“ข้า...ข้าอยากไปขอบคุณท่านแม่ทัพด้วยตัวเอง...”
ในที่สุด หวาชิงเสวี่ยก็พูดออกมาเช่นนี้
“จะไปอีกแล้วหรือ?” หลี่จิ่งหนานขมวดคิ้ว “เ้าเพิ่งไปมาเมื่อครู่นี้เองไม่ใช่หรือ?”
“ข้านึกขึ้นได้ว่ามีเื่สำคัญที่ยังไม่ได้บอกท่านแม่ทัพ!” หวาชิงเสวี่ยพูดอย่างรีบร้อน จากนั้นก็หันหลังวิ่งออกไปนอกกระโจม
หลี่จิ่งหนานอุตส่าห์หนีออกมาจากเมืองเหรินชิวได้ นางไม่อาจทนเห็นเขาตายไปต่อหน้าต่อตา!
หากไม่พยายามจนถึงที่สุด หวาชิงเสวี่ยจะไม่ยอมแพ้ อย่างน้อยก่อนไป นางก็อยากรู้ผลลัพธ์! พวกเขาจะ...จัดการกับหลี่จิ่งหนานอย่างไรกันแน่?
จะส่งเขากลับเมืองหลวงเพื่อขึ้นครองราชย์เป็ฮ่องเต้ หรือว่าจะส่งมอบเขาให้ไปอยู่ในมือ...คนที่เรียกว่าหนิงอ๋อง?
หวาชิงเสวี่ยวิ่งกลับไปที่กระโจมของฟู่ถิงเย่ ขณะนั้นฟู่ถิงเย่อยู่ข้างนอกพอดี เขากับฉินเหลาอู่ยืนอยู่ด้วยกัน ดูเหมือนกำลังมอบหมายงานอะไรบางอย่าง
ฟู่ถิงเย่เห็นหวาชิงเสวี่ยวิ่งเข้ามา เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววสับสน
“ท่านแม่ทัพ...” หวาชิงเสวี่ยเอามือกุมหน้าอกตัวเองแล้วหอบหายใจ “...ข้า ข้ามีเื่จะเรียนท่าน”
ฉินเหลาอู่พูดกับฟู่ถิงเย่ “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ” แล้วก็เดินออกไป
ก่อนไปยังจงใจเหลือบมองหวาชิงเสวี่ยแวบหนึ่ง ด้วยสายตาแปลกประหลาด
แต่ตอนนี้หวาชิงเสวี่ยไม่สนใจเื่เ่าั้ นางถามฟู่ถิงเย่ด้วยความร้อนใจ “ขอท่านแม่ทัพอย่าเพิ่งโกรธนะเ้าคะ แท้จริงแล้วข้ารู้สึกไม่สบายใจ องค์รัชทายาทเคยช่วยชีวิตข้าไว้ แม้เื่นี้จะไม่เกี่ยวข้องกับข้า แต่ข้า...ข้าไม่อาจทนดูอยู่เฉยๆ ได้จริงๆ”
ฟู่ถิงเย่ขมวดคิ้วแล้วจ้องมองนาง “เ้าเป็ห่วงเขามากเลยหรือ?”
“หากไม่ใช่เพราะองค์รัชทายาท ข้าคงแข็งตายอยู่บนูเาพานหลงไปั้แ่ตอนนั้นแล้ว”
ฟู่ถิงเย่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ดังนั้น เ้าจึงทำไปเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิต? แต่เ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ หากเื่นี้แดงขึ้นมา เ้าก็จะไม่มีทางรอดชีวิตไปได้เช่นกัน”
สีหน้าของหวาชิงเสวี่ยยิ่งซีดเผือด นางไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น ตอนนี้นางคิดเพียงอย่างเดียวว่า หากฟู่ถิงเย่ไม่ปกป้ององค์รัชทายาท นางก็จะพาหลี่จิ่งหนานหนีไป! ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน ไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น! ขอแค่มีชีวิตรอดต่อไปได้!
ฟู่ถิงเย่เห็นนางไม่ตอบอะไร จึงพูดอีกครั้งว่า “ที่จริงแล้วมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เ้าคิด หากหนิงอ๋องก่อการสำเร็จ องค์รัชทายาทก็คงจะถูกกักขังไว้ ถูกเลี้ยงดูเหมือนคุณชายมีอันจะกิน แม้ชั่วชีวิตของเขาจะไม่มีโอกาสทำอะไรได้อีก แต่ก็มีกินมีใช้ไปตลอด”
หวาชิงเสวี่ยนึกถึงดวงตาสีดำเป็ประกายสดใสของหลี่จิ่งหนานคู่นั้น ทุกครั้งที่เอ่ยถึงเสด็จพ่อ แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเคารพและความใฝ่ฝัน เขาอยากเป็ฮ่องเต้ที่ดี ถึงแม้จะยังเด็ก แต่หวาชิงเสวี่ยก็มองออกว่า หลี่จิ่งหนานยึดถือเสด็จพ่อเป็แบบอย่างมาโดยตลอด จึงอยากเป็ฮ่องเต้ที่ดีให้ได้
เด็กแบบนั้น หากถูกเลี้ยงดูไว้เหมือนนกขมิ้นในกรงทอง...
หวาชิงเสวี่ยไม่กล้าจินตนาการ...
“เด็กๆ มักลืมง่าย เมื่อเขากลับไปถึงเมืองหลวง เขาอาจจะจำเ้าไม่ได้แล้วก็ได้” ฟู่ถิงเย่พูดเสียงเรียบ “เ้าวางใจเถอะ ข้าจะไปส่งเขาที่เมืองเซิ่งจิงด้วยตัวเอง เพื่อให้มั่นใจว่าองค์รัชทายาทได้ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย หนิงอ๋องเป็คนรักษาภาพลักษณ์ให้ดูดี แม้จะ้าชีวิตขององค์รัชทายาท แต่ก็คงจะยังไม่รีบร้อนทำอะไรตอนนี้”
“ท่านแม่ทัพ...ไม่เคยคิดจะสนับสนุนให้องค์รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์บ้างหรือเ้าคะ?” อาจจะเป็เพราะรู้ว่าตัวเองดูหน้าหนาไปสักหน่อย ใบหน้าของหวาชิงเสวี่ยจึงแดงเรื่อ แต่ก็ยังกัดฟันพูดออกมาอย่างหนักแน่น “ถึงแม้ว่าองค์รัชทายาทจะยังเยาว์วัย แต่พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถและมีพระทัยเมตตา ขอเพียงให้เวลา พระองค์จะต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้แน่นอน ส่วนหนิงอ๋องคนนั้น...หนิงอ๋องคนนั้น เขาฉวยโอกาสตอนที่บ้านเมืองกำลังมีภัย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนดี!”
คิก...
ฟู่ถิงเย่ผู้เคร่งขรึม หลุดหัวเราะออกมา
หวาชิงเสวี่ยอ้าปากค้าง
หัวเราะอะไรกัน! ตอนนี้นางกำลังพูดเื่จริงจังอยู่นะ!
ฟู่ถิงเย่ถูกหวาชิงเสวี่ยทำให้ขำเข้าแล้วจริงๆ นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้ยินคนใช้คำว่าคนดีหรือคนเลวมาตัดสินกษัตริย์ของแคว้น...
แต่ว่า มีอย่างหนึ่งที่นางพูดถูกต้อง องค์รัชทายาททรงปรีชาสามารถ หากได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดี ในอนาคตจะต้องเป็ผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ส่วนหนิงอ๋อง...แม้เขาจะมีใจอยากสวามิภักดิ์ แต่หนิงอ๋องเป็คนเ้าเล่ห์เพทุบาย ภายใต้บังคับบัญชามีคนที่มีความสามารถมากมาย อาจจะไม่สามารถให้ความสำคัญกับเขา
และเขา ฟู่ถิงเย่ ไม่ได้เห็นหนิงอ๋องอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“หวาชิงเสวี่ย!”
เ้าซาลาเปาน้อยะโเรียก วิ่งมาจากที่ไกลๆ ท่าทางดีใจจนลืมความสง่างามขององค์รัชทายาทไปเลย
เมื่อเข้ามาใกล้ คงจะรู้สึกตัวว่ามีทหารมองมา หลี่จิ่งหนานจึงกระแอมสองครั้ง แล้วค่อยๆ เดินทอดน่องเข้ามาหา
“หวาชิงเสวี่ย เปิ่นเตี้ยนเซี่ยจะกลับเมืองหลวงแล้ว พวกเราไปด้วยกันก็ได้”
หวาชิงเสวี่ยมองไปที่ฟู่ถิงเย่ด้วยความประหลาดใจ
ฟู่ถิงเย่จึงพูดว่า “เมื่อครู่กระหม่อมสั่งให้ลูกน้องไปเตรียมเสบียงที่ต้องใช้ในการเดินทาง หากองค์รัชทายาทไม่รีบร้อน สามารถเสวยก่อนได้พ่ะย่ะค่ะ จากนั้นเราค่อยเดินทางกัน”
หลี่จิ่งหนานโบกมือ ตอบกลับด้วยท่าทางอย่างผู้มีการศึกษา “ออกเดินทางแต่เช้าก็จะถึงเมืองเซิ่งจิงเร็วๆ เสด็จพ่อเสด็จแม่จะได้สบายพระทัยได้เร็วขึ้นด้วย”
หวาชิงเสวี่ยเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไร
หลี่จิ่งหนานยังไม่รู้ว่าใน่เวลาที่เขาตกอยู่ในอันตราย เสด็จพ่อของเขา...ตไปแล้ว...
...
กองทหารทั้งสองเตรียมพร้อมแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว
หวาชิงเสวี่ยจะไปเมืองผานสุ่ย หากนั่งรถม้าไปก็ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม จึงจัดรถม้าให้เพียงคันเดียวกับทหารสองนาย
ส่วนทางด้านองค์รัชทายาทกลับจัดทหารไว้อย่างยิ่งใหญ่ถึงสามร้อยกว่านาย ขบวนดูยิ่งใหญ่อลังการ
ฟู่ถิงเย่ส่งองค์รัชทายาทขึ้นรถม้า หลี่จิ่งหนานกลับวิ่งไปหยุดอยู่ข้างๆ หวาชิงเสวี่ย แล้วพูดว่า “หวาชิงเสวี่ย พอข้ากลับวังแล้ว จะให้เสด็จพ่อพระราชทานรางวัลให้เ้า! ให้ตำแหน่งหรูเหริน [1] เป็อย่างไร? ขั้นเจ็ดเลยนะ!”
ฟู่ถิงเย่พูดไม่ออก เขาเป็ถึงแม่ทัพใหญ่ขั้นหนึ่ง ในอนาคตภรรยาของเขา อย่างไรก็ต้องมีตำแหน่งขั้นสามเป็อย่างต่ำ
เ้าเด็กแสบ ให้ตำแหน่งขั้นเจ็ดนี่มันหมายความว่าอย่างไร?
หวาชิงเสวี่ยไม่เข้าใจเื่ตำแหน่งหรูเหริน จึงส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก ฝากขอบคุณเสด็จพ่อของเ้าแทนข้าด้วย”
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” หลี่จิ่งหนานทำท่าลำบากใจ “เสด็จพ่อของข้าเคยตรัสว่า ทรัพย์สินเงินทองนั้นสูญเสียไปได้ แต่บุญคุณนั้นทดแทนได้ยาก มีบุญคุณก็ต้องทดแทน ไม่อย่างนั้นหากวันหนึ่งมีคนมาเอาบุญคุณมาเรียกร้องเงื่อนไข เสนอขอสิ่งที่เราตอบสนองให้ลำบาก เมื่อนั้นจะยิ่งยุ่งยาก”
หวาชิงเสวี่ยหัวเราะ “เข้าใจแล้ว ได้ยินว่าราคาสินค้าในเมืองเซิ่งจิงสูงมาก ขอให้เสด็จพ่อของเ้าพระราชทานบ้านให้ข้าสักหลังสิ ต่อไปหากข้าไปเยี่ยมเ้าที่เมืองเซิ่งจิง ก็จะมีที่อยู่ เป็อย่างไร?”
ดวงตาของหลี่จิ่งหนานเป็ประกาย “เ้าจะไปเยี่ยมข้าที่เมืองเซิ่งจิงจริงหรือ?”
“ทุกอย่างล้วนเป็ไปได้” หวาชิงเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันหลังกลับไปค้นหาอะไรบางอย่างในรถม้าของตนเอง หยิบสบู่ก้อนหนึ่งออกมา ยื่นให้หลี่จิ่งหนาน “นี่ ของขวัญอำลา”
สบู่แบบนี้มีกระบวนการผลิตที่เรียบง่ายที่สุด ไม่ผสมน้ำหอมหรือสีใดๆ ไม่ได้ผ่านการตัดแต่ง ก้อนที่อยู่ในมือตอนนี้จึงมีสีน้ำตาลอมเหลือง ดูไม่น่ามอง อีกทั้งยังค่อนข้างหนัก
หลี่จิ่งหนานจำได้ว่านี่คือสบู่ที่หวาชิงเสวี่ยทำขึ้น รู้สึกแปลกใจมาก “ทำเสร็จแล้วหรือ?”
“อืม พอเ้ากลับถึงเมืองเซิ่งจิงก็น่าจะใช้ได้แล้ว” หวาชิงเสวี่ยห่อด้วยผ้ากันน้ำให้เขา แล้วกำชับว่า “ตัดเป็ชิ้นเล็กๆ ก่อนใช้ก็ได้นะ จะได้สะดวกกว่า”
หลี่จิ่งหนานย่นจมูก “เปิ่นเตี้ยนเซี่ยไม่ต้องซักผ้านี่ จะเอาไปทำอะไร”
ถึงแม้ปากจะบ่นว่าไม่ชอบ แต่เขาก็ยังรับสบู่ไว้
หวาชิงเสวี่ยเบิกตากว้าง เน้นย้ำว่า “เ้านี่มีประโยชน์มากนะ เ้าจะใช้มันตอนล้างมือก็ได้...”
เมื่อเห็นทั้งสองคนคุยกันไม่หยุดเสียที ฟู่ถิงเย่จึงกระแอมสองครั้ง แล้วพูดขึ้นว่า “องค์รัชทายาท ได้เวลาออกเดินทางแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จิ่งหนานมีท่าทีอาลัยอาวรณ์ หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว เขาก็เกาะขอบประตูรถไว้และโบกมือให้หวาชิงเสวี่ย “อย่าลืมมาเยี่ยมข้านะ!”
หวาชิงเสวี่ยโบกมือตอบ “ข้ารู้แล้ว!”
ฟู่ถิงเย่รู้สึกหมดคำจะพูด ทั้งสองคนนี้มันอะไรกัน?
แค่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเดือนกว่าเองไม่ใช่หรือ? สนิทสนมกันขนาดนี้เชียว? อย่างกับเป็พี่น้องแท้ๆ อย่างนั้น...
ฟู่ถิงเย่ะโขึ้นหลังม้า เปล่งเสียงออกคำสั่ง “ออกเดินทาง!”
เมื่อเสียงสั่งการดังขึ้น ทหารม้าสามร้อยนายก็คุ้มกันรถม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ฟู่ถิงเย่เหลือบสายตามองหวาชิงเสวี่ยอย่างลึกซึ้งจากบนหลังม้า หวาชิงเสวี่ย รอข้ากลับมานะ!
หวาชิงเสวี่ย: “???”
นางมองฟู่ถิงเย่ขี่ม้าจากไปด้วยความงุนงง ในใจคิดอย่างหวาดหวั่น ชายเคราเฟิ้มรุงรังคนนี้...รังเกียจที่นางทำให้การออกเดินทางล่าช้าหรือ? ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงจ้องนางด้วยสายตาดุร้ายขนาดนั้น?!
“แม่นางหวา พวกเราก็ออกเดินทางกันเถิด” ทหารนายหนึ่งพูดขึ้น
หวาชิงเสวี่ยได้สติกลับมา จึงพยักหน้า “อืม”
...
รถม้าเป็แบบธรรมดาที่สุดและพบเห็นได้ทั่วไป แน่นอนว่าไม่มีล้อรถยาง เมื่อรวมกับถนนที่ขรุขระ ตลอดทางจึงทำให้หวาชิงเสวี่ยรู้สึกเวียนหัว
นางนั่งอยู่ในรถม้า ในใจคิดถึงหลี่จิ่งหนานอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าฟู่ถิงเย่จะบอกอย่างหนักแน่นว่าองค์รัชทายาทไม่ตกอยู่ในอันตราย แต่พอนึกถึงการที่หลี่จิ่งหนานต้องกลับไปเผชิญกับการตของเสด็จพ่อ รวมถึงการแย่งชิงบัลลังก์ของเสด็จอา หวาชิงเสวี่ยก็รู้สึกสงสารเขาเหลือเกิน
เพิ่งจะอายุแปดขวบ...
ก็แค่เด็กประถมเท่านั้น เฮ้อ
ทหารที่เดินทางมาด้วยเข้ามาใกล้รถม้า พูดกับหวาชิงเสวี่ยว่า “แม่นางหวา ข้างหน้าก็คือเมืองผานสุ่ยแล้วขอรับ”
หวาชิงเสวี่ยตกตะลึงไปชั่วขณะ เปิดม่านรถม้าแล้วมองออกไป
กำแพงเมืองอันยิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้าค่อยๆ เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ดูยิ่งใหญ่และเก่าแก่ เต็มไปด้วยพลัง
เมื่อนางเห็นตัวอักษรสามคำอ่านว่า ‘เมืองผานสุ่ย’ ที่ดูเก่าแก่บนประตูเมือง ก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นเพราะหลี่จิ่งหนานก็จางหายไปบ้าง
รถม้าแล่นเข้าไปในเมือง บรรยากาศแตกต่างจากเมืองเหรินชิวที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดอย่างสิ้นเชิง บนถนนมีพ่อค้าแม่ค้าและผู้คนสัญจรไปมา ร้านค้าสองข้างทางขายสินค้าต่างๆ นานา ถึงแม้จะไม่คึกคักมากนัก แต่หวาชิงเสวี่ยสังเกตเห็นว่าใบหน้าของผู้คนที่นี่ไม่มีสีหน้าหวาดกลัวเหมือนกับชาวเมืองเหรินชิว แสดงว่าที่นี่มีความปลอดภัยและความสงบสุข
จากความประทับใจแรกพบ เมืองผานสุ่ยทำให้หวาชิงเสวี่ยรู้สึกดี
ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปในเมืองมากเท่าไร ตลาดก็ยิ่งคึกคักมากขึ้นเท่านั้น เสียงร้องขายของดังไม่ขาดสาย ยังมีเสียงนักเล่าเื่จากโรงน้ำชาดังแว่วมาถึงรถม้าเป็ระยะๆ
เนื่องจากมีคนเดินถนนมากขึ้น รถม้าจึงชะลอความเร็วลง หวาชิงเสวี่ยมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทหารที่พานางเข้าเมืองกล่าวว่า “แม่นางหวา เลยถนนสายนี้ไปอีกหน่อยก็ถึงจวนแม่ทัพแล้ว”
...เอ๋?
เอ๋ เอ๋ เอ๋?!!
ทำไมนางต้องไปจวนแม่ทัพด้วย?
หวาชิงเสวี่ยรีบพูด “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ข้าลงตรงนี้ก็ได้ หยุดรถเถอะ”
ทหารนายนั้นชะงักไป “แต่ท่านแม่ทัพบอกว่า...”
หวาชิงเสวี่ยยิ้ม “ท่านแม่ทัพบอกว่าจะให้พ่อบ้านจ้าวดูแลข้า แต่ข้าเพิ่งมาถึง การไปเยือนโดยไม่ได้นัดหมายคงจะเสียมารยาท รอให้ข้าจัดการเื่ที่อยู่เรียบร้อยแล้ว ค่อยไปจวนแม่ทัพทีหลังก็ไม่สาย”
ทหารนายนั้นยิ่งสับสน
เป็แบบนั้นหรือ? ...หรือว่าเขาเข้าใจคำสั่งของท่านแม่ทัพผิดไป?
ตอนนี้นึกย้อนกลับไป ท่านแม่ทัพเหมือนจะแค่สั่งให้พาแม่นางหวาไปส่งที่จวนแม่ทัพ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าหากนางผู้นี้ไม่เต็มใจจะต้องทำอย่างไร...
รถม้าหยุดลง หวาชิงเสวี่ยลงจากรถ
ทหารนายนั้นยังไม่วางใจ จึงพูดอีกครั้งว่า “แม่นางหวา หากท่านจะไปจวนแม่ทัพ ก็เดินตรงไปตามถนนสายนี้จนสุดทาง เลี้ยวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ที่หน้าประตูจะมีสิงโตหินขนาดใหญ่สองตัวตั้งอยู่ ที่นั่นแหละขอรับ”
หวาชิงเสวี่ยพยักหน้า แล้วขอบคุณพวกเขา นางคิดในใจคิดว่า เขตของชายเคราเฟิ้มรุงรังคนนั้น หากไม่จำเป็ต้องไป ก็พยายามอย่าไปดีกว่า...
—————————————————————————————————
[1]หรูเหริน(孺人)ตำแหน่งพระชายารองในอ๋อง เป็คำในสมัยโบราณที่ใช้เรียกภรรยาอย่างให้เกียรติ