ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่รู้สึกว่าเฉียวเยว่จงใจทำเช่นนี้ ทว่าใครจะรู้จักบุตรสาวดีเท่ากับบิดาของตนเอง พอซูซานหลางทราบเื่นี้ ก็เข้าใจทันทีว่าเฉียวเยว่มีแผนการอย่างไร
ทว่าเื่แบบนี้เขาจะไม่ไปขัดขวาง เื่ที่ดีต่อภรรยาตนเอง หากเขาเข้าไปขวางก็โง่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังอดทอดถอนใจไม่ได้ "เด็กสองคนนี้ของพวกเรา ฉลาดเป็ลูกลิงจริงๆ"
ไม่ว่าเฉียวเยว่จะทำสิ่งใด ฉีอันก็ให้ความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม แฝดคนอื่นๆ เป็เช่นไรเขาไม่รู้ แต่ฝาแฝดคู่นี้ของพวกเขาราวกับสื่อใจถึงกันได้
ถึงแม้ว่าหน้าตานับวันจะยิ่งไม่เหมือนกัน แต่กลับเข้ากันเป็ปี่เป็ขลุ่ย เล่ห์เหลี่ยมเพทุบายล้นเหลือ
คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขายามนี้หาใช่ใครอื่น เป็ฉีจือโจวพี่ชายภรรยาของเขาเอง
"พวกเขาทำอันใดอีกแล้วเล่า?" ฉีจือโจวถามเสียงเรียบ
ซูซานหลางย่อมตระหนักได้ว่าการที่ตนเองเอาเื่ภายในครอบครัวมาเล่าให้ฉีจือโจวฟังเป็สิ่งที่ไม่ดีนัก แต่ถึงเขาไม่พูด ฉีจือโจวก็รู้อยู่ดี ไม่สู้บอกไปตามตรงดีกว่า
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เล่าเื่ทั้งหมดออกไป หลังจากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ กล่าวชมเชย "เป็เด็กน้อยที่น่ารักจริงๆ"
ฉีจือโจวก็ถอนหายใจ "ตัวเล็กแค่นี้ก็รู้จักปกป้องมารดาแล้ว เห็นได้ว่ามีปัญญาเฉลียวฉลาด สมกับมีสายเืสกุลฉีของพวกเรา"
ซูซานหลางแอบค่อนขอดในใจ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเหมือนข้า แต่เขาก็ไม่กล้าพูดส่งเดชต่อหน้าพี่ชายภรรยา
รู้อยู่แก่ใจตนเองก็พอ
"ถูกต้องๆ คนสกุลฉีล้วนยอดเยี่ยมที่สุด" ซูซานหลางรีบประจบสอพลอ หลังจากนั้นก็พูดอีกว่า "เื่ของอิ้งเยว่ครานี้..."
ฉีจือโจวหัวเราะเสียงเย็น "ไม่ข้าสนว่าจะเป็บุตรสาวของผู้ใด เมื่อกล้ามารังแกหลานสาวข้า ก็ควรรู้ว่าข้าหาใช่คนที่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย"
แม้ว่ารัชทายาทยังเยาว์วัย แต่อีกสองปีก็สามารถหมั้นหมายได้แล้ว อิ้งเยว่อายุเหมาะสม บิดาของนางก็เป็อาจารย์ของรัชทายาท ดังนั้นย่อมจะทำให้คนเกิดความคิดไปต่างๆ นานา
ผู้อื่นนึกไปไม่ถึงเฉียวเยว่ เพราะนางยังอายุน้อย แต่อิ้งเยว่ไม่เหมือนกัน นางโดดเด่นเหนือผู้อื่น ยากที่จะไม่เป็ตัวเลือกอันดับแรกของฝ่าา ดังนั้นจึงมีคนคิดฉวยโอกาสลงมือกับนางเสียั้แ่ตอนนี้
ฉีจือโจวมองสถานการณ์ออกนานแล้ว ว่าต้องมีความเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาท เมื่อเป็เช่นนี้ ก็ต้องเป็คนที่มีความเป็ไปได้สูงสุดในการ่ชิงตำแหน่งชายารัชทายาท
บางครั้งคนก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าฉีจือโจวสามารถตรวจสอบจนพบเบาะแสท่ามกลางความสับสนวุ่นวายตอนนั้นได้อย่างไร
แต่บัดนี้หลักฐานทุกอย่างล้วนวางอยู่หัวโต๊ะทรงพระอักษรของฝ่าา รอให้พระองค์พิจารณาตัดสิน
"พี่ใหญ่ ท่านว่าต่อไปข้าจะทำอย่างไรดี" ซูซานหลางเอ่ยถาม
"เ้ามีความสัมพันธ์กับฝ่าาดียิ่งมิใช่หรือ คนซื่อตรงไม่เห็นแก่หน้าใคร มีพร์ความสามารถแต่กลับไม่เข้าราชสำนัก ย่อมทำสิ่งใดก็ได้ตามแต่ใจตนได้มากหน่อย"
ซูซานหลางเข้าใจทันที เขาไม่ใช่คนโง่ แต่วิตกว่าหากตนเองเข้าวังไปเฝ้าฝ่าาอาจทำให้กลายเป็เื่ใหญ่ แต่เมื่อมาไตร่ตรองดูดีๆ พี่ใหญ่กล่าวไม่ผิด ต้องทำให้เป็เื่ถึงจะถูก บุตรสาวของเขาประสบเหตุร้าย เป็ไปไม่ได้ที่ผู้เป็ลุงอย่างฉีจือโจวจะไม่ทูลฟ้อง ต่อให้มิได้ทูลฟ้องจริงๆ ก็ไม่มีคนเชื่อ
มิสู้เขาเข้าวัง แล้วทูลขอให้ฮ่องเต้ทรงจัดการเื่นี้อย่างเป็กลาง
"ข้าเข้าใจแล้ว"
ฉีจือโจวพูดต่อ "จะว่าไป..."
"ก๊อกๆ" ผู้อยู่หน้าประตูคือบริวารของฉีจือโจว "ใต้เท้าขอรับ อวี้อ๋องได้ยินว่าท่านอยู่ที่นี่จึงแวะมาทักทายขอรับ"
ฉีจือโจวสบตากับซูซานหลาง ก่อนเอ่ยว่า "เชิญเขาเข้ามา"
ไม่ช้าประตูห้องก็ถูกเปิดออก อวี้อ๋องสวมอาภรณ์สีแดง ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม "อาจารย์"
เมื่อคำกล่าวนี้หลุดออกมา สีหน้าของซูซานหลางก็เผยความประหลาดใจออกมา แม้อยากจะปิดก็ปิดไม่อยู่
"อวี้อ๋องอย่าได้เรียกกระหม่อมเช่นนี้เลย กระหม่อมไม่สมควรได้รับคำเรียกว่าอาจารย์" ฉีจือโจวยกยิ้มน้อยๆ
อวี้อ๋องมองเก้าอี้ ล้วงผ้าผืนหนึ่งออกมาเช็ดก่อนนั่งลง "ท่านย่อมสมควรได้รับ หากไม่เพราะคำพูดชี้นำของท่านในตอนนั้น ข้าก็คงเลื่อนลอยไร้หนทางไม่รู้จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร บางครั้งมิใช่ว่าผู้สั่งสอนวิชาความรู้เพียงอย่างเดียวถึงจะเรียกเป็อาจารย์ คนที่ใช้คำพูดประโยคเดียวเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ก็สมควรได้รับคำขานเรียกเป็อาจารย์เช่นกัน"
แม้อวี้อ๋องจะเป็เพียงชายหนุ่ม แต่ไม่แพ้ซูซานหลางกับฉีจือโจวแม้แต่น้อย
เขาอมยิ้มหันไปผงกศีรษะให้ซูซานหลาง "คุณชายสามสกุลซู คุณหนูเจ็ดชอบขนมที่ข้าส่งไปให้หรือไม่?"
หากถามว่า่นี้มีเื่อะไรแปลกๆ เกิดขึ้นบ้าง ก็คงเป็เื่ที่อวี้อ๋องส่งขนมมาให้คุณหนูเจ็ดจวนซู่เฉิงโหวมิได้ขาด ทุกสองสามวันก็จะส่งมาครั้งหนึ่งจนเป็กิจวัตร หากมิใช่ว่าคนหนึ่งเป็โรคจิตผิดปรกติ อีกคนเป็ซาลาเปาน้อยอ้วนกลม เกรงว่าผู้อื่นคงจะนึกว่านี่เป็การใช้ห่านป่าส่งสารไปแล้ว
ในที่สุดซูซานหลางก็เข้าใจถึงสาเหตุที่อวี้อ๋องค่อนข้างเป็มิตรกับครอบครัวของพวกเขา ที่แท้ก็เพราะมีความสัมพันธ์กันมาั้แ่ก่อนหน้านี้
"นางชอบมาก ขอบพระทัยท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ" เขาตอบ
อวี้อ๋องหลุบสายตา หลังจากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ "ไม่ต้องเกรงใจหรอก" เขาเว้นจังหวะ แล้วพูดต่อ "ข้าชอบคนสรรเสริญเยินยอ นี่นับว่าเป็การสนองความพึงพอใจส่วนตัวของตนเองเลย"
นึกถึงจดหมายที่สรรหาสารพัดวิธีมายกยอปอปั้นคนของเฉียวเยว่ ซูซานหลางก็รู้สึกละอายใจอยู่บ้าง แต่เขากลับไม่แสดงออกมากมายนัก กล่าวเพียงว่า "เฉียวเยว่ของพวกเรา มีข้อดีที่สุดคือชอบพูดความจริงพ่ะย่ะค่ะ"
อวี้อ๋องยิ้มมุมปาก สีหน้ากลับราบเรียบสงบนิ่ง
แต่ยิ่งเป็เช่นนี้ กลับยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าเขาเป็คนปากพุทธะ ใจอสรพิษ อาภรณ์ชุดนี้แท้จริงแล้วไม่เหมาะสมกับเขา แต่เขากลับชอบสวมชุดสีแดงอยู่เสมอ
"ช่างประจวบเหมาะยิ่ง ข้าก็ชอบคนเช่นนี้เหมือนกัน มิสู้วันไหนคุณชายสามพาคุณหนูเจ็ดมาเป็แขกจวนข้า ข้าจะต้องต้อนรับอย่างดีแน่นอน"
หลังจากนั้นก็หันไปมองฉีจือโจว "อาจารย์ก็มาด้วยกันนะขอรับ"
"หลานสาวอายุยังน้อย อยู่ในวัยซุกซนสร้างความรำคาญใจ ไม่พาไปรบกวนอวี้อ๋องจะดีกว่า หากนางทำผิดพลั้งอันใดไปก็จะไม่ดี อีกอย่างเด็กน้อยก็มักจะไม่ระวังเื่ความสะอาด" ฉีจือโจวกล่าวเรียบๆ
เพียงแวบเดียว ซูซานหลางก็ััได้ว่าฉีจือโจวค่อนข้างจะเ็าแฝงไปด้วยความระมัดระวังอวี้อ๋องอยู่หลายส่วน เขาจึงรีบพูดคล้อยตาม "เป็เช่นนี้ไม่ผิด พี่ใหญ่เข้าใจสถานการณ์ครอบครัวเราดีที่สุด"
แม้อวี้อ๋องจะถูกปฏิเสธ แต่เขากลับยังมีรอยยิ้ม เอ่ยเสียงเบา "ข้าชอบเด็กน้อยที่สุด และไม่เคยรังเกียจ ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูเจ็ดเรียกข้าว่าท่านพี่อวี้อ๋อง หากข้าไม่เชิญนางมาเยือน ก็มักรู้สึกว่าตนเองแล้งน้ำใจเกินไป"
ดูท่าคงหมายมั่นจะเชิญเฉียวเยว่ให้ได้
"่นี้กิจธุระค่อนข้างเยอะ หลายวันก่อนหลานสาวคนโตก็เกิดเหตุเล็กน้อย ่นี้ควรเก็บเนื้อเก็บตัวสงบเสงี่ยม จะได้ไม่ตกเป็เป้าสายตา ถึงอย่างไรคนบางคนก็มักมีความเห็นแก่ตัว" คำพูดของฉีจือโจวมีความนัยซ่อนอยู่อย่างเห็นได้ชัด
นิ้วมือของอวี้อ๋องปาดขอบถ้วยชา นิ้วมือเรียวยาวดูซีดเล็กน้อย แทบจะไม่มีสีเื
เขาเอ่ยเสียงเบา "ข้าอ๋องน้อยเคยได้ยินเกี่ยวกับเื่นี้มาบ้าง แต่ทว่า... หึๆ รัชทายาทยังเด็กขนาดนั้น คนบางคนก็ใจร้อนเหลือเกิน ข้าว่า หากเื่นี้แพร่งพรายออกไป คงจะไม่มีใครกล้าแย่งชิงกันอีก ถ้าไม่อยากเอาชีวิตไปทิ้ง"
ฉีจือโจวยิ้มอ่อนจาง "กล่าวมีเหตุผล"
แม้อวี้อ๋องจะจับถ้วยชา แต่กลับมิได้ดื่ม เขาเงยหน้าขึ้น กล่าวเสียงเบา "ข้าเพิ่งนึกได้ว่าตนเองนัดกับเสด็จอาไว้ หากยังโอ้เอ้อยู่ที่นี่ เกรงว่าจะไม่เหมาะสม"
อวี้อ๋องลุกขึ้น "ข้าอ๋องน้อยต้องขอลาไปก่อน วันหน้าอาจารย์กับคุณชายสามต้องพาคุณหนูเจ็ดไปเป็แขกที่จวนให้ได้เล่า" เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย ใบหน้าทอยิ้ม "ทักษะการทำขนมของข้าดีมาก ต้องทำให้คุณหนูเจ็ดลองชิมด้วยตนเองสักหน่อย"
รอจนกระทั่งอวี้อ๋องกลับไปแล้ว ซูซานหลางก็ขมวดคิ้ว "อวี้อ๋องนี่แปลกชอบกลจริงๆ"
เขาเห็นเด็กมาไม่น้อย แต่คนผู้นี้ทำให้เขารู้สึกผิดปรกติ ให้ความรู้สึกเหมือน... งูตัวหนึ่งที่ค่อยๆ เลื้อยเข้ามา
"อย่าดูแคลนอวี้อ๋องผู้นี้เป็อันขาด แม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่ความคิดล้ำลึกยิ่ง" ฉีจือโจวกล่าวอย่างจริงจัง
ซูซานหลางทอดถอนใจ "ส่วนนี้ข้าก็มองออก หลานชายของข้าโตกว่าเขาหนึ่งปี ยังไม่ให้ความรู้สึกเช่นนี้เลย ว่าแต่พี่ใหญ่ไปข้องเกี่ยวกับเขาได้อย่างไร"
ฉีจือโจวไม่อยากพูดอะไรมาก เขาตอบกลับไป "สิ่งที่เ้าควรรู้คือ แม้ว่าเขาจะเรียกข้าว่าอาจารย์ แต่แท้จริงแล้วพวกเราไม่ได้สนิทสนมใกล้ชิดกันถึงเพียงนั้น กับเขา สิ่งที่ควรระวังก็ยังต้องระมัดระวัง มิเช่นนั้นอาจเป็การขุดหลุมฝังตนเอง คนบางคนอาจไม่ใสซื่ออย่างที่เห็น”
จุดนี้ไม่จำเป็ต้องพูดมาก แต่ซูซานหลางก็รู้สึกว่าอวี้อ๋องกับฉีจือโจวมีบางส่วนที่คล้ายคลึงกันอยู่
"เ้าต้องเผยแพร่ความจริงที่ครอบครัวของใต้เท้าหวังทำร้ายคนเพื่อ่ชิงตำแหน่งชายารัชทายาทออกไป การแพร่ข่าวจะต้องอยู่ใน่จังหวะที่เหมาะเจาะพอดี"
ซูซานหลางขมวดคิ้ว
“ไม่ได้ยินที่ท่านอ๋องบอกเป็นัยให้แก่เ้าหรอกรึ เมื่อเื่นี้แพร่งพรายออกไป ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะมากเป็ทวีคูณ คนเยี่ยงนี้หากไม่กำจัด บุตรสาวของเ้าก็จะไม่มีวันปลอดภัย พวกเขา้า่ชิงตำแหน่งชายารัชทายาท มิใช่แข่งกันว่าจะตายอย่างไร" ฉีจือโจวแค่นเสียงเยาะ
ซูซานหลาง "..."
หลังจากกลับถึงจวน ซูซานหลางก็ยังมีท่าทางเหม่อลอย แท้จริงแล้วเขามิได้เป็คนซื่อบริสุทธิ์เช่นนั้น หลายเื่ยังนับว่าฉลาดมีไหวพริบอยู่ กับฉีจือโจวก็ใช่ว่าจะกลัวจริงๆ เพียงแต่มีความเคารพนับถือซ่อนอยู่ภายใต้ความกลัว
อีกอย่างแต่ละคนย่อมมีความถนัดที่แตกต่างกัน เขาไม่รู้สึกว่าตนเองจะด้อยกว่าพี่ชายภรรยาตรงไหน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะรู้แล้วว่ามิได้เป็เช่นนั้น
อย่าว่าแต่พี่ชายภรรยาเลย แม้แต่เด็กหนุ่มอายุไม่มากอย่างอวี้อ๋องก็ยังทิ้งห่างจากเขาหลายขุม
"ท่านพ่อ ท่านเป็อันใด ถูกใครจับต้มมาหรือเปล่า?"
เฉียวเยว่โบกมือน้อยๆ ไปมา
ซูซานหลางแค่นเสียงหึ เอ่ยว่า "เ้าจะทำอันใด ออกไปเล่นไป"
เฉียวเยว่มองซูซานหลางอย่างพิจารณา "ท่านพ่อ วันนี้ั้แ่ท่านกลับมาก็ทำท่าเหมือนได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างแรง เกิดอะไรขึ้น หรือว่ามีใครสั่งสอนความเป็คนให้กับท่าน?"
ซูซานหลางจิ้งพุงน้อยๆ ของนาง "เ้าไปไกลๆ เลย ต่อไปก็อย่าเขียนจดหมายให้อวี้อ๋องอีก ขายขี้หน้าคนจะตายอยู่แล้ว"
เฉียวเยว่รู้สึกว่าบิดาของตนเองไม่เป็มิตรเอาเสียเลย นางมิได้แอบทำลับหลังเสียหน่อย
"ท่านล้วนเคยอ่านทุกฉบับ ตอนนี้กลับมาไม่พอใจ เอาใจยากจริงๆ เลย"
"เ้าขวัญกล้ามากแล้วใช่หรือไม่ ตอนนี้แม้แต่บิดาก็ยังค่อนแคะ" ซูซานหลางโพล่งออกมาโดยตรง
เฉียวเยว่โบกไม้โบกมือ "ข้าเปล่า ข้าเปล่า"
ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ "ท่านไปพบอวี้อ๋องมาล่ะสิ เขาทำให้ทัศนะทั้งสามของท่านสั่นะเืเลยใช่หรือไม่"
"เ้านี่นะ วันๆ ชอบทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ แท้จริงแล้วจะรู้แค่ไหนกันเชียว" ซูซานหลางบ่นอย่างระอาใจ
เฉียวเยว่รู้สึกว่านางไม่ชอบคำกล่าวนี้
นางเท้าสะเอวยืดพุงน้อยๆ ท่าทางเอาจริงเอาจัง "ข้าไม่รู้ตรงไหน ข้าเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ มีตรงไหนที่ข้าไม่รู้ ท่านบอกข้าสิ มาเลย มีสิ่งใดสับสนในชีวิต บุตรสาวจะช่วยสะสางให้ท่านเอง"
"เฉียวเฉียว กินขนมได้แล้ว"
เฉียวเยว่หันไปทันควัน ก่อนจะลุกะโขึ้นมา "ข้ามาแล้ว"
เพียงแวบเดียวก็วิ่งจู๊ดไปแล้ว ท่านพ่ออันใด สะสางปัญหาอันใด ไม่มีเื่ไหนสำคัญกว่าเื่กิน
ซูซานหลางมองนางนั่งกินขนมบนเก้าอี้ ก่อนจะถามอย่างลังเล "เ้าอยากไปเป็แขกจวนอวี้อ๋องหรือไม่?"
เฉียวเยว่ไม่หันกลับมา "ทำไมข้าต้องไปด้วยล่ะ เขาดูเหมือนผู้ร้ายลักพาตัวเด็กเลย"
ซูซานหลาง "..."
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้