เซี่ยโหวฟ่งอวี้เองก็ััได้เช่นกันว่าคำพูดของกู่เซี่ยนจวินมีความหมายแฝงอยู่อีกอย่างนางและกู่เซี่ยนจวินแก่งแย่งชิงดีกันมาตั้งนาน เมื่อพบหน้ากันย่อมเลี่ยงการแดกดันซึ่งกันและกันไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเซี่ยโหวฟ่งอวี้จะเป็ฝ่ายแพ้เสียส่วนมาก...ในตอนที่นางกำลังจะกล่าวตอบโต้กู่เซี่ยนจวินนั้น จู่ๆ เสียงเย็นะเืของคนๆเดิมก็ดังขัดขึ้นมาอีกครั้ง
“สมแล้วที่เป็ศิษย์คนแรกในรอบสิบปีของสำนักเทียนหลานช่างปากเก่งเสียจริง หวังว่าฝีมือของเ้าจะเก่งเหมือนปาก มาเถอะ เชิญ!” ชายชราเ้าของจมูกอินทรีมีสีหน้าเขียวคล้ำบูดบึ้งเห็นได้ชัดว่าเขากำลังเก็บกลั้นความโกรธเอาไว้อย่างเต็มความสามารถนานมากแล้วที่ไม่มีคนรุ่นหลังกล้าพูดกับเขาเช่นนี้ เขายื่นมือออกไปนิ้วทั้งห้าแนบเข้าด้วยกันเป็ท่าเชื้อเชิญ โดยรัศมีที่มือผายไปเป็แท่นสูงกลางตำหนักเบื้องหน้านั่นเอง
ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่นเขาััได้ถึงรังสีแห่งความเกลียดชังในคำพูดของชายชราแต่กลับไม่รู้เลยว่าตนไปทำอะไรให้ ทำไมถึงต้องทำกับตนเช่นนี้ เขาหันไปถามชายชรา “ทำไมข้าต้องขึ้นไปนั่งตรงนั้นด้วยล่ะ?”
“คุณชายซู อย่าถ่อมตัวเลยเ้าเป็ที่หนึ่งของอันดับมนุษย์ หากเ้าไม่นั่งบนนั้น แล้วใครจะนั่งกันเล่า?” หนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ข้างชายชรากล่าวขึ้น
คนผู้นี้แต่งกายหรูหรา คิ้วคมดวงตาเปล่งประกายสว่างไสว ดูเป็คุณชายที่แสนสุภาพอย่างแท้จริงทว่าซูฉางอันกลับััได้ถึงกลิ่นอายแห่งความมืดมนที่แฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้นมันทำให้ซูฉางอันรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัวเอาเสียเลย
“นั่งไม่ได้นะ” เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่อยู่ข้างๆรีบกระซิบเตือนที่ข้างหู นางพอจะรู้ระเบียบของงานหลอมดาวอยู่บ้างตำแหน่งนั้นถูกเรียกว่าแท่นจอมดารามีเพียงผู้ที่อยู่ในอันดับหนึ่งของอันดับมนุษย์เท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ขึ้นไปนั่งบนนั้นได้
หากแต่ว่า ขึ้นไปนั่งเป็เื่ง่ายแต่การจะนั่งได้อย่างมั่นคงกลับเป็เื่ยากเหลือแสน
ดาวฤกษ์มีเป็ล้านๆ ดวงทว่าจอมดารากลับมีเพียงหนึ่ง
นี่เป็ระเบียบที่มีมาั้แ่ยุคก่อนแล้วหากผู้ครองอันดับหนึ่งของอันดับมนุษย์ขึ้นไปนั่งบนแท่นนั้นยอดอัจฉริยะที่เก่งผิดมนุษย์ภายในห้องโถงก็จะสามารถท้าประลองกับเขาได้และผู้ที่นั่งอยู่บนแท่นจอมดาราก็ต้องรับการประลองถึงเก้าครั้งด้วยกันจึงจะสามารถครองตำแหน่งต่อไปได้อย่างมั่นคงและกลายเป็จอมดาราแห่งงานหลอมดาราได้อย่างแท้จริง
แน่นอนว่าเมื่อได้เป็จอมดาราแล้วย่อมไม่ได้มีเพียงตำแหน่งที่ไม่สามารถจับต้องได้อย่างเดียวเท่านั้นที่จะได้รับแต่จอมดาราสามารถเอ่ยขออะไรก็ได้จากผู้จัดงานหลอมดาวในครั้งนั้นๆ หนึ่งข้อและสิ่งที่ขอนั้น เพียงไม่เกินกว่ากำลังที่จะทำได้ ไม่ผิดต่อจรรยาบรรณและคุณธรรมเพียงเท่านี้ ไม่ว่าจะเป็อะไรก็ได้ทั้งนั้น นี่เป็กฎที่มีมานานแสนนานแล้วมันเกิดขึ้นก่อนยุคต้าเว่ย และเกิดขึ้นก่อนยุคต้าฮั่นด้วยมีมานานจนไม่อาจหาที่มาได้แล้ว
เมื่อเซี่ยโหวฟ่งอวี้อธิบายถึงกฎของงานจนจบซูฉางอันก็พยักหน้ารับ เขาไม่อยากสู้กับใคร ที่เขามาร่วมงานหลอมดาวในครั้งนี้ประการที่หนึ่ง เพราะมันเป็คำสั่งของอาจารย์อวี้เหิง ประการที่สอง เพราะตัวเขาเองก็อยากลองมาเยี่ยมชมงานที่น่าสนใจ ซึ่งตนไม่เคยได้เห็นมาก่อนด้วยแต่เมื่อเข้ามาในงาน เขากลับรู้สึกว่าที่นี่ช่างน่าเบื่อเสียจริงตีกันไปตีกันมาราวอยากฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งเพียงเพราะตำแหน่งที่ไม่มีความหมายอะไรเท่านั้น ซูฉางอันไม่ชอบเื่แบบนี้เลย
ดังนั้นเขาจึงมองไปที่ชายจมูกอินทรีอีกครั้ง “ข้าจะไปแล้ว ที่แห่งนี้...” ซูฉางอันชะงักนิ่งไปเขากำลังจะบอกว่าที่แห่งนี้ช่างน่าเบื่อเสียจริง แต่หากพูดเช่นนั้นออกไปเป็ไปได้มากว่าชายชราที่เดิมก็รู้สึกไม่ค่อยดีอยู่แล้วจะรู้สึกเสียใจมากยิ่งไปกว่าเดิม หนังสือที่ซูฉางอันเคยอ่านระบุเอาไว้ว่าการทำให้ผู้คนไม่เป็สุข หาใช่เื่ที่น่าภูมิใจไม่แม้เขาจะไม่ค่อยชอบชายชราตรงหน้าแต่ซูฉางอันก็ยังเลือกที่จะค้นหาคำพูดที่อ้อมค้อมมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ในสมองแล้วจึงพูดต่อในที่สุด “ที่แห่งนี้มีคนเยอะเกินไปแล้ว”
เมื่อมีคนมาก ย่อมมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบในตัวเราซึ่งแน่นอนว่าต้องมีทั้งคนที่เรารู้สึกชอบและไม่ชอบด้วยเช่นกันการที่ต้องอยู่กับคนแบบนั้น ย่อมเป็เื่น่าเบื่ออยู่แล้ว...นี่เป็สิ่งที่ซูฉางอันคิด
เขารู้สึกพึงพอใจกับคำพูดของตนเองเป็อย่างมากเพราะนอกจากจะสื่อความหมายของตนออกไปได้แล้ว ยังรักษาหน้าของชายชราเอาไว้ได้ด้วย
ทว่าชายจมูกอินทรีกลับรู้สึกไม่พอใจมากเขาคิดว่าซูฉางอันกำลังหวาดกลัว และความกลัว ก็คือหนึ่งในสิ่งที่เขา้าแต่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดที่เขาอยากได้อยู่ดี เขาเป็หนึ่งในผู้ดูแลของสำนักปาฮวง จึงรู้สึกไม่พอใจกับสำนักเทียนหลานที่กดอยู่เหนือหัวมาตั้งนานแล้ว
วันนี้ ถือเป็โอกาสดีสำหรับพวกเขาโอกาสที่จะแสดงให้คนทั้งโลกเห็นว่าสำนักปาฮวงไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักเทียนหลานเลยแม้แต่น้อยดังนั้น เขาไม่มีทางปล่อยซูฉางอันไปง่ายๆ แน่
“ที่แท้ คนของสำนักเทียนหลานก็ไร้น้ำยากันทุกคนในตอนนั้น มั่วทิงอวี่หลงเสน่ห์สาวเผ่าปีศาจจนหัวปักหัวปำเป็เหตุให้อาจารย์ของตนถูกฆ่าตาย จากนั้นก็หลบอยู่แต่ในหอเหยากวงไม่ยอมออกมาพบเจอผู้คนนานนับสิบปี บัดนี้ ศิษย์ของเขาก็ขี้ขลาดราวกับหนูท่ออีกข้าว่า เ้านำวิธีของอาจารย์ที่ไร้ประโยชน์ของเ้าไปใช้เถิดเข้าไปหลบอยู่แต่ในสำนักเทียนหลาน แล้วอย่าออกมาอีกเลย” ชายรูปงามข้างชายชรากล่าวขึ้นเช่นนั้น
เมื่อสิ้นเสียงกล่าวก็มีเสียงหัวเราะดังกระหึ่มขึ้นภายในห้องโถง
ผู้ที่อยู่ในที่แห่งนี้ โดยส่วนมากล้วนเป็หนุ่มสาวที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น เมื่อสิบปีก่อนพวกเขายังจำความไม่ได้สักเท่าไหร่ สำหรับพวกเขาแล้วมั่วทิงอวี่เป็เพียงชื่อของคนผู้หนึ่งเท่านั้นคนที่มีเื่ราวชีวิตไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกแค่ว่าชายรูปงามคนนั้นพูดน่าขำ และเมื่อได้ฟังเื่น่าขำย่อมต้องหัวเราะออกมาอยู่แล้ว
ทว่าชายจมูกอินทรีกลับยิ้มไม่ออกเขาขมวดคิ้วมุ่น ชื่อที่เคยทำให้คนทั้งแผ่นดินต้องหวาดผวาเขาเคยอยู่ร่วมสมัยกับมั่วทิงอวี่มาก่อนจึงได้ประจักษ์กับสง่าบารมีของเขาด้วยตาของตัวเอง กระทั่งวันนี้เขายังลืมคมดาบและบุรุษผู้นั้นไปไม่ได้เลย เพียงแต่ บัดนี้มั่วทิงอวี่ตายไปแล้วตอนนี้เขาปรารถนาให้ศิษย์ของตนเองต่อสู้กับศิษย์ของมั่วทิงอวี่เพื่อชิงตำแหน่งสำนักอันดับหนึ่งที่ใฝ่ฝันมาครอง พวกเขาต้องชิงลงมือก่อนเพราะไม่ได้มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่้าตำแหน่ง คนอื่นๆ ก็กำลังรอโอกาสนี้อยู่เหมือนกันดังนั้น เขาจึงเก็บความรู้สึกผิดอันน้อยนิดที่แฝงอยู่ในใจกลับเข้าไปอีกครั้งแล้วปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินต่อไป
เท้าที่กำลังจะก้าวออกไปชะงักอยู่กลางอากาศซูฉางอันก้มหน้าลง เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกำลังคิดเื่ที่สำคัญมากบางอย่างอยู่ในหัวเสียงหัวเราะของผู้คนภายในห้องโถงเองก็ค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ จนเงียบกริบลงในที่สุด
ทุกคนเพ่งมองมายังหนุ่มวัยรุ่นที่มีรูปร่างค่อนข้างผอมตรงหน้าทำให้งานหลอมดาราจมเข้าสู่ความเงียบสงัด
แต่่เวลาแห่งความเงียบเกิดขึ้นเพียงครู่เดียวเท่านั้นซูฉางอันดึงขาที่กำลังจะก้าวออกไปกลับมาอีกครั้ง แล้วหันไปกวาดตามองทุกคนภายในโถงก่อนสายตาจะไปหยุดอยู่บนร่างของชายรูปงามข้างชายชราในที่สุด
จู่ๆซูฉางอันก็ประกายรอยยิ้มที่แสนสดใจออกมา รอยยิ้มของเขาแลดูจริงใจคล้ายเป็ใบหลิวข้างแม่น้ำที่พัดโอนเอนเมื่อสายลมลูบผ่านทว่าก็ราวกับต้นไม้แห้งเหี่ยว ที่มีกิ่งอ่อนงอกขึ้นมาใหม่ในวสันตฤดู
ทว่าชายรูปงามกลับรับรู้ได้ถึงรังสีแห่งความอำมหิตที่เย็นะเือย่างประหลาดยิ่งซูฉางอันยิ้มกว้าง ยิ้มสดใสมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นเท่านั้น
“เ้าไม่ชอบที่ข้าได้เป็ที่หนึ่งของการจัดอันดับรึ?” ซูฉางอันถามขึ้นเสียงของเขาไม่ได้ดังก้องอะไร ให้ความรู้สึกคล้ายเป็ธารน้ำที่ใสสะอาดน้ำเสียงที่ราบเรียบของเขาราวกับฝนที่ตกพรำๆ ในเดือนเก้าที่แม้จะไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาวสั่น แต่ก็ทำให้ััได้ถึงหิมะที่ลอยเคว้งอยู่เต็มฟ้า
หนุ่มรูปงามก้าวถอยหลังออกไปเล็กน้อยตามสัญชาตญาณเขาชื่อตู้หงฉาง เป็บุตรของเทพนักรบแห่งแผ่นดินต้าเว่ยถูกจัดให้เป็อันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์ทั้งหมดที่สำนักปาฮวงรับเข้ามาใหม่ในปีนี้เขามีนิสัยผยองจองหองมาโดยตลอด ไม่เคยเห็นหัวยอดอัจฉริยะทั่วไปอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำทว่าบัดนี้ เขากลับรู้สึกหวาดกลัวเพราะสายตาของซูฉางอันเด็กบ้านนอกที่มีพลังอยู่เพียงระดับหลอมจิตเท่านั้น
เมื่อเขาตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเขาก็รู้สึกละอายใจยิ่งนัก ทว่าเพียงไม่นาน ความละอายนี้ก็ถูกโทสะอันแสนมหาศาลกลบลงจนไม่มีเหลือเืร้อนแล่นตรงไปที่หัว ทำให้ใบหน้าแดงก่ำและขับไล่ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุเมื่อครู่ออกไปจากหัวใจเขามองไปที่ซูฉางอัน ดวงตาส่วนที่เป็สีขาว บัดนี้กลับแดงก่ำเพราะโทสะที่มากล้นเขาพยายามทำให้ตัวเองดูใจกว้างและสง่างาม ทว่าการเค้นคำพูดอย่างแค้นเคืองรวมไปถึงฟันที่กัดแน่นกลับเผยอารมณ์ที่ปะทุอยู่กลางใจของเขาออกมาอย่างชัดเจน
“เ้าไม่คู่ควรกับการเป็อันดับหนึ่ง!” เสียงของเขาราวจะถูกเค้นออกมาจากลำคอทำให้มันฟังดูแหบพร่า
“พวกเ้าเองก็ไม่พอใจที่ข้าได้เป็อันดับหนึ่งใช่ไหม?” ซูฉางอันกวาดตามองไปที่ผู้ชมรอบด้านอีกครั้งเขาถามเสียงดังลั่น ครั้งนี้ คำถามของเขาไม่ได้รับการตอบกลับ ทว่าสายตาของทุกคนทำให้เขาได้คำตอบแล้ว
และแล้ว เขาก็ก้าวขาออกไปจนได้มุ่งตรงไปยังแท่นจอมดาราท่ามกลางการจับจ้องของทุกคนในห้องและเสียงอุทานแห่งความใของกู่เซี่ยนจวินกับเซี่ยโหวฟ่งอวี้