3 มกราคม พ.ศ. 3610
ราชอาณาจักรไทย
กรุงเทพ
ครบกำหนดการณ์ระยะเวลาสิบปี ในการบำบัดรักษาอย่างเป็ความลับมาตลอด
ในที่สุดบุตรชายคนเล็กของตระกูลภูทนินทร์
หายขาดจากการแพนิคเื่อุบัติเหตุทางรถยนต์เป็ที่เรียบร้อย
ในที่สุดเื่ราวบางอย่าง สมควรเข้าที่เข้าทางของมันเสียที
“มันถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราจะต้องเล่าเื่เมื่อสิบปีก่อนให้ลูกฟัง อายุของลูกคนเล็กโตพอจะแบกรับความทรงจำที่สูญหายไปได้สักที แม้ว่าจะเกิดเื่อะไรตามมาก็ตามที”
ทันทีที่เปิดเวลาปีใหม่ของอังกฤษ เพื่อนสนิทตัวดีรีบส่งข้อความมาเร่งกันตลอดเวลา ราวกับว่าอยากให้ลูกชายของตนเองมาพูดคุยเสียให้ได้เดี๋ยวนี้
“ได้ค่ะที่รัก ถ้างั้นพวกเราไปเรียกลูกมาคุยดีกว่า”
ถ้าลูกของเธอกลับมามีอาการอีกครั้ง เธอเองก็มั่นใจว่าจะหยุดงานสักระยะ เพื่อมาดูลูกเหมือนเมื่อสิบปีก่อนเช่นเดิม
“ถ้างั้นผมจะทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นกับเื่นี้ เผื่อน้องจะกังวลใจแล้วมาปรึกษาผม มีคนรองรับหลายคนจะดีกว่า”
แม้ว่าจะเป็พี่ชายคนโตก็ตาม แต่ก็ไม่ได้รับรู้เื่ราวอะไรมากนัก อย่างน้อยถ้าน้องชายกลุ้มใจก็หวังว่าจะช่วยได้ไม่มากก็น้อย
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“มีเื่อะไรหรือเปล่าครับ น้อยครั้งมากที่จะเห็นพ่อกับแม่พร้อมกันแบบนี้ มีเื่อะไรหรือเปล่า” นภัทรถามด้วยความสงสัย
หลังจากเกิดอุบัติเหตุต่างประเทศเมื่อสิบปีก่อน น้อยครั้งที่จะเห็นบุพการีพร้อมกันแบบนี้ ถ้านับจากครั้งนั้นจนกระทั่งวันนี้เจอหน้าทั้งคู่พร้อมกันน่าจะประมาณเกือบสามสิบครั้ง
นอกนั้นจะเจอแบบใครคนใดคนหนึ่ง อีกคนไปทำงานต่างประเทศ บางทีหายไปเป็เดือน หรือบางทีหายไปทั้งคู่ อาจจะมารวมตัวกันเพราะงานวัยเกิดฉลองบรรลุนิติภาวะก็ได้
เพราะตอนวันเกิดพี่ชายของเขา พ่อแม่ก็มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะอยู่พร้อมกันแบบสามสี่วันก็เถอะ แต่ถ้าดูจากฐานะแล้วบ้านอื่นไม่เคยใส่ใจลูกขนาดนี้ด้วยซ้ำ มักอ้างว่าติดงาน พวกท่านใส่ใจมากพอแล้วล่ะ
“งานฉลองบรรลุนิติภาวะครั้งนี้ พวกเราจะอยู่กับลูกตลอดเจ็ดวัน จะมีแขกพิเศษมางานด้วย พ่อจะให้เวลาลูกสนุกกับวันเกิดสามวัน หลังจากนั้นมีเื่สำคัญต้องคุยกัน มันถึงเวลาแล้วที่สมควรพูดคุยกันให้รู้เื่”
“แม่ขอยืนยันอีกคนว่าเื่นี้ ได้มีการตกลงกันไว้ั้แ่สิบปีก่อน พร้อมลายเซ็นของลูกในตอนนั้น แต่บางอย่างเกิดปัญหาขึ้น เลยอยากให้พร้อมในวันที่ลูกโตมากพอแล้ว”
“โอเคครับ ผมเข้าใจแล้ว”
ด้วยอุปนิสัยของบุตรชายเล็ก เขาไม่ใช่คนช่างถาม อยากรู้อยากเห็น อะไรที่ไม่มีใครอยากบอกก็จะไม่ทำเป็ไม่รับรู้ อะไรที่อยากให้รู้จะรับฟังไว้อย่างดีแถมจดจำแม่นยำอีกต่างหาก ถ้าเป็เื่งานหรือเื่ต่อสู้ มักจะคาดเดาด้วยลางสังหรณ์แม่นราวกับจับวาง ถือเป็พร์ชั้นเลิศในการเป็ผู้นำตระกูลคนต่อไปเลยด้วยซ้ำ
แต่ความสามารถของบุตรชายคนโตก็ไม่น้อยหน้าไปมากกว่ากันเท่าไหร่ ถึงจะเรียนจบช้ากว่าน้องชายผู้เรียนแซงหน้าไปหลายปี ด้วยความที่อายุมากกว่าจึงเริ่มฝึกงานก่อน บ่มเพาะความสามารถแสดงศักยภาพให้เหล่าพนักงานและผู้บริหารได้เห็นมานานกว่าหลายปี หลายคนศรัทธาในความรู้ความสามารถ การตัดสินใจอันยอดเยี่ยมมานาน
หากมีศึกท้าชิงตำแหน่งผู้สืบทอดเกิดขึ้น อาจมีการแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน ระหว่างกลุ่มอำนาจจากผู้สืบทอดคนก่อนกับกลุ่มอำนาจจากคนรุ่นใหม่ที่นับถือคุณชายคนเล็กมากกว่า ยิ่งใกล้วันเกิดครบรอบยี่สิบปียิ่งมีข่าวลือออกไปต่างๆ นานา ไม่สามารถคาดเดาขี้ปากของคนได้เลย แต่ทว่า...บรรยากาศจริงในคฤหาสน์ขณะนี้
“พี่รู้เื่หรือเปล่า คนเขาลือกันให้ทั่วว่าผมกับพี่กำลังจะเปิดศึกท้าชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล” นภัทรถามระหว่างนั่งเลือกรายการอาหารที่จะจัดในงานวันเกิดตนเอง
“แค่กๆๆ ว่าไงนะ!” นนท์ภัทรถึงกับสำลักกาแฟทันทีที่ได้ยินคำถาม
“ผมไม่พูดซ้ำสอง พี่ก็น่าจะรู้ดี ตกลงว่ายังไง อยากเปิดศึกไหม” น้องคนเล็กเริ่มรำคาญ
“ต่อให้ฉันจะได้ตำแหน่งแล้ว พี่ชายคนนี้จะไม่มีวันปล่อยให้แกต้องลำบากออกจากบ้านไปเหมือนรุ่นอื่นๆ หรอกนะ เพราะว่าอะไรน่ะ เหรอ...”
“ใครจะคอยช่วยฉันทำงานล่ะวะ! งานมันเยอะขนาดนี้! เดี๋ยวก็ตายคางานหรอกเว้ย! อยากนอนบ้าง! จะต้องอยู่ช่วยทำงานจนมีใครตายไปข้างหนึ่ง! ฉันไม่อนุญาตให้แกออกจากที่นี่เด็ดขาด อ๊าก!!!!!”
และนี่เป็อีกวันที่เหล่าคนรับใช้ในคฤหาสน์ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของว่าที่ผู้นำตระกูลคนใหม่ ในการพยายามทำทุกอย่างให้น้องชายของตนเองอยู่ตระกูลร่วมกันต่อไป ด้วยความช่วยเหลือของเหล่าคนรับใช้มากฝีมือ ที่เริ่มรำคาญเ้านายของตนเองตามน้องชายว่าที่ผู้นำ จึงพากันปล่อยข่าวลือทุกช่องทางในรูปแบบใหม่ทั้งในคฤหาสน์ ที่ทำงาน รวมถึงบนสื่อโซเชี่ยล
ภายในหนึ่งสัปดาห์ข่าวลือเ่าั้เริ่มหายไป แทนที่ด้วยข่าวใหม่ นั่นคือว่าที่ผู้นำนั้นอยากได้ผู้ช่วยงานสุดความสามารถ จะไม่ยอมปล่อยให้คนมีความสามารถหลุดออกไปทำงานที่บริษัทอื่น แม้แต่น้องชายตนเองก็ไม่เว้น
อาจจะดูบ้างานรวมถึงเหมือนคนคลั่งไปนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าผลตอบรับดีกว่าเดิมมาก วางใจไปได้สักพักหนึ่ง ซึ่งทุกการกระทำอยู่ในสายตาของนภัทรเสมอ แต่ตนไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกไป
“ฝีมือของทุกคนในคฤหาสน์เยี่ยมมากครับ ไม่เหลืออะไรให้พวกเราจัดการเลย” กันต์รายงาน
“การคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานที่นี่มันมีเหตุผลหลายอย่าง ลำพังเก่งอย่างเดียวมาอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก เื่นี้พวกนายก็รู้ไม่ใช่เหรอ กว่าจะผ่านด่านทดสอบความจงรักภักดีมาได้”
“เื่นี้ผมเห็นด้วยครับ กว่าจะสอบผ่านมาได้ยังใช้เวลาตั้งนาน ความไว้วางใจในการทำงานบริษัทกับคฤหาสน์การทดสอบแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว” แจ็คบ่น
“ช่วยไม่ได้ เพราะว่าการเข้ามาที่นี่มันคือการให้ใจมากกว่าทำงาน ใครไม่พร้อมก็ไปทำงานที่บริษัทเท่านั้นเอง มีตำแหน่งรองรับมากมาย”
“เอกสารรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับงานวันเกิดครบรอบยี่สิบปีของคุณชายครับ หากอยากได้อะไรเขียนตรงหมายเหตุได้เลย ผมพยายามลิสต์สิ่งที่ท่านชอบมาให้เลือกมากที่สุดแล้ว” กันต์บอกพลางวางแฟ้มเอกสารทั้งหมด
“ระยะเวลาในการตัดสินใจมีทั้งหมดหนึ่งสัปดาห์ เป็แผนล่วงหน้าก่อนถึงวันเกิดหนึ่งเดือน จะให้ผมทำยังไงกับการเลือกเลขาในที่ทำงานดีครับ” แจ็ครายงานต่อ
“กันต์ คุณไปจัดการตามเอกสารนี้ก่อนหนึ่งชุด แล้วค่อยกลับมาคุยเื่นี้กันใหม่ อย่าลืมเตรียมชุดน้ำชามาด้วย”
“ครับ คุณชาย”
“แจ็ค นายคัดเลือกตามใจชอบได้เลย แต่คัดที่ความสามารถในการทำงานเป็หลัก อุปนิสัยไม่จำเป็ เด็กจบใหม่ก็รับถ้ามีความสามารถ ระยะเวลาทดสอบทำงานหกเดือน ถ้าสามารถช่วยงานได้จ้างระยะยาว”
“แล้วคนไม่ผ่านล่ะครับท่าน”
“ไล่ออก แต่ให้เอกสารว่าเคยทำงานที่นี่เป็ใบเบิกทางในการสมัครงานที่ต่อไป ให้เงินชดเชยไปเป็จำนวนเงินเดือนในตอนนั้นสามเดือน”
“ครับ ผมจะจัดการตามที่สั่ง”
วันเกิดของตนเองสำหรับคนอื่นอาจจะสุขสบาย แต่สำหรับเขานั้นไม่เคยง่ายเลยสักปี ต้องจัดเตรียมอะไรเองทุกอย่าง แม้ว่าจะมีคนช่วยมากมาย สุดท้ายการเลือกต้องเกิดจากเ้าตัวอยู่ดี ยิ่งรอบนี้เกี่ยวกับบรรลุนิติภาวะเข้ามายิ่งไปกันใหญ่
ทายาทลำดับที่สองของตระกูลภูทนินทร์นั่งทำงานหลังจากสั่งการลูกน้องคนสนิทเสร็จสิ้น คนช่วยงานน้อยเกินไป อย่างน้อยต้องมีอีกสักสองคนเพื่อให้มีการพักผ่อนและมีคนช่วยเต็มที่กว่านี้ ลองปรึกษาพี่ชายดีกว่า
ณ ห้องทำงานนนท์ภัทร
แกร๊ก!
“รอสักห้านาที ขอปั๊มเอกสารพวกนี้ก่อน” นนท์ภัทรบอกโดยไม่ได้หันไปมองคู่สนทนาด้วยซ้ำ
“รู้ได้ยังไงว่าเป็ผม พี่ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองด้วยซ้ำ” นภัทรถามด้วยความแปลกใจ
“ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็แก”
“แต่ว่าคนที่กล้าเปิดประตูห้องทำงานของฉันโดยไม่ขออนุญาตนั้น ในบ้านหลังนี้มีแค่สามคนเท่านั้น คือพ่อ แม่ และแกไง ไอ้น้องชายตัวดี”
นนท์ภัทรสันนิษฐานด้วยน้ำเสียงฉะฉาน เพราะว่าในบ้านหลังนี้นั้น การทำพฤติกรรมแบบนั้นอาจจะถูกหักเงินเดือนหรือถูกไล่ออกทันทีเลยก็ได้ คนที่กล้าทำแบบนี้มีแต่เ้าของบ้านเท่านั้นแหละ
ถึงแม้ว่าเกณฑ์ความเฉลียวฉลาดของว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไปจะไม่เท่าน้องชาย แต่ความสามารถของเขาก็ไม่เป็รองใคร เื่พวกนี้ทำความเข้าใจได้ไม่ยากเท่าไหร่
“มันก็จริง คนอื่นไม่มีใครกล้าทำแบบนี้อยู่แล้ว”
