ชิงอีเดินไปเลิกม่านแล้วหรี่ตาจนเป็เส้นเดียวมองไปยังเซ่อเจิ้งอ๋องที่นั่งหลังตรงดื่มชาอยู่ที่โต๊ะ
เขาช่างไร้ยางอายมากกว่าที่นางคิดเสียอีก
เพียงแต่...
ชิงอีมองรอบกายที่หลังจากเขาปรากฏตัว เหล่าิญญาร้ายในสำนักจีเหรินจายก็สลายไป หนุ่มน้อยนี่ไปได้ความสามารถเช่นนี้มาจากไหนกันนะ?
พอลองคิดดูดีๆ หนุ่มน้อยนี่ก็มีความสามารถไม่น้อยเลย แถมคาถาของนางใช้กับเขาไม่ได้ผล
แม้แต่องครักษ์ข้างกายยังรอบรู้ หลิงเฟิงเองก็มีพลังหยางแข็งแกร่งพอให้ปีศาจสูบกินไปได้หลายปี ส่วนคนที่ชื่อฉู่สือนั่น แค่ชำเลืองมองก็ถึงกับหลุดร้องโอ้ เพราะร่างกายเขาเป็หยินบริสุทธิ์!
ร่างกายที่มีหยินบริสุทธิ์ส่วนใหญ่จะเป็ผู้หญิง ทว่าผู้ชายที่มีหยินบริสุทธิ์ในร่างกายถือเป็หนึ่งในพัน
บรรดาลูกรักทั้งหลายของโลกใบนี้ต่างอยู่ข้างกายเขาหมดแล้ว
“องค์หญิงรู้ได้อย่างไรว่าน้ำมันตะเกียงต่างไปจากเดิม?” เสียงของเซียวเจวี๋ยทำลายความสงบ
ชิงอีไม่ได้เตรียมคำตอบไว้แล้วคิดอะไรบางอย่างออก จึงเปลี่ยนการพูดการจาที่ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง รวมถึงน้ำเสียงที่อ่อนลงมากกว่าเดิม “กลิ่นเหม็นหืนรุนแรงขนาดนั้นคงเจอได้ไม่ยากนัก”
เซียวเจวี๋ยหันหน้าไปยังทิศทางที่นางอยู่
“องค์หญิง...ช่างน่าสนใจจริงๆ”
“ท่านก็เช่นกัน”
ทั้งสองมองหน้ากันและยิ้มอย่างมีเลศนัย
ทันใดนั้น เซียวเจวี๋ยก็คล้ายบังเอิญเคลื่อนสายตาไปอยู่ตรงเท้าของชิงอี ดวงตาหยุดอยู่ตรงนั้นชั่วครู่หนึ่งก่อนจะถอนออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แม้จะเป็เพียงแวบหนึ่ง แต่ชิงอีก็ยังสังเกตเห็น
ั์ตาของชิงอีเบนไปดูผีน้อยโก่วต้านที่อยู่ตรงเท้าตน พร้อมตั้งคำถามขึ้นในใจว่าเป็ไปได้ไหม...ที่ผู้ชายคนนี้จะสามารถเห็นผีได้ด้วย?
นางขยับเท้าเรียวเล็กน้อยและส่งสายตาให้โก่วต้าน
ผีตัวน้อยแสนรู้จึงเข้าใจทันทีว่านาง้าสื่ออะไร ทว่า โก่วต้านกลับมองเซวียเจวี๋ยด้วยความหวาดกลัว
“พี่สาว ิญญาร้ายในตัวพี่ชายน่ากลัวเหลือเกิน ข้าไม่กล้า...” โก่วต้านพูดกับนางอย่างน่าสงสาร
ชิงอีหัวเราะอย่างชั่วร้ายขึ้นมา เหอะ ผีน้อยที่ไม่กลัวนางที่เป็ถึงราชินีแห่งเหล่าภูตผี แต่กลับกลัวหนุ่มน้อยที่เป็แค่มนุษย์คนหนึ่งงั้นหรือ? ิญญาร้ายในตัวเขาจะมาแข็งแกร่งกว่านางได้เยี่ยงไร?
ถ้าเ้ายังไม่รีบไป เดี๋ยวเ้าก็จะได้รู้ว่าความน่ากลัวที่แท้จริงเป็เช่นไร!
ชิงอีถลึงตาอย่างไม่ได้รู้สึกผิดที่รังแกเด็กแม้แต่น้อย
โก่วต้านที่ตัวสั่นเทาลอยไปหาเซียวเจวี๋ยพร้อมน้ำตาไหลพราก รู้สึกเหมือนกำลังจะตายอีกรอบ
เซียวเจวี๋ยหยิบพระคัมภีร์ม้วนหนึ่งขึ้นมาอ่านบนโต๊ะอย่างไม่สนใจ ทันใดนั้นก็รับรู้ถึงอุณหภูมิรอบตัวเย็นะเืขึ้นมา เขาเงยหน้ามองความว่างเปล่าตรงหน้า
ห่างจากปลายจมูกเพียงไม่กี่เิเ ใบหน้าเล็กที่ซีดขาวและมืดมนจ้องเขาพร้อมกับเป่าลมเย็นใส่อย่างต่อเนื่อง
เซียวเจวี๋ยหรี่ตาแลหันไปมองชิงอีที่สวมเพียงชุดกระโปรงผ้าไหมสีแดงทั้งๆ ที่คืนนี้อากาศในูเาหนาวเย็นขนาดนี้ ชิงอียกมือทั้งสองมาเท้าคาง ส่วนใบหน้าทรงเสน่ห์ไม่อาจซ่อนความคาดหวังได้
นางกำลังคาดหวังอะไรอยู่นะ?
เซียวเจวี๋ยลุกพรวด ในพริบตานั้น เขาคล้ายได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็ก
โก่วต้านปิดหน้าร้องไห้เพราะไม่อาจทำงานนี้ต่อได้! พี่ชายผู้นี้มีหนามยิ่งกว่าเม่น อีกทั้งิญญาร้ายในร่างเขาแทบจะเป็ผีร้ายอยู่รอมร่อ! เมื่อครู่เพียงแค่แตะหน้าผากของเขา โก่วต้านก็รู้สึกว่าสมองของตนเองกำลังจะแตกเป็เสี่ยงๆ
เป็ผีที่น่าขายหน้าชะมัด... ชิงอีกลอกตามองบน จากนั้นก็สบตากับเซียวเจวี๋ยพอดี
“ั้แ่เมื่อครู่แล้ว องค์หญิงมองอะไรอยู่กันแน่?” เซียวเจวี๋ยมองนางด้วยความสงสัย
“ดูท่านไง” ชิงอีพูดพลางยิ้มเยาะ “ชายหนุ่มที่หน้าตาดีที่ไร้ยางอาย!”
เซียวเจวี๋ยผงะไปครู่หนึ่ง มุมปากทั้งสองข้างสั่นไหวจนต้องยกกำปั้นขึ้นมาไว้แถวปลายจมูกเพื่อบดบังเอาไว้
เดิมทีชิงอีคิดว่าเขาจะต้องหงุดหงิดที่ถูกยั่วยุ แต่กลายเป็ว่าเขากลับหัวเราะลั่น ทำให้คิ้วที่โดดเด่นยิ่งเหมือนเอาพู่กันมาวาดไว้อย่างประณีตดูน่าประทับใจยิ่ง
“องค์หญิงอิจฉางั้นหรือ?”
ชิงอีไม่อยากจะยอมรับว่าจริงๆ แล้วนางก็รู้สึกอิจฉาไม่น้อย
ไม่ใช่ว่าบุรุษหน้าตาเช่นนี้เป็อาชญากรรมต่อใจผู้อื่นหรือไร? แม้แต่เหล่าบุปผาแห่งปรโลกบนทางเส้นทางหวงเฉียนก็ยังไม่มีลักษณะเช่นนี้เลย
ยังไม่ทันได้โต้เถียงอะไรกลับไป เสื้อคลุมหนึ่งตัวก็มาอยู่บนตัวชิงอี นางหลุบตามองเสื้อคลุมที่เขานำมาคลุมบนร่างกายนางแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ
ถึงเสื้อคลุมจะไม่ได้หรูหราแต่ก็สะอาดสะอ้านและมีกลิ่นหอมจางๆ
มันไม่ได้หอมจนฉุน
นี่คือกลิ่นอายของเขา
“กลางคืนอากาศหนาว แล้วชุดขององค์หญิงก็บางเกินไป” เซียวเจวี๋ยยิ้มบางๆ จากนั้นก็หันกลับไปหยิบพระคัมภีร์ที่โต๊ะแล้วเดินออกไปนอกม่าน “คืนนี้ข้าจะอยู่นอกม่าน องค์หญิงจะได้นอนหลับอย่างไร้กังวล”
ชิงอีไม่ได้มีท่าทีอะไรเป็พิเศษ แต่โก่วต้านที่อยู่ข้างๆ แสดงความชื่นชมอย่างออกนอกหน้า “พี่ชายช่างปฏิบัติต่อผู้อื่นได้ดีมากๆ เลย”
แววตาของซิงอีเผยความเยาะเย้ยออกมา ปฏิบัติต่อผู้อื่นได้ดีงั้นหรือ? เสแสร้งเป็คนดีน่ะสิไม่ว่า?
แต่เมื่อครู่...เขาไม่เห็นโก่วต้านจริงๆ หรือ?
ชิงอีมองดูท้องฟ้าที่อีกไม่นานก็จะเป็เวลาเที่ยงคืนอยู่ครู่หนึ่ง นางขยิบตาให้โก่วต้าน ส่วนริมฝีปากสีแดงก็ขยับบอกแบบไม่เปล่งเสียงว่าดึกแล้ว เ้าควรเตรียมไปอยู่ข้างๆ ชิวอวี่ได้แล้ว
...
เมื่อวั่งจีกลับมาที่อารามด้วยหน้าตาเคร่งเครียดและมีเหงื่อซึมออกมา
เมื่อคณะของชิงอีมาถึง เขาก็ตระหนักถึงสิ่งผิดปกติและคิดไม่ถึงว่าผีตัวน้อยนั่นจะอยู่ข้างหลังพวกเขา! ไหนจะองครักษ์ที่ชื่อชิวอวี่ผู้นั้นอีก เห็นได้ชัดว่าบนร่างกายมีกลิ่นอายของหุ่นเชิดของเขาหลงเหลืออยู่
คนกลุ่มนี้นี่เองที่ทำลายจุดฝังหมุดหยิน!
วั่งจีกัดฟันกรอด หากองค์หญิงใหญ่เสด็จมาแค่เพียงลำพัง เขาก็ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลแต่เซ่อเจิ้งอ๋องก็มากับนางด้วย
นี่สิที่ค่อนข้างเป็ปัญหา
“เด็กนั่นต้องตาย!” แววตาของวั่งจีฉายชัดถึงความอาฆาตแค้นจากก้นบึ้งในใจ เนื่องจากไม่อาจทนรับเื่นี้ได้และไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแก้แค้นให้จงได้
“ถ้าจะโทษก็โทษที่เ้าโชคร้ายก็แล้วกัน” วั่งจีพูดด้วยน้ำเสียงเ็า อย่างไรเสีย เซ่อเจิ้งอ๋องก็ต่อสู้กับคนผู้นั้นมาตลอดอยู่แล้ว ถ้าเขาตายไปมันก็พอดีกับความปรารถนาของคนผู้นั้น ส่วนองค์หญิง ฮึ่ม! ถือว่านางโชคร้ายก็แล้วกัน!
วั่งจีเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียงเพื่อหยิบน้ำเต้าเล็กๆ ออกมาจากใต้หมอน
“ถ้ามีความสามารถทำลายหุ่นเชิดของข้าได้ ก็ขอดูหน่อยแล้วกันว่าเ้าจะมีปัญญาทำลายพวกมันหรือไม่?!”
เป็คืนที่เงียบสงัด
กลิ่นหอมฉุนฟุ้งกระจายไปทั่วสำนัก
เถาเซียงและต้านเสวี่ยที่มาเอาน้ำร้อนและกำลังเตรียมตัวกลับไปห้องเซียงฝาง หลังจากดมกลิ่นนี้แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมพวกนางถึงเริ่มเวียนหัว
ตึง
ทั้งสองลงไปกองกับพื้นพร้อมกัน
ทุกที่ในสำนักเจียเหรินจายต่างเป็เช่นนี้ทั้งหมด ในห้องเซียงฝาง ชิงอีลืมตาขึ้นทันที
หญิงสาวในชุดสีแดงลากพื้นแหวกม่านกั้นออกมาพบเข้ากับชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่ นางจึงเข้าไปเตะเขาเบาๆ สองที
อืม ไม่ตื่น
ชิงอีเบาะปากชำเลืองอย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งที่ต้านทานคาถาของนางได้แต่กลับไม่อาจต้านทานกำยานของผีชั้นต่ำเช่นนี้ได้งั้นหรือ?
ดวงตาของนางกลอกไปมา พลันสีหน้าก็ดูเ้าเล่ห์
ชิงอีหยิบกล่องสีแดงเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าหูรูดที่ปักลวดลายสวยงาม นางใช้นิ้วก้อยจิ้มเบาๆ ลงในกล่องนั้น แล้วมุมปากก็ยกสูงขึ้นเรื่อยๆ
เ้าหนุ่มน้อย มามะ พี่สาวคนนี้จะแต่งหน้าให้สวยๆ เลยน้า~
ไม่นานนัก ใบหน้าขาวราวหิมะของเซ่อเจิ้งอ๋องก็กลายเป็ดวงอาทิตย์อัสดงบนท้องฟ้าที่แจ่มใสและมีเต่าตัวใหญ่อยู่บนแก้มซ้ายของเขา เรียกว่านี่คือโศกนาฏกรรมของโลกมนุษย์
ชิงอีมองดูผลงานชิ้นเอกของตนเองด้วยความพึงพอใจก่อนจะเปิดประตูออกไป
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามุมปากของชายหนุ่มในห้องยกขึ้นน้อยๆ จนแทบมองไม่เห็น