ฤดูใบไม้ผลิง่วง ฤดูใบไม้ร่วงเพลีย ฤดูร้อนก็อยากงีบ
ฤดูหนาวยิ่งนอนไม่ตื่นเลย
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่า สองประโยคนี้สะท้อนอยู่บนตัวเจียงอี้หยางได้อย่างสมบูรณ์แบบ
โดยเฉพาะในตอนคาบเรียนด้วยตัวเองภาคค่ำของวันนี้ ชวีเสี่ยวปอถึงกัลับได้ยินเสียงกรนดังขึ้นมาจากด้านหลัง
นักเรียนโดยรอบนั่งเรียนกันตามปกติ ส่วนใหญ่ล้วนแต่จมอยู่กับเสียงจากปลายปากกาของตัวเองที่กำลังขีดเขียนลงบนหน้ากระดาษ
“ให้ตายเถอะ นอนหลับเป็ตายขนาดนี้เลย”
ชวีเสี่ยวปอจ้องมองไปยังหนังสือเรียนภาษาจีนโบราณที่ต้องท่อง พร้อมทั้งเอนตัวพิงไปด้านหลังให้กระแทกกับโต๊ะ แต่คงจะยังแรงไม่พอ เพราะเสียงกรนของเจียงอี้หยางยังคงไม่หยุดลง
“อันนี้” เซี่ยเจิงหยิบอะไรบางอย่างที่เล็กๆ ออกมาจากในกระเป๋าสองอัน วางเอาไว้บนฝ่ามือ “ลองดูไหม? ”
“ที่อุดหู? ” ชวีเสี่ยวปอรีบหยิบขึ้นมา จากนั้นก็ยัดใส่เข้าไปในหูข้างหนึ่งก่อน “นายมีของแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย? ”
“อืม ่ก่อนแถวบ้านฉันมีไซต์ก่อสร้างน่ะ เสียงดังมาก ก็เลยซื้อมา” เซี่ยเจิงมองเขา แล้วจึงห้ามชวีเสี่ยวปอเอาไว้ก่อน “เดี๋ยว”
ชวึเสี่ยวปอหยุดมือที่กำลังจะเอาที่อุดหูอีกข้างหนึ่งใส่เข้าไปทันที “มีอะไรเหรอ? ”
“เสาร์อาทิตย์ว่างไหม? ” เซี่ยเจิงถามขึ้นเสียงเบา
“ว่าง...ก็ว่างอยู่นะ” ชวีเสี่ยวปอสงสัยขึ้นมาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มจนตาหยีขึ้นมาทันที “จะไปเดตทใช่เปล่า? ”
“ใช่” เซี่ยเจิงเองก็ยกยิ้มขึ้นมาเช่นกัน “สองวันก่อนมีหนังเข้าใหม่ ฉันเห็นรีวิวหนังก็ไม่แย่เท่าไหร่ด้วยนะ”
“จริงไหม? ” ชวีเสี่ยวปอมองไปยังด้านหลังห้องเรียน เพื่อยืนยันดูสักหน่อยว่าไม่มีครูหัวหน้าระดับที่ชอบโผล่มาบ่อยๆ ยืนอยู่ แล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาค้นหาชื่อภาพยนตร์ “ให้ตายเถอะ คะแนนรีวิวสูงมากเลยนะเนี่ยตั้ง 8.6 แหนะ” ชวีเสี่ยวปอค่อยๆ เลื่อนลงมาดูด้านล่าง “เป็หนังรักซะด้วย”
“จะดูไม่ดู” เซี่ยเจิงควงปากกาไปมา “พวกเราเลือก่ที่คนน้อยๆ หน่อยก็แล้วกัน”
“เสาร์อาทิตย์คนไม่น้อยหรอก” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะออกมาสองที พลางเก็บโทรศัพท์ให้เรียบร้อย “ตอนค่ำนะ กลางวันฉันมีธุระ”
“เรียนพิเศษเหรอ? ” เซี่ยเจิงนึกไม่ออกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์นอกจากเื่นี้แล้วชวีเสี่ยวปอยังมีเื่อะไรอื่นอีก
“ไม่——ใช่——” ชวีเสี่ยวปอลากเสียงยาว ตั้งใจหลบสายตาด้วยท่าท่างที่ดูลึกลับ “ฉันมีเื่ใหญ่เื่อื่นน่ะ เื่ใหญ่มากๆ เลยด้วย”
“ใหญ่แค่ไหน” เซี่ยเจิงถอนดหายใจออกมาอย่างไม่มีทางเลือก “เื่ของขวัญวันเกิดเหรอ? ”
…………………………
ไม่สามารถปิดบังอะไรจากคุณแฟนที่ฉลาดหลักแหลมของฉันได้เลย
ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งสัปดาห์ก็จะถึงวันเกิดของเซี่ยเจิงแล้ว ประวัติการเข้าชมและคีย์เวิร์ดในเว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์แห่งหนึ่งของชวีเสี่ยวปอทั้งอาทิตย์นี้ก็ล้วนปรากฏแต่คำว่า “ของขวัญให้แฟน” “ของขวัญวันเกิด” “ของขวัญคู่รัก” อยู่เต็มไปหมด
แต่ทว่าเมื่อเลื่อนดูไปดูมาแล้วก็ยังรู้สึกไม่ค่อยน่าสนใจสักเท่าไหร่ มีแต่พวกช็อกโกแลต น้ำหอม แมคคานิคอลคีย์บอร์ด [1] อะไรทำนองนี้ ซึ่งเขาก็ดูจนเบื่อไปหมดแล้ว
“ดูเหมือนว่าจะเปิดเผยไม่ได้สินะ” เซี่ยเจิงทำเสียงจิ๊ปาก
“ต้องเก็บเป็ความลับ” ชวีเสี่ยวปอกดปากกาลูกลื่นขึ้นลง พลางมองปากกาที่กำลังแต้มจุดเล็กๆ ลงไปบนสมุดจด แต่สุดท้ายชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่รู้ว่ากล้ามเนื้อส่วนไหนของเขาผิดปกติไป จู่ๆ ก็จับมือเซี่ยเจิงเอาไว้ ถกแขนเสื้อของเขาขึ้น จากนั้นก็ละเลงวาดนาฬิกาขึ้นมาเรือนหนึ่ง
เซี่ยเจิงเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ปล่อยให้ชวีเสี่ยวปอวาดไปตามสบาย เพียงแต่ในตอนที่วาดบนข้อมือ หัวปากกาเล็กๆ ลากผ่านิัไปมาจึงทำให้รู้สึกคันขึ้นมาเล็กน้อย
“เวลานี้นะ” หลังจากวาดเสร็จชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้ปล่อยมือออก ดึงข้อมือของเซี่ยเจิงขึ้นมามองดูครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมทั้งพยักหน้าขึ้นมา ราวกับว่ารู้สึกพอใจในผลงานของตัวเองเป็อย่างมาก “วันเสาร์ตอนกลางวันไม่ว่างแล้ว แต่ไปดูหนังรอบค่ำได้ไม่มีปัญหา”
เซี่ยเจิงเหลือบมองเข็มนาฬิกาอันบิดๆ เบี้ยวๆ ที่ชี้ไปยังเลขแปดบนข้อมือครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะดึงแขนเสื้อลงมาปิดนาฬิกาข้อมือเอาไว้ “พอฉันเข้าอนุบาลก็เลิกวาดอะไรแบบนี้แล้วนะ นายรู้ไหม? ”
“ใคร...ใครเข้าอนุบาล” เจียงอี้หยางที่เรียกไม่ตื่นตั้งนานสองนาน จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาเอง ทั้งยังพูดแทรกขึ้นมาอย่างงัวเงีย “ปอเอ๋อร์นายจะเข้าอนุบาลเหรอ? ”
“นายนี่นะ...หูหาเื่จริงๆ ” ชวีเสี่ยวปอหันไปใช้มือกดเจียงอี้หยางที่เพิ่งจะเงยหน้าขึ้นมาให้ติดลงไปกับโต๊ะอีกครั้ง “นายนอนไปเถอะ”
เช้าวันเสาร์ชวีเสี่ยวปอไม่ได้นอนขี้เซา เพราะสถานที่ที่เขาจะไปนั้นเปิดั้แ่เก้าโมงเช้า หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นมาจากเตียง เขาล้างหน้าแปรงฟันลวกๆ แล้วจึงออกจากบ้านไปทันที
“ตรอกที่สามสิบห้าครับ” หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอขึ้นรถแท็กซี่มาเรียบร้อยแล้ว จึงบอกสถานที่ที่จะไป
ถึงแม้จะเรียกว่า “ตรอก” แต่ความจริงแล้วสถานที่ที่ชวีเสี่ยวปอจะไปนั้นกลับไม่ใช่ตรอกเลยสักนิด... ในสมัยก่อน จริงๆ แล้วที่ตรงนี้เป็ย่านศิลปะ แรกเริ่มเดิมทีเป็เพียงตรอกเล็กๆ ที่ค่อยๆ สร้างขยายใหญ่ขึ้นมา ดังนั้นชื่อเรียกก็เลยถูกส่งต่อกันมาเช่นนี้
สถานที่แห่งนี้มีแกลเลอรี่ภาพวาดและนิทรรศการศิลปะมากมาย อีกทั้งยังมีสตูดิโอทำงานศิลปะอยู่ไม่น้อยเลยเช่นกัน เพียงแต่เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งอยู่ห่างไกล บวกกับไม่ค่อยสนใจสิ่งเหล่านี้สักเท่าไหร่ ชวีเสี่ยวปอจึงมาที่นี่นับครั้งได้
ทันทีที่ลงจากรถแท็กซี่ ชวีเสี่ยวปอก็เดินตามแผนที่ในโทรศัพท์ทะลุถนนสองเส้นไป แต่ก็ยังหาที่หมายของตัวเองไม่เจอ
.............................
เชิงอรรถ
[1] แมคคานิคอลคีย์บอร์ด (Mechanical Keyboard) หรือ คีย์บอร์ดกลไก เป็คีย์บอร์ดที่ทำงานโดยใช้กลไกของปุ่มตัวอักษรซึ่งจะให้ััและเสียงที่ต่างออกไป โดยส่วนมากจะเป็คีย์บอร์ดที่เกมเมอร์นิยมใช้
…………………………
ชวีเสี่ยวปอเดินเรียบถนนไปด้านหน้าอีกประมาณสิบกว่าเมตร เมื่อยืนยันแล้วว่าด้านหน้าของตรอกเป็ทางตัน ไม่มีทางให้เดินต่อไปได้แล้ว เขาจึงถอนหายใจออกมา พลางเลื่อนหารายชื่อในโทรศัพท์ แล้วกดโทรออกไปในที่สุด
“สวัสดีค่ะ ร้านเซรามิกเซี่ยเฟิงค่ะ” ปลายสายเป็เสียงอันอ่อนหวานของหญิงสาวคนหนึ่ง
“สวัสดีครับ เอ่อ ผมจะมาทำเซรามิกน่ะครับ” ชวีเสี่ยวปอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดเสริมออกไป “ที่นัดเอาไว้เมื่อสองวันก่อน ผมแซ่ชวีครับ ตัวชวีที่เหมือนชวีหยวนน่ะครับ”
“อ้อ ทราบแล้วค่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับมา “ถ้างั้นคุณจะเข้ามาตอนนี้เลยไหมคะ? ”
“ผมถึงแล้วครับ” ชวีเสี่ยวปอพูดขึ้น “ไม่ใช่สิ พูดให้ถูกคือ ผมถึงย่านศิลปะแล้วละครับ แต่ผมหาร้านของคุณไม่เจอ”
“บอกตำแหน่งของคุณมาอย่างละเอียดได้ไหมคะ” อีกฝ่ายหัวเราะขึ้นมาเสียงเบา “ร้านเราหายากพอสมควรเลยค่ะ”
…………………………
“ผมอยู่ในตรอกตรอกหนึ่ง ที่เป็ตรอกตัดน่ะครับ” ชวีเสี่ยวปอหันตัวกลับมา “ทางซ้าย...มีประติมากรรมอยู่ตัวหนึ่ง รูปร่างดูเป็ศิลปะมากเลยครับ”
อีกฝ่ายไม่สามารถหยุดหัวเราะลงได้ เธอรู้สึกขบขันขึ้นมาอีกครั้งอย่างเห็นได้ชัดกับคำอธิบายที่พูดก็เหมือนไม่ได้พูดของชวีเสี่ยวปอ “คุณดูแถวนั้นหน่อยค่ะว่ามีร้านอะไรบ้างไหม? เพราะถึงยังไงย่านนี้ก็มีประติมากรรมศิลปะอยู่ทุกที่แหละค่ะ”
“เอ่อ” ชวีเสี่ยวปอใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที พร้อมทั้งมองไปยังป้ายร้านที่อยู่รอบๆ อย่างลนลาน “สตูดิโอสัก ตรงนี้มีสตูดิโอสักทาร์ตไข่ [1] อยู่ครับ”
“......” อีกฝ่ายเงียบไปอยู่หลายวินาที “สตูดิโอสักกระหน่ำ [2] หรือเปล่าคะ”
หลังจากผ่านไปห้านาที ชวีเสี่ยวปอก็เห็นรถจักรยานไฟฟ้าคันหนึ่งกำลังวิ่งตรงเข้ามาหาเขาจากไกลๆ ผมสั้นของหญิงสาวที่ขี่จักรยานไฟฟ้ามาปลิวไสวไปตามสายลม แล้วรถจักรยานไฟฟ้าที่ขับมาด้วยความเร็วคันนั้นก็เบรกเอี๊ยดหยุดอยู่ตรงหน้าชวีเสี่ยวปอทันที
ชวีเสี่ยวปอรีบเงยหน้าขึ้นไปมอง เขากำลังจะพูดขึ้นมาว่า “ขอโทษนะครับรบกวนคุณแล้ว” แต่หญิงสาวก็เอ่ยขึ้นมาก่อนว่า : “ใช่คุณทาร์ตไข่ไหมคะ? ” ทำให้ชวีเสี่ยวปอต้องกลืนคำพูดที่อยากจะพูดออกมากลับลงไป
เสียงนี้แหละ ผู้หญิงเสียงหวานที่อยู่ในโทรศัพท์เมื่อครู่
แล้วนี่จะให้ฉันตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ดีล่ะเนี่ย?
“คุณใช่ไหมคะ? คนที่นัดไว้ คุณทาร์ตไข่” หญิงสาวยกมือขึ้นมาลูบผม เธอเห็นชวีเสี่ยวปอไม่ตอบ จึงชะโงกศีรษะเข้าไปมองเขาใกล้ๆ พลางถามขึ้นมาอีกหนึ่งรอบ
“...ใช่ครับ” ชวีเสี่ยวปอยิงฟันฝืนยิ้มขึ้นมา แต่ในใจกลับคิดว่าถ้างั้นก็คงจะเข้ากับพวกคุณที่เป็ร้านร้านอาหารเลิศรสแล้วละ?
“ฮ่าๆ ร้านเราหาค่อนข้างยากน่ะค่ะ” หญิงสาววางเท้าข้างหนึ่งเอาไว้บนรถจักรยานไฟฟ้า พลางตบไปที่เบาะหลัง “ขึ้นมาเถอะค่ะ ฉันต้องรีบพาคุณกลับร้าน วันนี้ฉันอยู่ร้านคนเดียว”
“คุณเป็...เ้าของร้าน? ” แตกต่างจากในโทรศัพท์มาก นิสัยของหญิงสาวทำให้รู้สึกคุ้นเคยเหมือนรู้จักกันมานาน แต่กลับไม่ได้ดูน่าเกลียดเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นชวีเสี่ยวปอจึงไม่ได้เกรงใจอะไรแล้ว เขาก้าวขาคร่อมขึ้นไป เพียงแต่รถจักรยานไฟฟ้าคันนี้ค่อนข้างเตี้ย ขาของเขาเลยไม่สามารถเหยียดออกไปตรงๆ ได้ จึงทำได้เพียงงอมันเอาไว้เช่นนั้น
“นั่งดีแล้วหรือยังคะ? ” หญิงสาวหักรถจักรยานไฟฟ้าให้หมุนกลับมา ทันทีที่ขี่ออกไป ชวีเสี่ยวปอที่นั่งอยู่ด้านหลังก็รู้สึกว่าเสียงของหญิงสาวล้วนถูกลมพัดปะทะเข้ามาในหูของเขาทั้งหมดแล้ว “ฉันไม่ใช่เ้าของร้านหรอกค่ะ ปกติแล้วเลิกงานโน้นเ้าของร้านถึงจะมา”
หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที รถจักรยานไฟฟ้าก็มาจอดตรงที่ที่ชวีเสี่ยวปอเพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่นี้ เสียงติ๊ดๆ ดังขึ้น หญิงสาวล็อกรถเป็ที่เรียบร้อย ทันทีที่ลงจากรถก็สังเกตเห็นความงุนงงของชวีเสี่ยวปอเข้า ก่อนที่เธอจะยิ้มพลางชี้มือขึ้น้า :
“เมื่อกี้ไม่ได้มองข้างบนล่ะสิ ตรงนี้ค่ะ !”
ชวีเสี่ยวปอมองขึ้นไปตามทิศทางที่นิ้วของเธอชี้ไป บนชั้นสองมีป้ายไม้สีเหลืองที่เขียนไว้อย่างเด่นชัดว่า “ร้านเซรามิกเซี่ยเฟิง” แขวนเอาไว้อยู่
“ตามฉันมาค่ะ” หญิงสาวโบกมือให้ชวีเสี่ยวปออย่างผ่าเผย แล้วจึงดันประตูกระจกที่อยู่ด้านข้างเข้าไป
ชั้นแรกเป็ระเบียงทางเดินแคบๆ ซึ่งเชื่อมต่อกับบันไดที่ผ่านขึ้นไปยังชั้นสองโดยตรง ส่วนหญิงสาวที่กำลังเดินนำหน้าชวีเสี่ยวปออยู่นั้น เธอก็ยังไม่ได้หยุดพูดลงเลย :
“คุณเคยทำเซรามิกมาก่อนหรือเปล่าค่ะ? ”
“ครับ” ขั้นบันไดสั้นมาก หลังจากที่เลี้ยวขึ้นตึกไปก็เจอกับชั้นสองที่ดูกว้างขึ้นมาเป็อย่างมาก ห้องที่มีขนาดประมาณหนึ่งร้อยกว่าตารางเมตร พื้นที่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งล้วนถูกจัดวางไปด้วยเครื่องปั้นขึ้นรูป ส่วนพื้นที่ที่เหลือก็จัดวางชั้นมากมายที่เต็มไปด้วยเครื่องปั้นหลากหลายรูปแบบ
ชวีเสี่ยวปอกวาดสายตามองคร่าวๆ ไปครั้งหนึ่ง เครื่องปั้นที่อยู่บนชั้นดูแปลกประหลาดเป็อย่างมาก อีกทั้งยังมีทุกรูปแบบ ถึงขนาดที่ว่าเขายังเห็นลูกสุนัขตัวหนึ่งที่ถูกปั้นให้มีแค่สามขา พวกรูปปั้นเหล่านี้คงน่าจะเป็ของลูกค้าบางส่วนที่ทำเสร็จแล้วแต่ไม่ทันได้เอากลับไป
“บางครั้งฉันก็เปิดสอนเป็คลาสอะไรทำนองนั้นด้วยนะคะ แต่วันนี้ไม่มีค่ะ” หญิงสาวแนะนำให้ชวีเสี่ยวปอฟังอย่างกระตือรือร้น พร้อมทั้งชี้ไปยังของบนชั้นวางเ่าั้ด้วย “ในนั้นมีอันที่คุณอยากทำไหมคะ? ”
“ผมอยากทำแบบง่ายๆ ครับ แบบที่ง่ายสุดๆ เลยน่ะครับ” ชวีเสี่ยวปอเกาศีรษะไปมา “เช่น แก้วน้ำอะไรทำนองนั้น”
อันที่จริงก่อนมาชวีเสี่ยวปอคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แก้วน้ำใบนั้นของเซี่ยเจิงแตกพอดี ถ้าได้เอาแก้วที่ปั้นเองกับมือให้เขาก็จะเหมาะเจาะเลย
“ได้เลยค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า แต่แล้วจู่ๆ เธอก็ยิ้มขึ้นมาอย่างเ้าเล่ห์ “ทำไปให้แฟนใช่ไหมคะ? ”
.............................
เชิงอรรถ
[1] ทาร์ตไข่ ( 蛋挞 ) คำจีนอ่านว่า ต้านท่า ซึ่งในที่นี้ชวีเสี่ยวปออ่านอักษรตัวแรกผิดจึงทำให้ความหมายเปลี่ยนไปเป็คำคำนี้
[2] กระหน่ำ ( 鞭挞 ) คำจีนอ่านว่า เปียนท่า