไป
นกั์ตัวนั้นมีปีกยาวหลายสิบจั้ง กระพือแต่ละทียังสร้างกระแสลมกรรโชก กลายเป็พายุหมุนอาละวาดไปทั่วพื้นดิน ทำให้ผู้คนไม่น้อยถอยออกห่างจนเกือบล้มไปกับพื้น
เย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์เดินปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชน พวกเขาเองก็สังเกตเห็นนกั์ที่บินโฉบไปเมื่อครู่นี้ จากนั้นได้ยินกงซุนหลิงเอ๋อร์พูดขึ้นว่า “เป็วิหคหัวขาว ถือว่าพบเห็นได้น้อย มิหนำซ้ำยังระดับสูง แถมสายเืยังสูงส่ง เมื่อวิหคหัวขาวฟักตัวออกมาก็จะอยู่ระดับพิภพโดยปริยาย แต่วิหคหัวขาวตัวนี้อยู่ระดับปลายยอดพิภพอย่างเห็นได้ชัด และผู้ที่ขี่มันได้ก็คงไม่ใช่คนธรรมดา ๆ แน่นอน”
คำพูดของกงซุนหลิงเอ๋อร์ทำผู้คนมากมายเผยสีหน้าเลื่อมใสศรัทธาขณะแหงนหน้ามองท้องฟ้า พวกเขาส่วนใหญ่คือคนชั้นล่างที่อาศัยอยู่ในเมืองลอยฟ้า จึงเคารพนับถือผู้แข็งแกร่ง
