มู่จื่อหลิงอ่านอารมณ์บางอย่างได้จากรอยยิ้มแฝงความหมายของอันหย่า ดูแคลน
ใช่ เป็การดูแคลน ดูเหมือนว่าอันหย่าจะมิได้ใส่ใจนาง แล้วยังมีความเบิกบานจากการถือไพ่เหนือกว่านางด้วยมือเปล่าที่ไร้อาวุธ
ขณะนี้นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดอันหย่าจึงแย้มยิ้มเปี่ยมไปด้วยความหมายปานนั้น
ดูเหมือนองค์หญิงอันหย่าผู้นี้จะไม่เหมือนภายนอกที่อ่อนแอ ั้แ่ต้นจนจบไม่กล่าววาจามากมาย ใช้การกระทำมาแสดงออกเกือบทั้งหมด
ในที่สุดนางก็รู้แล้ว ั้แ่เริ่มอันหย่าก็แสร้งทำเป็เล่นละคร แสร้งอ่อนแอ อันหย่าจงใจให้ตนรู้ว่านางนั้นเสแสร้งเป็ลม
หากอันหย่า้าใช้ประโยชน์จากการแสร้งเป็ลมไปฟ้องไทเฮาจริง คาดว่ายามที่พวกนางมาต้องบอกแผนนี้กับพวกมู่อี๋เสวี่ยไปแล้ว ให้พวกนางร่วมกันเล่นละคร
ยามที่นางเป็ลมไปก็แสดงออกได้ชัดเจน ยามนั้นคนทั้งหมดล้วนถูกเสียงบันดาลโทสะของนางทำให้ใเข้า ทุกคนจึงไม่เห็นว่าอันหย่าเป็ลมไปได้อย่างไร ราวกับว่าอันหย่ากลัวนางมองไม่เห็น จึงจงใจชะงักไปเล็กน้อย ให้นางค้นพบ
ดูจากการแสดงออกที่ปัญญาทึบของพวกมู่อี๋เสวี่ยแล้ว ก็รู้ว่าอันหย่าคงมิได้พูดอันใดกับพวกนาง ที่อันหย่าโมโหจนใจเต้นเร็วขึ้นก็จริงครึ่งไม่จริงครึ่ง หรืออาจจะถูกคำพูดไม่เข้าท่าของมู่อี๋เสวี่ยทำให้โกรธเข้าจริงๆ
แท้จริงแล้วเหตุผลที่อันหย่าแกล้งเป็ลมมิได้มีเหตุผลอื่นใด ยิ่งมิใช่เพราะจะไปฟ้องต่อหน้าไทเฮา เช่นนั้นสาเหตุที่นางแกล้งเป็ลมก็มีแค่เหตุผลเดียวแล้ว หยั่งเชิง!
เป็หยั่งเชิงอีกแล้ว เหตุใดแต่ละคนจึงต้องหยั่งเชิงนางด้วย!
เมื่อนึกถึงเหตุผลนี้ขึ้นมา มู่จื่อหลิงพลันมีความรู้สึกพ่ายแพ้ของการถูกปั่นหัวเล่น
ท้ายที่สุดมิใช่นางหลอกพวกอันหย่า แต่เป็ทุกคนถูกอันหย่าเพียงคนเดียวหลอก แล้วนางยังเป็ตัวกระตุ้นสำคัญ ทำให้คนอื่นร่วมมือกับอันหย่าตามที่วางไว้ จนเกือบออกเป็ละครที่สมบูรณ์แบบ
ที่แท้นางเป็คนที่โง่งมที่สุด ลงหลุมพรางไปอย่างโง่งม จากนั้นก็คิดเองดีใจเองอยู่ต่อหน้าอันหย่าที่ใช้กลอุบายอยู่
ใช่แล้ว ใช้ชีวิตมาสองโลกเช่นนาง เป็ครั้งแรกที่ถูกคนปั่นหัวจนถึงที่สุด ความรู้สึกการถูกตบตาเหยียดหยามนั้น ทำให้มู่จื่อหลิงไม่แจ่มใส ไม่แจ่มใสอย่างยิ่ง!
นางควรรู้อยู่แล้วว่ายุคนี้มิได้เรียบง่ายเหมือนที่คิดเอาไว้ ยังคงมีเสือหมอบัซ่อน [1] อันหย่าเพียงคนเดียวก็ปั่นหัวนางอย่างโจ่งแจ้งได้เพียงนี้แล้ว
เหอะ! วันหน้ามาเยี่ยมเยือนอีก นางควรตั้งตารอหรือไม่?
หลงเซี่ยวเจ๋อเห็นมู่จื่อหลิงจับจ้องไปยังทิศทางที่พวกองค์หญิงอันหย่าจากไป ด้วยสีหน้าท่าทางที่แตกต่างกันออกไป ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เหมือนจะร้องไห้แต่ก็ไม่ร้องไห้ นี่มันสีหน้าใดของพี่สะใภ้สามกัน เขาจึงถามอย่างกังวลและผดุงคุณธรรมให้มู่จื่อหลิง
“พี่สะใภ้สามท่านเป็อะไร กังวลว่าพวกอันหย่าจะไปฟ้องไทเฮาจริงๆ หรือ? อย่ากังวลไปเลยข้าเป็พยานให้ท่านได้”
ดวงตากระจ่างใสของมู่จื่อหลิงทอประกาย ก่อนจะเก็บความรู้สึกไปอย่างเ็า
นางแย้มยิ้มอย่างเรียบๆ แม้กำลังยิ้ม แต่ดวงตาใสกระจ่างของนางกลับเฉยเมยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ครู่หนึ่งนางจึงเอ่ยขึ้น “ไม่มีสิ่งใด นางไม่ไปฟ้องหรอก”
หากอันหย่าคิดไปฟ้องจริง จะปล่อยให้นางแสดงออกมาอย่างะเือารมณ์เช่นนี้หรือ? ผู้ที่ใจละเอียดถี่ถ้วนเช่นนี้ จะใช้วิธีหยาบๆ มาโจมตีศัตรูหรือ? คำตอบคือไม่มีทาง
คนประเภทนี้ ถ้าซุ่มรอจังหวะแล้ว โจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ผู้อื่นไร้หนทางจะพลิกขึ้นมา
แต่ว่าถูกหลอกไปแล้วครั้งหนึ่ง โง่ไปแล้วครั้งหนึ่ง นางไม่มีทางโง่อีกเป็ครั้งที่สองแน่ นางไม่มีอำนาจ แต่นางมีหัวใจที่ยืนหยัดเข้มแข็ง
นางไม่เชื่อว่าัแข็งแกร่งจะสู้งูเ้าถิ่นไม่ได้
“แต่ว่า” หลงเซี่ยวเจ๋อที่ยังอยากถามสิ่งใดอีกก็ถูกมู่จื่อหลิงตัดบท
“เอาล่ะ ข้าเหนื่อยแล้ว เ้ากลับไปเถิด นี่คือยามี่ลู่สูตรปรับปรุง ดูวันนี้จะแสดงออกมาได้ดีนัก ให้เ้าเป็รางวัล ใช้อย่างระมัดระวัง อย่าได้ทำหกใส่ตนเอง” มู่จื่อหลิงเอ่ยอย่างเฉยชา
พูดจบ นางก็นำขวดสิ่งนั้นออกมาจากแขนเสื้อโยนให้หลงเซี่ยวเจ๋อ จากนั้นเดินไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา เสี่ยวหานเองก็เร่งติดตามไปด้านหลัง
หลงเซี่ยวเจ๋อรับขวดยามี่ลู่สูตรปรับปรุงที่เขาหวาดกลัวและอยากได้มาโดยตลอด ทว่ากลับไม่ยินดีเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาเห็นพี่สะใภ้สามดูเหมือนว่าจะไม่เบิกบานใจ
พี่สะใภ้สามเป็อะไรกันแน่ เมื่อครู่นี้ก็ยังดีๆ อยู่เลย นางพูดออกมาเองว่าองค์หญิงอันหย่าจะไม่ไปกล่าวฟ้อง แล้วทำไมนางยังไม่ยินดี
เมื่อมองแผ่นหลังเรียวเล็กและอ้างว้างของมู่จื่อหลิงจากไกลๆ ใจของหลงเซี่ยวเจ๋อก็ถูกบีบรัดไปด้วย จู่ๆ เขาก็มีความรู้สึกอยากพุ่งเข้าไปปกป้องให้ดีๆ ขึ้นมา
หลงเซี่ยวเจ๋อสะบัดศีรษะอย่างแรง คิดอันใดกัน นางเป็พี่สะใภ้สามของเขา เป็ได้เพียงพี่สะใภ้สามของเขา ไม่เปลี่ยนแปลงไปชั่วนิจนิรันดร์
“องค์ชายหก ท่านไม่เป็อันใดใช่หรือไม่?” ลุงฝูเห็นหลงเซี่ยวเจ๋อสะบัดศีรษะตนเองแรงๆ จึงถามอย่างกังวล
“ไม่มีอันใด เปิ่นหวงจื่อกลับแล้ว อย่าได้บอกพี่สามว่าวันนี้เปิ่นหวงจื่อมา มิเช่นนั้น...หึๆ” หลงเซี่ยวเจ๋อแกว่งกำปั้นของตน พูดข่มขู่ด้วยสายตาโเี้
เพียงแต่ ลงฝูไม่พูด หลงเซี่ยวอวี่ก็จะไม่รู้หรือ?
-
นางเฝ้ารอคอยมานานให้องค์หญิงอันหย่ากลับมาจากวัดชิงอัน ทันทีที่องค์หญิงอันหย่ากลับมา นางก็นำเื่ที่เมื่อก่อนมู่จื่อหลิงเป็เศษเดนเช่นใด เมื่อเป็ฉีหวางเฟยแล้วกำแหงอย่างไร ให้องค์หญิงอันหย่าฟัง
ด้วยเหตุที่มู่อี๋เสวี่ยรู้ว่าองค์หญิงอันหย่ารักใคร่ชื่นชอบฉีอ๋องเช่นกัน จึงอยากแต่งให้เขาทั้งใจ ทว่าไม่สมปรารถนามาโดยตลอด เดิมนางคิดว่าโอกาสที่รอคอยกำลังจะสำเร็จแล้ว องค์หญิงอันหย่าแต่งงานกับฉีอ๋องได้ ให้นางเป็สนมของฉีอ๋องนางก็ยินดี
นางนึกว่าองค์หญิงอันหย่าฐานะสูงส่ง ควรจะใช้ไทเฮามากดข่มมู่จื่อหลิง ทว่านางไม่เข้าใจมาโดยตลอดว่าเหตุใดองค์หญิงอันหย่าจึงไม่มีทีท่าจะพูดอันใด ใช้โอกาสนี้ไปฟ้องไทเฮาเช่นนั้นยังไม่ดีอีกหรือ
วันนี้ไม่ง่ายดายเลยที่จะมาจวนฉีอ๋องกับองค์หญิงอันหย่าได้ ไม่คิดว่าองค์หญิงอันหย่ายังมิทันพูดสิ่งใด ก็เป็ลมหมดสติไปแล้ว เป็ลมแล้วเป็ลมอีก หลังฟื้นคืนสติก็จากมาโดยไม่พูดสิ่งใดเหมือนกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น
วันนี้มู่จื่อหลิงแต่งให้ฉีอ๋อง เดิมคิดว่าสามารถใช้องค์หญิงอันหย่ามากำราบมู่จื่อหลิงได้ ทว่ายามนี้ดูท่าองค์หญิงอันหย่าจะไม่กังวลใจเลยแม้แต่น้อย
องค์หญิงอันหย่าหมายความว่าอันใดกันแน่ คิดจะยอมแพ้?
มู่อี๋เสวี่ยดูสีหน้าท่าทางขององค์หญิงอันหย่ามาทั้งทาง นางยังมีท่าทางอารมณ์แจ่มใส ก็ไม่ยินยอม อยากตักเตือนองค์หญิงอันหย่าอีกครั้ง “อันหย่า ครั้งนี้ที่ท่านเป็ลมไป เป็พี่สาวข้าทำให้โกรธใช่หรือไม่”
ยามนี้ดวงตาขององค์หญิงอันหย่าดูเหมือนเต็มไปด้วยม่านหมอกเลือนราง หลังม่านหมอกนั้นกลับฉายความเฉยเมยอันเย็นเยียบ เหมือนกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม
นางมิได้ตอบคำถามของมู่อี๋เสวี่ยในทันที แต่เลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างเพลิดเพลิน
ครู่ใหญ่ มุมปากไร้สีเืขององค์หญิงอันหย่าถึงยกขึ้นน้อยๆ “ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร”
ได้ยินคำตอบเช่นนี้มู่อี๋เสวี่ยก็ยินดีขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ พวกเราก็ถือว่ามันใช่ ปกติไทเฮาเอ็นดูท่านที่สุด เชื่อว่าไทเฮาจะต้องยืนหยัดในความยุติธรรมเพื่อท่านแน่”
อันหย่ามองข้ามคำพูดของมู่อี๋เสวี่ย ยิ้มอย่างเฉยเมย “หืม ชายาอ๋องสามเป็กระสอบฟางไร้ค่าจริงๆ หรือ?”
วาจานี้เหมือนกำลังพูดกับตนเอง แล้วก็เหมือนกำลังถามมู่อี๋เสวี่ย
ในคำพูดของอันหย่ามีนัย ทว่ามู่อี๋เสวี่ยกลับคิดมันอย่างเรียบง่าย “เมื่อก่อนก็เป็เศษเดน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ั้แ่แต่งให้ฉีอ๋องก็เริ่มเปลี่ยนไป ต้องเป็เพราะอาศัยฐานะสูงศักดิ์ของตนเองมาข่มเหงผู้อื่นเป็แน่”
“จริงหรือ?” อันหย่าไม่ใส่ใจ ในน้ำเสียงยังมีแววเสียดสีอันเฉยชา
การแสดงอันมีชีวิตชีวาของมู่จื่อหลิงในวันนี้ ทำให้นางต้องหยุดจับตามองจริงๆ ทว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
แม้ว่านางไม่สามารถแต่งให้หลงเซี่ยวอวี่ได้ นางก็ไม่มีทางปล่อยให้ผู้หญิงคนไหนมาตำแหน่งฉีหวางเฟยรั้งอยู่ในจวนฉีอ๋อง
“ใช่น่ะสิ อันหย่า ข้าจะหลอกท่านได้อย่างไร แต่ว่า อันหย่าเ้าเข้าวังไปจะบอกเื่ในวันนี้กับไทเฮาหรือไม่?” มู่อี๋เสวี่ยถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้
อันหย่าเย้ยหยันด้วยความมาดร้าย “ไม่จำเป็”
“แต่” มู่อี๋เสวี่ยยังคิดพูดสิ่งใด
จู่ๆ องค์หญิงอันหย่าก็ปล่อยม่านลง สายตาเย็นเยียบปราดไปที่มู่อี๋เสวี่ยอย่างไร้ความปรานี
“มู่อี๋เสวี่ย อย่าคิดว่าเปิ่นกงจู่จะไม่รู้ว่าใจเ้ากำลังวางแผนอันใด เื่วันนี้เปิ่นกงจู่จะไม่ซักไซ้ เปิ่นกงจู่ขอเตือนเ้าไว้ อย่าได้คิดเข้าข้างตนเองมากจนเกินไป ตอนนี้เ้าไสหัวไปได้แล้ว”
มู่อี๋เสวี่ยได้ยินคำพูดนี้ก็ตกตะลึงไป จากนั้นก็ใกลัวสุดขีด ไม่กล้าแม้แต่จะเชื่อ
นี่ยังเป็อันหย่าพี่น้องผู้แสนดีที่คุยกันได้ทุกเื่ของนางคนนั้นอยู่หรือ? เหตุใดจึงใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับนาง เหตุใดจึงใช้แววตาเช่นนี้มองนาง
อันหย่าพูดเื่วันนี้? วันนี้นางมิใช่เป็ลมไปหรือ นางทราบเื่ในวันนี้ได้อย่างไร ั้แ่อันหย่าฟื้นขึ้นมา นางก็ตามติดอยู่ข้างกาย ไม่อาจมีคนมาบอกอันหย่าได้ อันหย่าจะรู้ได้อย่างไร
“อันหย่า ท่านฟังข้าอธิบาย” มู่อี๋เสวี่ยหวาดกลัวก็หวาดกลัว นางยังคิดจะกอบกู้อะไรบางอย่าง หากไม่มีองค์หญิงอันหย่าแล้ว นางจะยังไปสู้กับมู่จื่อหลิงได้อย่างไร
อันหย่าพบว่าตนเองเสียกิริยาต่อหน้ามู่อี๋เสวี่ย สีหน้าก็มืดลง พูดอย่างเฉยเมย “ไม่ต้องแล้ว เ้าไปเถิด”
มู่อี๋เสวี่ยเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ปิดปากอย่างฝืนใจ อนาคตยังอีกยาวไกล นางไม่เชื่อว่าองค์หญิงอันหย่าจะทำเช่นนี้กับนาง
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” มู่อี๋เสวี่ยถอยออกจากรถม้าอย่างเชื่องช้า
หลังจากมู่อี๋เสวี่ยลงจากรถม้าก็มองไปทางจวนฉีอ๋องด้วยสายตาดุร้าย ยามนี้ใบหน้าที่ประทินโฉมไว้อย่างงดงามเปลี่ยนเป็มุ่งร้ายจนน่าขนลุก
มู่จื่อหลิง ล้วนเป็เพราะเ้า ความอับอายครั้งแล้วครั้งเล่าในวันนี้ ข้าไม่มีทางลืม ต้องมีสักวันที่ข้าเหยียบเ้าไว้ใต้ฝ่าเท้า
-
ศาลากลางน้ำ
หลงเซี่ยวอวี่เอนกายอยู่บนเบาะอ่อนนุ่ม สองมือหนุนใต้ศีรษะอย่างสงบไร้กังวล เป็ภาพผ่อนคลายที่เงียบสงบอันงดงาม
แต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวราวหิมะ สะอาดสะอ้าน เผยให้เห็นหุ่นเพรียวอันสมบูรณ์แบบอย่างโดดเด่น หล่อเหลาเย้ายวน ต่อให้ยามนี้ดวงตาเย็นเยียบทั้งสองข้างปิดอยู่ แต่ทั่วทั้งกายก็ยังคงแผ่บรรยากาศทรงอำนาจอันสูงศักดิ์และถือดีที่คนในพันลี้ไม่สามารถปฏิเสธได้
กุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ยกลับมาจากการไปทำภารกิจด้านนอก ก็เหาะไปลงหน้าศาลากลางน้ำอย่างเงียบเชียบ
พวกเขาเห็นหลงเซี่ยวอวี่นอนบนเบาะอ่อนนุ่มอย่างสงบเยือกเย็น ก็ราวกับว่าชินชาเสียแล้ว ถอยไปด้านข้างอย่างไร้สุ้มเสียง รออยู่อย่างเงียบๆ
ผ่านไปนาน หลงเซี่ยวอวี่ยังคงหลับตาอยู่ ริมฝีปากเย้ายวนเ็าขยับเบาช้าๆ เอ่ยอย่างเย็นเยียบ “พูด”
“นายท่าน ตรวจสอบได้แล้ว กู่ควบคุมใจมาจากอำนาจมืดของนิกายกู่ตู๋ กู่ควบคุมใจที่เปลี่ยนรูปแล้วมีขนาดเล็กอย่างยิ่ง หากมิใช่ผู้เชี่ยวชาญก็ดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ่นี้เพราะเื่องค์ชายใหญ่ถูกกักบริเวณ ฮองเฮาจึงดูเหมือนตรอมใจ ไม่เห็นว่ามีการเคลื่อนไหวใด ส่วนฮองเฮานำหนอนกู่เข้าวังได้อย่างไรนั้น ตอนนี้ยังตรวจไม่ได้ขอรับ”ใบหน้าของกุ่ยหยิ่งจริงจัง กล่าวรายงานอย่างนอบน้อม
ั้แ่กุ่ยหยิ่งไปตรวจสอบเบาะแสกู่ควบคุมจิตใจ ก็ประหลาดใจมาโดยตลอด กู่ควบคุมใจที่คนทั่วไปดูไม่ออก หวางเฟยดูออกได้อย่างไร
ตีให้ตายเขากล้าไม่เชื่อว่าหวางเฟยที่โอบอ้อมอารีจะเป็ผู้เชี่ยวชาญการเลี้ยงสิ่งที่น่ากลัวประเภทนั้นได้อย่างไร แต่เขาก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี
กุ่ยหยิ่งพูดจบ กุ่ยเม่ยก็รายงานต่อ “ไม่กี่วันนี้หวางเฟยยังไม่มีอันใดผิดปกติ นอกจากไปหลิงซั่นถังแล้วก็มิได้ไปที่อื่นอีก รังนกที่นำมาจากในวังไม่ทราบว่านำไปไว้ที่ใดแล้ว วันนี้ไปจวนองค์หญิงใหญ่ อยู่ได้ไม่นานก็กลับมากับองค์ชายหก องค์ชายหกนั้นได้พบกันระหว่างทาง ยังมีองค์หญิง...”
กุ่ยเม่ยยังพูดไม่จบก็ถูกตัดบทเสียแล้ว
-----------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เสือหมอบัซ่อน ผู้ที่ซ่อนความสามารถเอาไว้